ตอนที่ 26 วันพิเศษ

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป โรงภาพยนตร์ถูกปิดแล้ว ถ้าอยากจะเปิดใหม่อีกครั้งภายในระยะเวลาอันสั้นคงเป็นไปไม่ได้กระทั่งมีความเป็นไปได้สูงที่โรงภาพยนตร์แห่งนี้จะถูกทอดทิ้ง เดิมทีเปิดกิจการอยู่ที่นี่ก็ขาดทุนอยู่แล้ว ดังนั้นคงจะไม่เปิดใหม่อย่างเอิกเกริกอีกแน่นอน

เมื่อเป็นเช่นนี้ กลุ่มศูนย์การค้าแห่งนี้คงต้องประกาศเลิกกิจการอย่างแท้จริง

ช่วงนี้โจวเจ๋อไม่ได้ติดต่อหมอหลิน ทั้งสองฝ่ายต่างไม่รบกวนอย่างรู้ใจกัน ใช้ชีวิตของใครของมัน จะมีก็แต่พ่อตาแม่ยายที่โทรมาสองสามครั้ง ซักถามว่าโจวเจ๋อกล้าดีอย่างไรทำไมไม่กลับบ้าน

หลังจากนั้นโจวเจ๋อจึงบล็อกเบอร์โทรของพวกเขาไปเลย

ตอนนี้สิ่งที่น่าปวดหัวที่สุดคือ พ่อตาเป็นคนออกเงินเปิดร้านหนังสือแห่งนี้ กินข้าวของเขาปากจึงอ่อน ใช้เงินของเขามือจึงอ่อนตาม เพียงแต่โจวเจ๋อยังคิดไม่ออกว่าจะใช้วิธีไหนหาเงิน เพื่อให้ตัวเองได้เปิดร้านใหม่และเป็นอิสระอย่างแท้จริง

คงได้แต่พูดว่า ต้นทุนพื้นฐานที่สวีเล่อทิ้งไว้ให้ตัวเอง แย่มากเกินไป

ทว่ากลับมีสื่อสองสามแห่งเคยติดต่อตัวเอง โดยหวังว่าจะได้สัมภาษณ์โจวเจ๋อสำหรับการยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้องในครั้งนี้ และเพื่อประโคมข่าวพลังบวกแห่งยุคใหม่ แต่กลับถูกโจวเจ๋อปฏิเสธทั้งหมด

เขาไม่สนใจชื่อเสียงพวกนี้ ดังคำกล่าวว่าต้นไม้ใหญ่โดนลมโค่น ฐานะและบทบาทของตัวเอง สามารถทำให้ตัวเองเป็นคนมีชื่อเสียงได้จริง แต่ในทางกลับกันยิ่งแฝงไปด้วยอันตรายที่ไม่สามารถควบคุมได้

สำหรับสัปดาห์นี้ กิจการดำเนินไปอย่างเรียบเฉย ยอดขายของทุกวันไม่ถึงหนึ่งร้อย ต้นทุนค่าเช่าค่าน้ำค่าไฟก็ไม่พอ แต่โจวเจ๋อกลับไม่สนใจเท่าไร

สิ่งที่เขาสนใจก็คือ สวี่ชิงหล่างที่อยู่ข้างๆ ไม่เปิดร้านมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว

โจวเจ๋อจ้างช่างสะเดาะกุญแจที่ไร้มโนสำนึกมาช่วยไขกุญแจ พอเข้าไปหาหนึ่งรอบ ก็ไม่เห็นสิ่งที่เป็นพวกน้ำบ๊วยห้องครัวภายในห้องถูกเก็บอย่างสะอาดเรียบร้อย เป็นระเบียบมาก

เป็นสิ่งที่น่าจนใจยิ่ง

ผู้ชายที่หน้าตาสะสวยและมีห้องชุดยี่สิบกว่าหลัง

ถ้าหากจู่ ๆ วันหนึ่งเขาเกิดรู้ซึ้งทางโลกและหมดอาลัยอาวรณ์ต่อทางโลกอยากจะออกไปเสาะหาความเป็นธรรมชาติ

คุณก็ยากที่จะตามหาเขา

และด้วยเหตุนี้ โจวเจ๋อจึงใช้ชีวิตหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างทรมาน

