ตอนที่ 140 ถูกจูบอีกครั้ง

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

เสี่ยวหงได้ยิน มันรู้สึกโกรธเคืองเล็กน้อย “ข้าไม่ได้อัปลักษณ์อย่างนั้นสักหน่อย! ”

— ตูม! —

เปลวไฟทรงกลมพุ่งออกมาด้วยพลังเผาไหม้อย่างรุนแรง ร่างของสัตว์วิญญาณร้ายพลันไหม้เกรียมในชั่วพริบตา

ไป๋มู่เฟิงมองดูสตรีและบุรุษที่ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า ใบหน้าเขาตะลึงงัน สตรีสวมชุดสีม่วงงดงามมากจริง ๆ งามเสียจนทั่วทั้งแคว้นก็ไม่มีผู้ใดเทียบได้ ส่วนบุรุษผู้ยืนข้าง ๆ ก็เช่นกัน รูปลักษณ์งดงามน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก บุรุษสวมชุดดำสนิทราวกับท้องฟ้ายามรัตติกาล ใบหน้าเขาหล่อเหลาไร้ที่ติ

หากจะกล่าวว่าไม่มีบุรุษผู้ใดเทียบเขาได้ ก็ไม่ได้เป็นการกล่าวเกินไปเลย

ทว่าบุรุษชุดดำแผ่กลิ่นอายความดุร้ายเย็นชา จนทำให้ผู้ที่พบเห็นต้องรู้สึกหวาดกลัวเขา

ไป๋มู่เฟิงกลับมามีสติอีกครั้ง เขากล่าวขึ้นว่า “ขอบคุณแม่นางที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้”

มู่เฉียนซีเหลือบมองดอกไม้ในมือของไป๋มู่เฟิง คิ้วงามของนางขมวดขึ้น “บุญคุณในการช่วยชีวิตควรตอบแทนให้ได้ดั่งสายธาร เช่นนั้นเจ้ามอบดอกเยว่หลานสามชีวิตนั่นให้ข้าได้หรือไม่ ?”

ไป๋มู่เฟิงกำดอกเยว่หลานในมือแน่น “เกรงว่าจะไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่สามารถช่วยชีวิตท่านปู่ข้า อย่างอื่นไม่ว่าจะเป็นแก้วแหวนเงินทอง ข้าให้เจ้าได้”

“แบ่งรากเพียงเล็กน้อยให้ข้าก็ยังดี” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“แค่รากมันรึ ?” เขาผงะไปครู่หนึ่ง รากใช้เป็นยาไม่ได้ก็ไร้ประโยชน์ “ตกลง ข้าให้รากเจ้าก็ได้”

ขณะที่เขากำลังจะหยิบกริชออกมาตัดราก มู่เฉียนซีคว้ามือเขาเอาไว้ก่อน มุมปากนางยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกล่าว “ช้าก่อน เจ้าจะหยาบคายกับของล้ำค่าเช่นนี้ได้อย่างไรกันเล่า”

รอยยิ้มบอบบางอ่อนโยนดูมีเสน่ห์ทำให้ไป๋มู่เฟิงเคลิ้มไปเล็กน้อย จากนั้นมู่เฉียนซีหยิบมีดขนาดปลายนิ้วก้อยออกมา นางค่อย ๆ ตัดรากดอกเยว่หลานสามชีวิตอย่างระมัดระวังโดยที่ไม่ทิ้งร่องรอยเสียหายใด ๆ ไว้เลย

โดยปกติแล้วมู่เฉียนซีเป็นคนดื้อรั้นชอบใช้ความรุนแรง การที่นางระมัดระวังและอ่อนโยนได้ถึงเพียงนี้ นางอาจจะทำเฉพาะกับสมุนไพรวิญญาณที่นางโปรดปราณก็เป็นได้

แน่นอนว่าท่าทีอ่อนโอนเช่นนี้ นางไม่เคยทำกับจิ่วเยี่ยมาก่อน

ดวงตาสีฟ้าอันเย็นชาของจิ่วเยี่ย บัดนี้เย็นชาขึ้นมาก เขาดึงร่างมู่เฉียนซีผู้เป็นสตรีที่รักกลับมาและอันตรธานหายไปในทันที

ทั้งสองคนอันตรธานไปภายในชั่วพริบตา หากรากของดอกเยว่หลานที่ถืออยู่ในมือไม่ได้หายไปด้วย ไป๋มู่เฟิงคงคิดว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเพียงความฝันเป็นแน่

