ตอนที่ 25 เพลิงไหม้

“คุณเป็นอะไร” โจวเจ๋อขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเขาก็ได้กลิ่นไหม้เหมือนกัน

“ไม่เป็นไร ข้าปวดฉี่ เจ้ากลับไปก่อน!”

นักพรตเฒ่าพูดจบ รีบหมุนตัววิ่งออกไปข้างนอกทันที

โจวเจ๋อมองมือของตัวเอง แล้วก็ไม่ได้วิ่งไปถามอะไร จากนั้นจึงเรียกแท็กซี่กลับไปที่ร้านหนังสือ

นักพรตเฒ่ามาถึงถนนข้างทาง ยื่นมือหยิบกระดาษยันต์ใบหนึ่งออกมาจากเป้ากางเกง กระดาษเปลี่ยนเป็นสีแดงและสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปตามสายสม จากนั้นก็ลอยกระจายออกไป

นี่คือกระดาษยันต์ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของนักพรตเฒ่า แต่ทำไมถึงซ่อนที่ตำแหน่งนี้ ไม่จำเป็นต้องบอกคนนอกให้รู้

ทว่าฉากเมื่อครู่ ได้ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของนักพรตเฒ่าแล้ว

แน่นอนว่า พอก้มมองลูกวอลนัทที่โดนความร้อนจนเกร็งติดกันแล้ว

อันที่จริง ได้ประทับอยู่บนกายเนื้อของตัวเองเช่นกัน

“แม่งเอ๊ย เถ้าแก่ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าข้าจะได้เจอคนบ้านเดียวกันในเมืองทงเฉิงที่อยู่ห่างออกไปสองพันกิโลเมตร”

ท่ามกลางความมืดมิด

บางทีอาจจะมีการสื่อจิตถึงกันบางอย่าง

ยกตัวอย่างเช่นตอนที่โจวเจ๋อดูการไลฟ์สดของนักพรตเฒ่า แล้วเห็นเด็กหนุ่มที่นั่งกินโจ๊กอย่างลำบากอยู่หลังเคาน์เตอร์ร้านขายของจิปาถะสำหรับคนตาย แล้วจึงเกิดความรู้สึกผูกพันบางอย่าง อย่างบอกไม่ถูก

นั่นไม่ใช่เพราะเป็นโรคเบื่ออาหารง่ายๆ แบบนั้น

จริงๆ แล้ว พวกเขาเดิมทีก็เป็นคนประเภทเดียวกัน

บนโลกใบนี้ เขาไม่ได้เป็นเพียงสิ่งเดียวหรือพวกนอกกลุ่มที่ฉายเดี่ยวอย่างแน่นอน

ก็เหมือนในนรกที่ผีสาวไร้หน้าแผดเสียงอย่างไม่ยินยอมแบบนั้น

“ทำไมคุณถึงหนีไปจากฉัน”

นี่หมายความว่า ไม่ใช่เพียงแค่โจวเจ๋อเท่านั้น ก่อนหน้านั้นก็มีคนเคยจากไปต่อหน้าผีสาวไร้หน้ามาก่อน

บวกกับโจวเจ๋อได้ช่วยชีวิตชายชราเล็บดำจากอุบัติเหตุรถชน

บนโลกใบนี้ ไม่มีอะไรที่เงียบสงบเหมือนที่คิดไว้จริงๆ

หลังจากกลับมาถึงร้านหนังสือ ก็เป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว โจวเจ๋อเก็บกวาดเศษกระจกบนพื้นในห้องน้ำจนเรียบร้อยจากนั้นก็ไปต้มน้ำร้อนสองสามกาแล้วพยายามฝืนใช้ผ้าขนหนูเช็ดตัว

เขาตัดสินใจว่าวันพรุ่งนี้จะให้คนมาติดตั้งฝักบัวจะได้สะดวกยามที่ตัวเองอาบน้ำ สำหรับคนที่รักอนามัยระดับหนึ่งแล้ว หากไม่ได้อาบน้ำ เป็นโทษที่ทรมานอย่างหนึ่ง

กลับมาที่ชั้นสอง เมื่อติดตั้งอุณหภูมิตู้แช่แล้ว โจวเจ๋อก็นอนลงไปแล้วหลับตา เตรียมตัวบอกลาความเหนื่อยล้ามาทั้งวันรวมทั้งสิ่งที่กวนใจทุกอย่างในวันนี้เช่นกัน