น้ำมันพริกแห้ง น้ำส้มสายชูหมัก ซีอิ๊วดำ

วิธีการทำน้ำส้มที่มีความเข้มข้นสูงก็ลองมาหมดแล้ว ถึงแม้จะสามารถทำให้ตัวเองกินอาหารพวกนี้ได้ แต่ก็ทำเอาตัวเองต้องทนทุกข์ทรมานเช่นกัน และผลลัพธ์ยังห่างไกลจากน้ำบ๊วยที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของบ้านสวี่ชิงหล่างเสียอีก

ตกดึก โจวเจ๋อนิ่งยอง ๆ อยู่หน้าร้านหนังสือเพียงคนเดียวและคาบบุหรี่อยู่ในปาก พร้อมกับสายตาที่เหลือบมองร้านข้างๆ อยู่เป็นนิจ รู้สึกถึงความโดดเดี่ยวอ้างว้างของชีวิต

ข้างถนนหน้าร้าน มีธูปทรงกรวยสี่ห้าอันกำลังถูกเผาไหม้ คนของศูนย์การค้าเป็นคนจัดการ ตามประเพณีวันนี้เป็นวันต้อนรับเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ถึงแม้รู้ทั้งรู้ว่าเทพเจ้าแห่งโชคลาภยากที่จะช่วยกู้ศูนย์การค้าให้กลับมา แต่สิ่งที่ควรปฏิบัติก็ยังต้องทำเหมือนเดิม

ถ้าหากมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นล่ะ

โจวเจ๋อมองกระจกที่อยู่ด้านหลังหรือด้านหน้าของตัวเองเป็นครั้งคราว

ผีร้ายผู้ชายชุดสูทสีดำตนนั้นกำลังพัฒนาให้สมบูรณ์แบบอย่างต่อเนื่อง คืนนี้เป็นเจ็ดวันแรกของเขา น่าจะได้เวลาอันสมควรแล้ว

การกลายร่างของผีร้าย เดิมทีเป็นความน่าจะเป็นที่น้อยมาก อีกอย่าง ผีร้ายทั่วไปมากสุดก็แค่ทำให้คุณเดินสะดุดหกล้ม กินข้าวแล้วกัดลิ้นตัวเองประมาณนี้ หากสามารถทำให้คุณเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ นอนให้น้ำเกลือสองสามวันนับว่าเป็นฝีมือที่ยอดเยี่ยมของผีร้าย

ผีร้ายที่คอยอาละวาดฆ่าคนที่เห็นอยู่ในภาพยนตร์พวกนั้น ในความเป็นจริงไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยด้วยซ้ำไม่อย่างนั้นโลกมนุษย์คงวุ่นวายโกลาหลไปนานแล้ว

แม้แต่โจวเจ๋อที่ยืมศพคืนชีพก็ยังต้องถ่อมตัวไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ

ดังนั้นเศษสวะที่ไม่มีแม้แต่กายเนื้อก็ยังกล้าทำเป็นอวดเก่งหรือ

สัปดาห์นี้ หากมีเวลาว่างโจวเจ๋อก็จะอ่านหนังสือ นั่งเหม่อ ตัดเล็บ จากนั้นก็คอยมองการกลายร่างของผีร้ายที่อยู่ข้างหลังว่าชัดเจนมากน้อยแค่ไหน

และมีความรู้สึกเหมือน…กำลังฟูมฟักบางอย่าง เหมือนได้สัมผัสความรักของพ่อดุจดังขุนเขา

พ่อรักลูก

พ่อรอเจ้าเติบใหญ่

โจวเจ๋อสามารถสัมผัสอารมณ์ความรู้สึกที่อยู่ข้างหลังได้อย่างชัดเจน เขาแค้นที่สุดไม่ใช่เพราะเหตุเพลิงไหม้ แต่เป็นตัวเอง เขาโกรธแค้น เขาเดือดดาล เขาคาดหวัง เขาเฝ้ารอ

หรือบางที ในสายตาของเขาเจ็ดวันแรกในคืนนี้ ก็คือช่วงเวลาแก้แค้นของเขา

ดังนั้นจึงน่าสนใจ

โจวเจ๋อเขี่ยบุหรี่ที่อยู่ในมือ หลังจากรอให้เขากลายร่างแล้ว โจวเจ๋อจะสั่งสอนเขาให้เป็นบทเรียน

