ตอนที่ 139 เขามาเดินเล่น

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

ชายชราผอมแห้งปรากฏตัวขึ้นด้านข้างของอิ๋นเจี้ยน

อิ๋นเจี้ยนรีบคว้าชายชราผู้นั้นไว้ กล่าวขึ้น “ดีมากท่านผู้เฒ่า ช่วยข้าด้วย”

มู่เฉียนซีหรี่ตาลง เพ่งมองก่อนจะกล่าวขึ้น “อา… จักรพรรดิยอดยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง”

อัจฉริยะผู้มีพลังชีวิตพิเศษกว่าผู้อื่นเช่นอิ๋นเจี้ยนออกมาท่องยุทธภพ แน่นอนว่ามีผู้ป้องกันระดับจักรพรรดิเพียงคนเดียวคงไม่พอ เช่นนั้นแล้วจึงมีอีกเขามีทั้งผู้อารักขาในที่สว่าง อีกผู้หนึ่งในที่มืด  หากเขาไม่มีอันตรายถึงชีวิต ชายชราในเงามืดนั้นก็จะไม่ออกมา

“ฮ่า ๆ ๆ สาวน้อย เจ้าไม่เลวเลย แต่เจ้ากลับกล้าสังหารคนในสํานักจินติ่งของข้า แน่นอนว่าความผิดนั่นไม่สามารถปล่อยให้เจ้ารอดไปได้” ชายชราหัวเราะคิกคัก

อิ๋นเจี้ยน “ท่านผู้เฒ่า อย่าฆ่านาง หญิงผู้มีพลังภูตธาตุวารีนั้นหายากนัก ข้าอยากจะทดสอบกับนางเพื่อบรรลุระดับขั้น” ชายชรา “แม่สาวน้อยผู้นี้เจ้าเล่ห์มาก ตราบใดที่นางมีชีวิตอยู่ เกรงว่านางจะทําให้เจ้าต้องตายอย่างไร้ดินกลบฝัง เพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้าเอง นางจะต้องตาย”

อิ๋นเจี้ยนนึกไปถึงคนอื่น ๆ ทีโดนมู่เฉียนซีใช้เล่เหลี่ยมจนถึงตาย ก้นบึ้งหัวใจของเขาก็เย็นยะเยือกขึ้นมา แม้การฝึกฝนจะสำคัญ ชีวิตย่อมสำคัญกว่า เขากล่าวเสียงเยียบเย็น “เช่นนั้นท่านผู้เฒ่า ท่านฆ่านางเสียเถอะ”

ฉับพลันทันใด ร่างกายของเสี่ยวหงกลายเป็นเปลวเพลิงรุดเข้าขวางตรงหน้ามู่เฉียนซีไว้ “นายท่าน ท่านรีบไปกับเจ้าแมวนั่นเถอะ ข้าขวางทางเขาไว้ให้เอง”

“มันก็แค่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์แปลกประหลาดตัวหนึ่ง ไม่สามารถขวางข้าได้หรอก!”

พลังชีวิตของจักรพรรดิยอดยุทธ์ ระงับเปลวเพลิงของเสี่ยวหงไว้

— ปัง! —

เสี่ยวหงถูกพลังตบกระเด็นลอยออกไป

ขณะที่ลมปราณอันน่าสะพรึงกลัวของชายชรากําลังใกล้เข้ามา จู่ ๆ เงาร่างสีดําสูงยาวกอดมู่เฉียนซีไว้ในอ้อมแขนของเขา เขาแผ่ไอสังหารออกมา น่ากลัวราวกับปีศาจร้าย

— ตู้ม! —

ร่างของชายชรากระเด็นออกไปราวกับหินไร้ค่าก้อนหนึ่ง มือที่เขาลงมือกับมู่เฉียนซีกลายเป็นกระดูกขาวในทันที  ม่านตาชายชราหดเล็กลงฉับพลัน เขามองไปยังบุรุษหล่อเหลาเอาการทว่าเย็นชาราวอสุราน่าสะพรึงกลัว  คิ้วหงอกขาวของชายชราขมวด เขากล่าวอย่างตระหนก “ผู้แข็งแกร่งของระดับจักรพรรดิวิญญาณ!” “นายน้อยอิ๋น รีบไปเร็วเข้า!”