การนอนหลับครั้งนี้ นอนหลับสบายไร้ความกังวลเป็นอย่างมาก

หลับสนิทตลอดคืน

วันต่อมาในตอนเช้า โจวเจ๋อออกมาจากตู้แช่แล้วไปล้างหน้าแปรงฟัน จากนั้นก็เปิดร้าน แล้วเหลือบมองไปข้างๆ หนึ่งที

ร้านข้างๆ วันนี้ปิดร้านอีกแล้ว

ส่วนทางหมอหลินยังไม่ติดต่อเป็นการชั่วคราว

ภรรยาไม่อยู่แล้ว

ตอนนี้แม้แต่เขาก็ไม่อยู่เช่นกัน

โจวเจ๋อส่ายหน้า ให้ตายเถอะ ตัวเองเกิดความคิดแบบนี้ได้อย่างไร

สวีเล่อร้ายกาจเหี้ยมโหดจริงๆ

ใช่แล้ว ต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ

จากเมื่อวานจนถึงตอนนี้ ยังไม่ได้กินอะไรเลย โจวเจ๋อหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วสั่งอาหารดิลิเวอรี พร้อมระบุให้ทางร้านแถมน้ำส้มสายชูมาเยอะหน่อย

รอประมาณยี่สิบนาที เด็กหนุ่มใส่ชุดสั่งอาหารดิลิเวอรีสีเหลืองคนหนึ่งขี่จักรยานไฟฟ้าเข้ามา จากนั้นอีกฝ่ายได้ผลักประตูร้านเข้ามาโดยตรง พร้อมกับยื่นอาหารดิลิเวอรีให้กับโจวเจ๋อที่นั่งอ่านหนังสืออยู่หลังเคาน์เตอร์

“ขอบคุณครับ ไม่ง่ายเลยจริงๆ วันตรุษจีนแล้วยังต้องส่งอาหารอีก” โจวเจ๋อกล่าวด้วยความเกรงใจ

“คุณก็ไม่ง่ายเหมือนกันครับ วันตรุษจีนก็ยังต้องกินอาหารดิลิเวอรี” เด็กหนุ่มส่งอาหารตอบกลับไปตามตรง

“…” โจวเจ๋อ

โจวเจ๋อรู้สึกว่าเหมือนหัวเข่าของตัวเองถูกยิงด้วยลูกศรหนึ่งดอก เงยหน้ามองเด็กหนุ่มส่งอาหารที่อยู่ตรงหน้าหนึ่งทีอย่างตั้งใจ อีกฝ่ายยังเด็กมาก ดูแล้วน่าจะอายุเพียงยี่สิบปีต้นๆ เห็นจะได้

“ที่นี่ของคุณคือร้านหนังสือเหรอครับ” เด็กหนุ่มส่งอาหารมองไปรอบๆ ร้านหนังสือ “สามารถนั่งอ่านหนังสือได้แบบนั้น เท่าไรครับ”

“อ่านแล้วค่อยจ่าย” โจวเจ๋อเปิดถุงอาหารดิลิเวอรี

“ได้เลย”

เด็กหนุ่มส่งอาหารนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติก หาหนังสือ ‘สัประยุทธ์ทะลุฟ้า’ เล่มหนึ่งแล้วอ่าน จากนั้นก็อ่านอย่างเพลิดเพลิน

โจวเจ๋อดื่มน้ำส้มสายชูที่แถมมาจากร้านนี้รวดเดียวหมด ดูเหมือนจะเป็นเพราะช่วงนี้ดื่มน้ำบ๊วยรสชาติสุดแปลกของสวี่ชิงหล่างจนชิน ดังนั้นโจวเจ๋อรู้สึกว่าน้ำส้มสายชูทั่วไปแบบนี้ ไม่มีความรู้สึกอะไร

จากนั้นก็กินอย่างมูมมาม ตอนที่กินไปได้ครึ่งหนึ่ง ความรู้สึกคลื่นไส้ก็เริ่มโจมตี

โจวเจ๋อใช้สองมือบีบลำคอของตัวเอง พยายามไม่ให้ตัวเองอาเจียนออกมา สุดท้ายหลังจากอาการนิ่งทื่ออันน่ากลัวผ่านพ้นไป ความรู้สึกคลื่นไส้ก็เริ่มลดถอยลง โจวเจ๋อเช็ดมุมปาก จากนั้นก็เริ่มไอแรงๆ ขึ้นมา