เรื่องช่วยชีวิตคน โจวเจ๋อไม่รู้สึกว่าตัวเองทำผิด เขาเองรู้สึกว่าผู้ชายชุดสูทก็ไม่มีความผิดที่เกลียดแค้นตัวเอง

เมื่อก่อน โจวเจ๋อเคยเรื่องคล้ายกันแบบนี้ คนหนึ่งจมน้ำ มีคนลงไปช่วยชีวิต ผลปรากฏว่าคนที่ลงไปช่วยกลับถูกคนที่กำลังจมน้ำรัดคอแน่นจนตาย จากนั้นก็จมน้ำลงไปด้วยกัน

โดยทั่วไปแล้ว การลงไปช่วยคนจมน้ำ คุณต้องเข้าไปกอดเขาจากด้านหลังแล้วค่อยช่วยเหลือ ถ้าหากเข้าไปช่วยจากด้านหน้า จะถูกคนที่กำลังจมน้ำจับแน่นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายได้อย่างง่ายดาย

แน่นอนว่าสามารถเข้าใจได้

แต่ความเข้าใจไม่ใช่เหตุผลที่โจวเจ๋อจะอนุญาตให้ผู้ชายชุดสูทมาอาละวาดในร้านหนังสือของตัวเองอย่างกำเริบเสิบสาน

ตอนกลางวัน โจวเจ๋อสั่งอาหารดิลิเวอรีหนึ่งชุด แล้วจึงพูดคุยกับเด็กหนุ่มส่งอาหารสองสามประโยค และได้ทราบภายหลังว่าเด็กหนุ่มส่งอาหารที่เข้าไปช่วยคนคนนั้นช่วงนี้ดังมาก ไม่เพียงแต่ได้ร่วมกิจกรรมมอบรางวัลต่างๆเท่านั้นแต่ยังได้รับคำชมและการตบรางวัลจากภายในบริษัทอีกด้วย ตอนนี้ได้ฉายาว่า…‘หนุ่มส่งอาหารที่หล่อที่สุด’ ตอนนี้เขายังส่งอาหารเหมือนเดิม แล้วก็ไลฟ์สดไปพร้อมกับส่งอาหาร ได้รับความนิยมสูงมาก

โจวเจ๋อกินข้าวพร้อมกับดื่มน้ำส้มสายชูหมักและปัดหน้าจอดูเวยป๋อ ในช่องค้นหายอดฮิตมีเด็กหนุ่มส่งอาหารคนนั้นจริงๆ

เรื่องที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้ว การจัดการตั้งแต่ต้นและการสรุปผล การพัฒนาและส่งเสริมพลังบวกจนถึงตอนนี้ กำลังเป็นหัวข้อในระดับที่ร้อนแรงและสูงที่สุด อิทธิพลของเรื่องนี้ไม่ได้มีต่อเมืองทงเฉิงเท่านั้น แต่ยังกระจายไปทั่วประเทศ

เวลาห้าทุ่ม โจวเจ๋อมองดูผู้ชายชุดสูทกลายร่างแข็งแกร่งมากขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมกับดูภาพยนตร์ไปด้วย ชื่อภาพยนตร์คือ ‘คนซ่อนอำมหิต’ เป็นผลงานหลายปีก่อนของผู้กำกับหลินชาวเสียนที่มีชื่อเสียงมากในช่วงนี้ นำแสดงโดยอู๋เอี้ยนจู่และจางเจียฮุย

ประตูร้านหนังสือถูกผลักออก เด็กหนุ่มส่งอาหารใส่ชุดส่งอาหารถือไม้เซลฟีแล้วเดินเข้ามา

“นี่คือร้านหนังสือแห่งหนึ่งที่ผมมาประจำ ทุกวันหลังจากผมเสร็จงานส่งอาหารแล้วก็จะมาอ่านหนังสือที่ร้านนี้ แต่ไม่ได้มาเพื่อหาความรู้ แค่ชอบอ่านหนังสือเท่านั้นเองครับ”