เขากินยาจี๋เฟิง จับอิ๋นเจี้ยนและหายตัวไปอย่างรวดเร็วต่อหน้ามู่เฉียนซีและซวนหยวนจิ่วเยี่ย

จิ่วเยี่ยไม่ยอม จะไล่ตามขึ้นไปแต่ถูกมู่เฉียนซีคว้าแขนจับไว้ “ช้าก่อน นั่นความแข็งแกร่งของเจ้าอ่อนแอลงแล้วหรือ ?”

เมื่อก่อนพลังระงับของจิ่วเยี่ยทําให้ผู้คนไม่รู้สึกเลย ทว่ายามนี้กลับทําให้ผู้คนรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงพลังระดับจักรพรรดิวิญญาณ

จิ่วเยี่ยจับคางเรียวประณีตงดงามสมบูรณ์แบบของสตรีตรงหน้า ดวงตาสีฟ้าเย็นเยือกของเขามองลึกเข้าไปในดวงตามู่เฉียนซีราวกับว่ากําลังจะกลืนกินจิตวิญญาณของนาง

“แม้ว่าการปราบปรามพลังของข้าจะยับยั้งถึงระดับจักรพรรดิ แต่ก็ยังมีเหลือเฟือที่จะทำให้ใครหน้าไหนก็ตามที่กล้าทําร้ายเจ้า หายไปจากโลกนี้…” ดวงตาสีฟ้าเย็นเยือกแฝงความโหดเหี้ยมเย็นชา “คนที่กล้าทําร้ายเจ้า ไม่จําเป็นต้องอยู่ในโลกนี้”

พลังคำสาปต้องการปราบปรามความแข็งแกร่งของเขาจนถึงระดับจักรพรรดิจึงจะควบคุมได้  เจ้าก้อนน้ำแข็งนี่ก็เหมือนเช่นเคย เขามีอำนาจเหนือกว่าและเป็นหนึ่งเดียวเสมอ

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างใจเย็น “สำนักป้านซิงและจักพรรดิยอดยุทธ์ระดับหนึ่ง ให้เวลาข้าหน่อย ข้ามีวิธีจัดการของข้าเอง ดังนั้นปล่อยให้ข้าจัดการเองเถอะนะ”

“ตามที่เจ้าว่า” จิ่วเยี่ยกล่าวออกมาเพียงเท่านั้น

มู่เฉียนซี “น้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่กับข้า ข้าใช้ในการวิจัยไปเล็กน้อย ที่เหลือข้าให้เจ้า ตอนนี้สถานการณ์ของเจ้าค่อนข้างแย่ คงต้องใช้มันแล้ว”

มู่เฉียนซีต้องการมอบขวดยาน้ำศักดิ์สิทธิ์ให้กับซวนหยวนจิ่วเยี่ย มือนางกลับถูกผลักกลับไปด้วยมือเรียวยาวของเขา “ไว้ที่เจ้าก่อน เมื่อต้องการข้าจะเอามาเอง”

มู่เฉียนซีถามขึ้น “ช่างมันเถอะ เจ้าเองก็เชื่อข้าถึงขนาดนั้น  เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะทำลายน้ำศักดิ์สิทธ์ทิ้งหรือ ? คำสาปนั่นมันจะออกฤทธ์ทำให้เจ้าเจ็บปวดและไม่สามารถควบคุมมันได้”

เอวของนางถูกโอบไว้ ริมฝีปากเรียวบางของเขาเข้ามาใกล้หูของนาง “ถ้าเจ้าทําอย่างนั้น ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะดึงเจ้าลงนรกไปด้วยกัน”