“พี่ชาย ค่อยๆ กินครับ หากใช้คำของย่าผมบรรยายการกินแบบนี้ของคุณ ก็เหมือนกับผีตายโหงกลับชาติมาเกิดใหม่”

เด็กหนุ่มส่งอาหารพูดพร้อมกับอ่านหนังสือไปด้วย

โจวเจ๋อขึงตามองอีกฝ่าย แล้วนั่งลงบนเก้าอี้หายใจหอบ เขาจำเป็นต้องปรับการหายใจ

ไอ้บ้าสวี่ชิงหล่าง

ทำไมยังไม่เปิดร้าน!

โจวเจ๋อตัดสินใจ ถ้าหากตอนบ่ายอีกฝ่ายยังไม่เปิดร้านอีก ตัวเองคงต้องทุบประตู แล้วเข้าไปหาน้ำบ๊วยหรือน้ำมะระที่เหลือมากินให้ได้ ไม่อย่างนั้นคงกินข้าวมื้อนี้ต่อไปไม่ไหว

เด็กหนุ่มส่งอาหารเหมือนจะหยุดรับออเดอร์แล้ว เพราะนั่งอ่านนิยายอยู่ตรงนั้นมาหนึ่งชั่วโมงแล้ว

“เอ๊ะ ทำไมมีกลิ่นเหม็นเหมือนแก๊สไหม้” เด็กหนุ่มส่งอาหารรู้สึกเหม็น จากนั้นจึงเดินออกไปนอกร้านหนังสือ

โจวเจ๋อไม่ได้สนใจอะไร อีกฝ่ายคงแค่อยากอ่านหนังสือแต่ไม่ยอมจ่ายเงิน ก็ไม่เป็นไร

ร้านหนังสือแห่งนี้ การทำกำไรยังต้องปล่อยให้เป็นไปตามพรหมลิขิต

แต่ต่อจากนั้น เด็กหนุ่มส่งอาหารที่เพิ่งเดินออกไปข้างนอกอ้าปากค้างทันที แล้วตะโกนว่า

“เฮ้ย ไฟไหม้”

โจวเจ๋อเพิ่งเริ่มสังเกต รีบเดินออกไปนอกร้านหนังสือทันที เงยหน้ามองด้วยแววตาที่สงสัยในทันใด ชั้นที่สี่ของตึกใหญ่ มีกลุ่มควันพุ่งออกมาจากข้างใน

นี่คือตำแหน่งของโรงภาพยนตร์!

ศูนย์การค้าแต่เดิม ตอนนี้ที่ยังพอได้รับความนิยมอยู่บ้าง ก็คือโรงภาพยนตร์แห่งนั้น และเนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงวันหยุดตรุษจีน ดังนั้นคนที่มาดูหนังที่นี่จึงเยอะมาก

“ไป ไปช่วยคน” เด็กหนุ่มส่งอาหารวิ่งไปที่นั่นโดยตรง

โจวเจ๋อยืนลังเลอยู่ตรงนั้นสิบวินาที เพลิงไหม้ต้องรุนแรงมาก แต่ไหม้ลุกลามมาไม่ถึงร้านหนังสือของตัวเองแน่นอน เขาพยายามควบคุมสัญชาตญาณการช่วยเหลือคนที่อยู่ในส่วนลึกภายในหัวใจของตัวเอง

ก่อนหน้านั้น เขาจำได้ไม่ชัดเจนว่าตัวเองเข้าไปช่วยชีวิตคนจากเหตุการณ์เพลิงไหม้กี่ครั้งแล้ว แต่เผอิญว่าช่วงนี้ เขาอยากจะแก้นิสัยที่บกพร่องข้อนี้พอดี

ทว่าหลังจากการต่อสู้ทางความคิดอย่างดุเดือด โจวเจ๋อก็ยังวิ่งตามไปเหมือนเดิม

ตัวเองช่างน่าอัปยศจริงๆ!