พูดจบ เด็กหนุ่มส่งอาหารก็หยิบหนังสือ ‘แปดวิกฤต’ ของเวินเถี่ยจวินออกมาจากชั้นวางหนังสือ

หนังสือเล่มนี้พูดเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจแต่ละครั้งในยุคใหม่ของประเทศจีน เด็กหนุ่มส่งอาหารเปิดหนังสือแล้วตัวเองก็นั่งลงบนเก้าอี้พลาสติก จากนั้นก็อ่านอย่างเพลิดเพลิน

โจวเจ๋อจำได้ว่าที่เขามาครั้งที่แล้ว ได้อ่าน ‘สัประยุทธ์ทะลุฟ้า’ จบไปสองตอน

“โอเค วันนี้การไลฟ์สดก็จบเพียงเท่านี้ ผมอยากจะอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ ทุกคนก็รีบพักผ่อนนะครับ ขอบคุณทุกคนที่อยู่เป็นเพื่อนผมตลอดทั้งวัน” เด็กหนุ่มส่งอาหารโน้มคำนับให้กับหน้าจอโทรศัพท์

หน้าจอโทรศัพท์มีการ์ด เครื่องบินและจรวดพุ่งออกมาเป็นจำนวนมาก ได้รับความนิยมสูงมากจนน่ากลัว

เมื่อปิดโทรศัพท์ เด็กหนุ่มส่งอาหารจึงปิดหนังสือ ‘แปดวิกฤต’ ในมือเช่นกัน แล้วจึงบิดขี้เกียจพลางมองโจวเจ๋อเอ่ยว่า

“เถ้าแก่ ออกไปกินมื้อดึกด้วยกันไหมครับ ผมเลี้ยงเอง”

โจวเจ๋อส่ายหน้า แล้วชี้ไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์

“กำลังดูอะไรเหรอครับ” เด็กหนุ่มส่งอาหารเดินเข้ามาใกล้ ยิ้มพูดหลังจากมองหน้าจอ “หนังเรื่องนี้ผมเคยดูแล้ว‘คนซ่อนอำมหิต’ ใช่ไหมครับ”

“ใช่” โจวเจ๋อพยักหน้า ขณะเดียวกันก็มองไปที่มุมล่างขวาของหน้าจอ ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว

ลูกรักที่อยู่ข้างหลังอดใจรอไม่ไหวเต็มที

“ไม่มีนักข่าวมาสัมภาษณ์คุณเหรอครับ” เด็กหนุ่มส่งอาหารถาม

โจวเจ๋อส่ายหน้า

“จริงๆ แล้วน่าจะสัมภาษณ์นะครับ กิจการร้านหนังสือของคุณจะได้ดีขึ้น”

“ผมชอบความสงบ” โจวเจ๋อทำเป็นเท่พูดปากไม่ตรงกับใจ

เงินสำคัญ แต่ชีวิตสำคัญกว่า

“หนังเรื่องนี้เดี๋ยวค่อยดูก็ได้ครับ” เด็กหนุ่มส่งอาหารเหมือนจะถูกชะตากับโจวเจ๋อมาก อย่างไรก็ตามก็เป็นเพื่อนที่วิ่งเข้าไปช่วยคนในกองเพลิงในตอนแรก

รู้สึกเหมือนเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันกระมัง

“คุณรู้ไหม ‘คนซ่อนอำมหิต’ ดัดแปลงเรื่องราวมาจากเค้าโครงเรื่องจริง ตัวเอกที่อยู่ในชีวิตจริงดูเหมือนจะชื่อสวีปู้เกา” โจวเจ๋อเอ่ยพูด

“เหรอ อันนี้ไม่รู้จริงๆ ครับ” เด็กหนุ่มส่งอาหารยิ้มอย่างเคอะเขินเล็กน้อย “แค่ดูหนังเท่านั้น ใครจะไปสนใจเรื่องพวกนี้”

“อืม ก็จริง” โจวเจ๋อปิดคอมพิวเตอร์แล้วบิดขี้เกียจ “ดึกขนาดนี้ คุณอยากกินอะไร”

“อะไรก็ได้ครับ”

“งั้นผมสั่งเดลิเวอรีก็แล้วกัน”