เสียงของเขาราวกับดังมาจากนรก ทําให้ผู้คนกลัวจนตัวสั่น

มู่เฉียนซีเบะปากกล่าว “ข้าจะไม่ทําเรื่องที่ทำลายตัวเองเช่นนั้นหรอก”

มู่เฉียนซีมองร่างสูงโปร่งของเขาก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “สําหรับร่างกายของเจ้า ไม่มีโรคใดที่หมอปีศาจอย่างข้ารักษาไม่ได้ อีกอย่าง ข้าก็มีน้ำศักดิ์สิทธิ์ อาจจะต้องให้เวลาข้าสักนิด ข้ามั่นใจว่าข้าสามารถปรุงยาที่ให้ผลได้ดีกว่าน้ำศักดิ์สิทธิให้เจ้าได้”

นางเงยหน้ามองดวงตาเย็นเยือกคู่นั้น หมอปีศาจมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีของหมอปีศาจ นางถูกเขาช่วยมาตลอด ฉะนั้นจะต้องทําอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการตอบแทนเขา

จิ่วเยี่ยจับมู่เฉียนซีไว้ พุ่งผ่านป่าไปอย่างรวดเร็ว นางได้ยินเขาพูดเสียงเยียบเย็น “ข้ารู้ว่าเจ้าทําได้”

มู่เฉียนซียกยิ้มมุมปาก คําพูดง่าย ๆ เช่นนี้กลับเป็นการยืนยันโดยไร้ข้อสงสัยสําหรับเขา นางรู้สึกว่าตนอารมณ์ดีขึ้นอย่างน่าแปลก เมื่อไปทางภูเขาเหิงเทียน ไม่ได้ไปเส้นทางที่อยู่ใกล้กับถนนหลวง ดังนั้นแล้วการที่ไปแคว้นชิงก็เดินทางอ้อมออกไปไม่ไกลมากนัก  ขณะที่พวกเขารีบเดินทางกันอยู่นั้น มู่เฉียนซีเกิดหิวขึ้นมา นางใช้ให้เจ้าอู๋ตี้กับเสี่ยวหงไปไล่จับไก่กระดูกวิญญาณมาสองสามตัว

มู่เฉียนซี “ข้าได้ยินมาว่าไก่กระดูกวิญญาณมีเนื้ออร่อยและกระดูกแสนกรอบมาก ข้าจะทำเป็นไก่ขอทานก็แล้วกัน ทำเสร็จแล้วจะให้พวกเจ้าได้กินกัน”

“อืม” จิ่วเยี่ยพยักหน้าเล็กน้อย

มู่เฉียนซีจัดการกับเนื้อไก่กระดูกวิญญาณอย่างชำนาญ เมื่อเสร็จแล้วจึงเรียกเสี่ยวหงมา “เสี่ยวหง จุดไฟ”

“ขอรับ” ปลายนิ้วของมู่เฉียนซีจิ้มไปที่จมูกหมูสีแดงเล็ก ๆ  กล่าวหยอกเย้า “ระวังไฟให้ดีด้วยล่ะ หากเจ้าย่างไม่ดีข้าก็ไม่รังเกียจที่จะทำหมูย่างอีกอย่างหนึ่ง”

หางของเสี่ยวหงแข็งทื่อ มันรีบจดจ่ออยู่กับการย่าง

เพราะเสี่ยวหงตั้งใจทำ ไม่นานก็มีอาหารให้ได้กินกัน เมื่อดินที่พอกเนื้อไก่ย่างอยู่นั้นถูกตบให้เปิดออก กลิ่นหอมพลันฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ มู่เฉียนซีส่งให้จิ่วเยี่ยหนึ่งตัว ส่วนตนเองคว้าเอาไปหนึ่งตัว