จากบันไดชั้นหนึ่งจนถึงชั้นสาม มีคนวิ่งลงมาข้างล่างมากมาย แต่โจวเจ๋อกลับวิ่งสวนขึ้นไป

ถึงแม้ศูนย์การค้าแห่งนี้จะ ‘ทิ้งร้าง’ แล้ว แต่ตำแหน่งของมันอยู่ใจกลางเมือง รถดับเพลิงน่าจะเร่งมาถึงในไม่ช้า

คนที่มาดูหนังตอนเช้าไม่เยอะเท่าตอนบ่าย แต่จำนวนผู้คนก็เยอะพอสมควร ตอนที่โจวเจ๋อวิ่งขึ้นบันไดมาถึงชั้นสี่ก็เห็นควันหนาที่อยู่ข้างในเยอะมาก และเปลวไฟก็ลุกโชนจนน่าประหลาดใจ ถึงแม้จะเป็นไฟไหม้จากด้านนอก แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะลุกลามจนโอเวอร์ขนาดนั้น!

ทว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลามาวิเคราะห์หาสาเหตุ ท่ามกลางควันไฟที่หนาเตอะ โจวเจ๋อมองเห็นเด็กหนุ่มส่งอาหารหน้าดำมอมแมมแบกคุณยายคนหนึ่งขี่หลังวิ่งออกมา

อีกฝ่ายมองโจวเจ๋อแล้วยิ้มให้ มองเห็นฟันขาวจั๊วะ จากนั้นจึงหันหน้า แล้ววิ่งเข้าไปช่วยคนที่อยู่ในเขตโรงภาพยนตร์ต่อ

เหตุการณ์เพลิงไหม้ ไม่ได้ลุกลามออกมาอย่างสิ้นเชิง แต่โซนของโรงภาพยนตร์ กลับมีเพลิงลุกลามอย่างน่าตกใจ

โจวเจ๋อไม่ได้รีรอ ในเมื่อมาแล้ว ก็ต้องทำอะไรเสียหน่อย เขาจึงวิ่งเข้าไปท่ามกลางกลุ่มควันทันที

“แค่ก ๆ…แค่ก ๆ…”

เนื่องจากไม่มีมาตรการป้องกันใดๆ การวิ่งเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าเป็นพฤติกรรมที่โง่เขลามาก และยากที่จะช่วยเหลือคนออกมา แต่กลับทำให้ตัวเองต้องติดอยู่ในนั้น เขาจึงทำอะไรได้ไม่มาก จึงได้แต่รอให้นักดับเพลิงมืออาชีพเข้าไปจัดการ

“เฮ้อ…”

โจวเจ๋อเพิ่งจะเปิดประตูโรงที่สอง เปลวไฟก็พุ่งออกมาข้างนอกโดยตรง โจวเจ๋อจึงได้แต่ถอยหลังหลบความเสี่ยง

และข้างในนั้น ยังมีเสียงร้องไห้และเสียงตะโกนอยู่

โจวเจ๋อกัดฟันแล้วพุ่งเข้าไป ภายในโรงภาพยนตร์ มีแต่เปลวไฟไปทั่วทุกจุด บนพื้น บนเพดาน บนกำแพงล้วนมีแต่ไฟ และเนื่องจากที่นี่เป็นพื้นที่คับแคบ จึงทำให้ควันหนาที่เกิดจากการเผาไหม้ยึดครองพื้นที่ของที่นี่

ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ไฟไหม้ คนที่สำลักควันตายมีมากกว่าคนที่โดนไฟคลอกตายเสียอีก

และมีเพียงเวลานี้เท่านั้น ทุกคนถึงรู้สึกว่าวิดีโอเตือนอัคคีภัยที่คนรำคาญ ก่อนที่จะดูภาพยนตร์ทุกครั้งมีความสำคัญมากแค่ไหน

ทันทีที่โจวเจ๋อพุ่งเข้าไป ก็มองเห็นคนสองคนนอนอยู่ตรงโถงทางเดินเล็ก

ผู้ชายวัยกลางคนในชุดสูทสีดำคนหนึ่ง เขากำลังนอนไออยู่บนพื้น เห็นได้ชัดว่าลุกขึ้นไม่ไหว

ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นเด็กผู้ชายอายุประมาณสิบขวบ นอนอยู่บนพื้น และไม่รู้ว่าสลบหรือว่าหมดลมหายใจเสียชีวิตไปแล้ว

“ช่วยผมด้วย…ช่วยผมด้วย…ช่วย…” ผู้ชายชุดสูทสีดำพยายามเงยหน้าขึ้นมา มองโจวเจ๋อที่ยืนอยู่ตรงหน้า