“ไม่ ออกไปกินข้างนอก ผมเลี้ยงเอง สั่งเดลิเวอรีมีอะไรดี ผมจะบอกคุณให้นะ พ่อครัวหลังร้านพวกนี้ ดูไม่ได้เลย แล้วก็มีธุรกิจบางแห่งไม่มีหน้าร้านจริง แต่เช่าห้องเก่าๆ แล้วทำเอง จุ๊ ๆ ๆ ยังไงผมก็ไม่กล้ากิน”

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้” โจวเจ๋อพยักหน้า “ใช่แล้ว คุณรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับสวีปู้เกา”

“คุณพูดออกมา ผมก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอ”

“ฆ่าเพื่อนร่วมงานของตัวเอง อมเงิน จากนั้นก็ถูกปล่อยตัวเป็นอิสระ แถมยังได้ร่วมรายการโทรทัศน์ ชอบความมีหน้ามีตาและชื่อเสียง” โจวเจ๋อลูบจมูกของตัวเอง “เป็นคนที่ซับซ้อนมากคนหนึ่ง เขาสนุกกับการที่ได้อยู่หน้ากล้องมาก”

เด็กหนุ่มส่งอาหารเงียบไปพักหนึ่ง และไม่ได้คุยเรื่องนี้ต่อ แต่พูดว่า “เถ้าแก่ สรุปคุณจะไปกินมื้อดึกไหมครับ”

“ไม่อยากไป คุณก็เห็นว่าหน้าร้านของผมยังมีธูปทรงกรวยตั้งอยู่มากมาย รมควันผมมาทั้งวันแล้ว จึงไม่หิวอะไรเลย”

ธูปทรงกรวยเป็นธูปหอมขนาดใหญ่และสูงกว่าธูปทั่วไป ซ้อนกันเป็นชั้นเหมือนเจดีย์ หนาและใช้เวลาเผาไหม้นานมาก

“เหอะๆ ร้านของคุณก็ไม่มีกลิ่นอะไรนะครับ” เด็กหนุ่มส่งอาหารชี้ไปที่แอร์ตรงกลางที่อยู่บนร้านหนังสือของโจวเจ๋อ “ทางนี้ น่าจะเป็นเครื่องฟอกอากาศใช่ไหมครับ”

“ใช่ ติดตั้งพร้อมกับแอร์ และผมจะฉีดสเปรย์ปรับอากาศภายในร้านจนเคยชิน อย่างไรเสียก็ได้สร้างบรรยากาศของการอ่านหนังสือได้ไม่ใช่เหรอ ไม่เสิร์ฟกาแฟและไม่มีขนม แต่มีบริการกลิ่นหอมนิดหน่อยเท่านั้น”

“ดังนั้น เถ้าแก่คุณไม่อยากไว้หน้าผมใช่หรือเปล่า” เด็กหนุ่มส่งอาหารแสร้งทำเป็นพูดด้วยความขุ่นเคือง “พวกเราก็ถือว่าได้ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน”

โจวเจ๋อยกมือขึ้นแล้วถามด้วยความสงสัย “ดังนั้น ผมมีเรื่องหนึ่งสงสัยมาตลอด”

“เรื่องอะไรครับ”

“วันนั้น ผมไม่ได้กลิ่นเลยสักนิด และภายในร้านของผม คุณจะได้กลิ่นข้างนอกก็ยังยาก ดูแล้วเป็นไปไม่ได้ วันนั้นคุณได้กลิ่นควันไฟได้ยังไง”

เด็กหนุ่มส่งอาหารตกตะลึงเล็กน้อย สีหน้าดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ แต่ก็ไม่มองเป็นเรื่องสำคัญ แล้วเอ่ยว่า “จมูกของผมดีมาตั้งแต่เด็ก ย่าของผมบอกว่าผมมีจมูกสุนัข ตอนเป็นเด็กหาขนมที่ซ่อนอยู่ในบ้าน แม่นมาก”

“วันนี้เป็นวันอะไรคุณรู้ไหม” โจวเจ๋อถามอีก

“วันอะไรครับ”

“เจ็ดวันแรก”

“เจ็ดวันแรกอะไร”

“ใช่ เจ็ดวันแรก…ของเจ็ดคนนั้นที่โดนไฟคลอกตาย!”

…………………………………………………………………………