“ให้ข้า!” อู๋ตี้รีบกล่าว

“ไม่ เอามาให้ข้า ข้าเป็นคนย่าง” เสี่ยวหงแย้ง

ไก่ย่างที่เหลือเป็นตัวสุดท้าย เริ่มถูกแย่งชิงกันโดยเสี่ยวหงและอู๋ตี้ มู่เฉียนซีกับจิ่วเยี่ยนั่งอยู่ข้าง ๆ กัน พวกเขาเพลิดเพลินกับอาหารป่ากันอย่างมีมารยาท ทั้งสองกินไก้กันอย่างเงียบ ๆ  เงียบเสียจนได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายเต้นได้ชัดเจน

อีกด้านหนึ่ง เสี่ยวหงอู๋ตี้สองสัตว์ดื้อ ยื้อแย่งไก่กันดุเดือดจนหน้าดำหน้าแดง

หลังจากกินเสร็จแล้ว มู่เฉียนซีถามขึ้นว่า “จิ่วเยี่ย เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรรึ ?”

จิ่วเยี่ยตอบกลับเพียงสองคํา “เดินเล่น”

มู่เฉียนซีกระตุกมุมปากเล็กน้อย เยี่ยอ๋องเดินมาถึงตรงนี้ถือว่าไกลไปหน่อยแล้วมิใช่หรือ ? เดินเล่นมาจากแคว้นจื่อเยี่ยจนถึงเขตชายแดนแคว้นจื่อเยี่ยกับแคว้นชิง มันเกินไปแล้ว…

มู่เฉียนซีรู้อย่างแจ่มแจ้งว่าเขาโกหก แต่ถึงอย่างไรนางก็พูดอะไรไม่ได้ อีกทั้งเมื่อได้เลี้ยงอาหารต้อนรับเขาผู้นี้แล้ว ก็ไม่สามารถไล่ให้องค์ชายน้ำแข็งนี่จากไปได้  ดังนั้นทั้งสองจึงเดินทางไปด้วยกัน ตัดผ่านภูเขาเหิงเทียนไป

แม้ว่าจิ่วเยี่ยจะควบคุมพลังของตนเองให้อยู่แค่เพียงในระดับจักรพรรดิวิญญาณ แต่สัตว์ป่าทั้งหลายตัวแข็งทื่อ พวกมันไม่กล้าเข้ามาใกล้กลุ่มเล็ก ๆ ของพวกเขาแม้แต่น้อย  มู่เฉียนซีและจิ่วเยี่ยจึงเดินทางจากเทือกเขาเหิงเทียนได้อย่างปลอดภัย

ขณะที่พวกเขากําลังจะเดินออกจากเทือกเขาเหิงเทียนในไม่ช้า พลันมีเงาสีเงินพุ่งตรงเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว  จังหวะที่พวกเขาเดินออกมาจากเทือกเขาเหิงเทียน ทันใดนั้นเงาร่างสีเงินพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ชายผู้นั้นพุ่งมา เขาเห็นจิ่วเยี่ยกับมู่เฉียนซีสองคนที่อยู่ตรงหน้า ตกใจเกือบจะล้มลงกับพื้น ทว่าเขาละล่ำละลักพูด “วิ่ง! รีบวิ่งเร็วเข้า! สัตว์วิญญาณระดับสี่กําลังไล่ตามมา”

“อันตราย!  รีบหลบเร็ว!” มู่เฉียนซีตะโกนบอกชายคนนั้น

จากนั้นทุกคนได้เผชิญหน้ากับฝุ่นละอองโขมงยักษ์ มีหมูขนยาวสีดำต้นตอทำให้เกิดฝุ่นกำลังวิ่งเข้ามา มู่เฉียนซีกอดเสี่ยวหงวิ่งออกมา ปากก็กล่าวว่า “เฮ้! เสี่ยวหง เจ้าหมูขนดำนี่เป็นชนิดเดียวกับเจ้า”

.