โจวเจ๋อกระโดดข้ามเขาไป แล้วให้เด็กผู้ชายคนนั้นขี่หลัง ออกไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ตอนนี้เขารู้สึกมึนศีรษะ เห็นได้ชัดว่าภายใต้เงื่อนไขที่ไม่มีหน้ากากสวมป้องกันพิษและอุปกรณ์แบบมืออาชีพ เขาเองก็ฝืนทนได้ไม่นาน

ทว่าตอนที่เตรียมจะพาเด็กผู้ชายขี่หลังออกไป โจวเจ๋อรู้สึกว่าเท้าของตัวเองถูกคนดึงเอาไว้ แล้วล้มลงไป ทั้งตัวเด็กผู้ชายที่ขี่หลังอยู่ก็กลิ้งตกลงไปเช่นกัน

“ช่วย…ช่วย…ช่วยผม…ก่อน…ผม….จะให้…เงินคุณ…ช่วยผม…ก่อน…”

ผู้ชายชุดสูทพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้าย จับข้อเท้าของโจวเจ๋ออย่างแน่น เขารู้ว่าตัวเองไม่สามารถฝืนทนต่อไปได้อีก ตอนนี้เขาไม่สามารถหายใจได้ รู้สึกทรมานแสบร้อนอยู่ในปอดเหมือนถูกไฟเผา

โจวเจ๋อที่ล้มลงรู้สึกเวียนศีรษะพักหนึ่ง จนเกือบสลบไป จากนั้นเขาจึงกัดลิ้นของตัวเองทันที พยายามฝืนตัวเองเพื่อให้มีสติ

“ปัง!”

“ปัง!”

โจวเจ๋อใช้เท้าอีกข้างหนึ่งถีบมือและศีรษะของผู้ชายที่จับตัวเองอยู่

หลังจากถีบสองสามครั้ง อีกฝ่ายจึงปล่อยมือในที่สุด

โจวเจ๋อลุกขึ้นอย่างโซเซอีกครั้ง แบกเด็กผู้ชายขี่หลังตัวเอง แล้ววิ่งออกมาจากโรงภาพยนตร์หมายเลขสอง

ตอนที่วิ่งออกมาจากกลุ่มควันที่พวยพุ่ง เข้าสู่โซนปลอดภัย โจวเจ๋อเข่าอ่อน คุกเข่าลงไปกับพื้นเด็กผู้ชายที่ขี่หลังอยู่ก็ตกลงมาเช่นกัน แต่เนื่องจากโจวเจ๋อทำตัวเป็นเบาะรองก่อน เมื่อยังได้สติ ดังนั้นจึงล้มลงไม่แรงมาก

เจ้าหน้าที่ดับเพลิงรีบมาถึง กำลังช่วยเร่งดับเพลิงอยู่ แล้วก็มีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงอีกส่วนหนึ่งที่สวมชุดดับเพลิงครบครันพุ่งเข้าไปในกองเพลิง

“โรงหนังหมายเลขสองยังมีคนครับ”

โจวเจ๋อจับเสื้อของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงคนหนึ่งที่วิ่งผ่านมาแล้วเอ่ยพูด

“ครับ ผมรู้แล้ว” อีกฝ่ายพยักหน้า แล้งพุ่งเข้าไปในกองเพลิง

“ฮู้ๆ…ฮู้ๆ…”

โจวเจ๋อนอนอยู่บนพื้นกระเบื้อง หายใจหอบอย่างแรง และตรงข้ามกับเขา เด็กหนุ่มส่งอาหารในชุดส่งอาหารสีเหลืองถูกรมควันจนดำ เอนหลังหายใจหอบอยู่ตรงนั้นเช่นกัน ทั้งสองคนสบตากันแล้วจึงยิ้มให้กันอย่างหมดแรง

เจ้าหน้าที่ปฐมพยาบาลรุดมาถึงแล้ว ท่ามกลางกลุ่มหมอและนางฟ้าชุดสีขาว โจวเจ๋อไม่มีแรงตามหาว่าหมอหลินเข้ามาช่วยภารกิจช่วยชีวิตครั้งนี้หรือไม่

เขากัดฟันแล้วลุกขึ้นมาอีกครั้ง โจวเจ๋อมองเด็กผู้ชายที่กำลังถูกหมอทำการรักษา หน้าอกของเด็กผู้ชายยังคงขยับขึ้นลงอยู่ น่าจะไม่มีปัญหาอะไรมาก

ขณะเดียวกัน โจวเจ๋อได้มองคนสองสามคนที่ถูกช่วยเหลือออกมาภายหลังโดยนักดับเพลิง บางคนรอดชีวิตแต่บางคนกลับไม่รอด และผู้ชายชุดสูทสีดำคนนั้นก็นอนอยู่บนเปล ไม่ขยับเลยสักนิด น่าจะหมดลมหายใจแล้ว

โจวเจ๋อไม่รู้สึกเสียใจ เขาไม่มีเหตุผลที่ต้องเสียใจ

ตัวเองเป็นคนดี ทำความดี แต่สุดท้ายจะช่วยใครก่อนล้วนขึ้นอยู่กับตัวเอง ใครก็ไม่มีเหตุผลที่จะมาจับศีลธรรมของตัวเองได้

นอกจากนี้ในตอนนั้น ตัวเองไม่มีแรงแบกเด็กผู้ชายและผู้ชายวัยกลางคนวิ่งออกมาได้ในเวลาเดียวกันอย่างสิ้นเชิง ถ้าหากทำแบบนั้น ผลสุดท้ายที่ได้ก็คือตัวเองก็ต้องตายอยู่ในนั้นเหมือนกัน

ตัวเองใช้สวีเล่อยืมซากเพื่อคืนชีพ เป็นได้แค่ ‘บัณฑิต’ ที่มีพลังอันน้อยนิดคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ที่ยืมศพคืนชีพเสียหน่อย

มิหนำซ้ำตาคนนั้นก็เกือบทำให้ตัวเองต้องตายอยู่โรงหนังเช่นกัน

จากนั้นจึงลุกคลานขึ้นมาอย่างยากลำบาก หลังจากปฏิเสธการช่วยเหลือการตรวจสภาพร่างกายของพยาบาลที่อยู่ข้างๆ แล้ว โจวเจ๋อจึงเดินไปที่ห้องน้ำที่อยู่อีกฟากหนึ่งของตึก เปิดก๊อกน้ำ แล้วใช้มือรองน้ำเย็นเช็ดหน้าของตัวเองอย่างแรง

ในที่สุดก็ถือว่ารอดมาได้แล้ว

เมื่อเงยหน้าขึ้น โจวเจ๋อมองตัวเองในกระจก

ทันใดนั้นพบว่าภายในกระจกมีร่างเงาเลือนรางปรากฏอยู่ด้านหลังของตัวเองอย่างช้าๆ

คนคนนี้ใส่ชุดสูทสีดำ จ้องมองตัวเองด้วยใบหน้าที่โหดเหี้ยม อ้าปากตะโกนไม่หยุด เหมือนกำลังซักถามอะไรตัวเอง เต็มไปด้วยความเจ้าอารมณ์และบ้าคลั่งเป็นอย่างมาก

หลังจากคนตายไปแล้ว ถ้าหากได้เจอจังหวะพิเศษมีความเป็นไปได้สูงที่จะกลายเป็นผีร้ายกลับมาแก้แค้น

และตอนนี้ผู้ชายคนนี้ก็เพิ่งเสียชีวิต วิญญาณของเขายังอยู่ในขั้นตอนการกลายเป็นผี และน่าจะกลายร่างเสร็จสมบูรณ์ในช่วงเจ็ดวันแรก

เขายังไม่ได้เป็นผี และพูดได้เพียงว่าเป็นรูปทรงอย่างหนึ่ง

แต่เนื่องจากโจวเจ๋อมีลักษณะพิเศษเป็นของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงสามารถสัมผัสการมีตัวตนของอีกฝ่ายได้ล่วงหน้า

เขากำลังแค้นตนอยู่ที่ไม่ช่วยเขา

และเพราะความแค้นแบบนี้ จึงยอมกลายเป็นผีร้ายโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น!

“เหอะ น่าสนุกดี”

โจวเจ๋อหัวเราะ

จากนั้นจึงนำศีรษะของตัวเองใส่เข้าไปในอ่างล้างหน้าอีกครั้งแล้วใช้น้ำชำระล้างตัวเองต่อ

ขณะเดียวกันก็รู้สึกปลงอนิจจังอยู่ในใจ

“เหอะ คนเราหนอ…”

……………………………………………………………….