ทางด้านมู่เฉียนซี นางรู้สึกได้ว่าถูกจิ่วเยี่ยกอดรัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก นางรู้สึกราวกับจะต้องไปนั่งจิบชาอยู่กับยมทูตแห่งนรกในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า

นางแข็งใจบ่นพึมพำว่า “จิ่วเยี่ย เจ้าเป็นอะไรไป ? เจ้าโกรธอีกแล้วรึ ?  ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ้าเสียเวลาเลยนะ”

“ต่อไปห้ามยิ้มเช่นนั้นอีกเป็นอันขาด” จิ่วเยี่ยกล่าว มีแววเกรี้ยวกราดแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขา

“เยี่ยอ๋อง การที่ข้ายิ้มก็เป็นความผิดหรือ ?” มู่เฉียนซีถาม นางแทบกระอักเลือด นางคิดว่านางคุ้นชินกับอาการแปลกประหลาดของเขาแล้วแท้ ๆ  คิดไม่ถึงเลยว่าครานี้พฤติกรรมแปลก ๆ ของเขาจะยกระดับขึ้นมาได้อีก

เมื่อเห็นนางไม่พอใจเล็กน้อยที่เขากรุ่นไปด้วยอารมณ์โกรธ จิ่วเยี่ยก็กล่าวขึ้น “เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะยิ้มให้ข้า”

นางมองจิ่วเยี่ย ขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “จิ่วเยี่ย เหตุใดก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้สึกว่าเจ้าหลงตัวเองเช่นนี้เลย แม้รูปร่างหน้าตาเจ้าจะงดงามมีเสน่ห์ แต่เจ้าก็ไม่ได้น่ารักเหมือนสมุนไพรวิญญาณ เหตุใดรึ… เหตุใดข้าเห็นหน้าเจ้าแล้วข้าต้องยิ้ม ?”

สองมือของจิ่วเยี่ยค่อย ๆ ปล่อยลงอย่างช้า ๆ ดวงตาที่เย็นชาคู่นั้นดูเหมือนจะลึกเข้าไปในหัวใจของนาง

“ซี อยู่ต่อหน้าข้านับวันเจ้ายิ่งบังอาจมากเกินไปแล้ว”

ทันใดนั้นเอง ร่างของทั้งสองตกลงบนกิ่งไม้ มู่เฉียนซีรับรู้ได้ถึงอันตราย นางจึงเอนตัวถอยหลังด้วยความเร่งรีบ ทว่ามีกิ่งไม้อยู่ด้านหลัง นางจึงไม่สามารถหลบหลีกได้

มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า… “ก็ก่อนหน้านี้ข้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นคนน่ากลัว นั่นก็เป็นเพราะคิดว่าเจ้าคงฆ่าข้าได้ทุกเมื่อ แต่ตอนนี้ ข้ามีโอกาสช่วยเจ้าแก้คำสาป เจ้าคงไม่คิดจะฆ่าข้าหรอก ใช่หรือไม่ ?”

ตั้งแต่ได้รู้จักกัน ได้ไปมาหาสู่กัน จิ่วเยี่ยช่วยเหลือนางไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า  นางเองก็รู้สึกได้ว่าบุรุษผู้นี้จะไม่ทำร้ายนางเป็นแน่ ดังนั้นเวลาที่อยู่ต่อหน้าเขา นางจึงไม่ค่อยระมัดระวังเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

นางสามารถยั่วโมโหเขาได้ เยาะเย้ยเขาได้ หยอกล้อเขาได้ นี่เป็นความรู้สึกของการเป็นสหายกันอย่างแท้จริง อีกทั้งนางยังรู้สึกผ่อนคลาย เป็นตัวของตัวเองมากขึ้นกว่าแต่ก่อน

มู่เฉียนซีรู้สึกว่าด้านหลังศีรษะของนางถูกตรึงไว้  เงาด้านหน้านางก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ไม่นานนัก ริมฝีปากของนางถูกประกบปิดทันที

จูบนี้เบาราวกับผีเสื้อที่บินมาเกาะอยู่บนกลีบดอกไม้ ทว่าเมื่อลิ้นรุกล้ำ กลับทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกสัตว์ร้ายกลืนกิน ดวงตาของนางเบิกกว้างแทบถลนออกมาด้วยความตกใจ

นี่จิ่วเยี่ยเกิดอาการนั้นขึ้นอีกแล้วรึ ?

เขาค่อย ๆ หมุนคอ ริมฝีปากกดทับรุนแรงขึ้น ทำให้ลมหายใจของนางเริ่มติดขัดมากขึ้น ลิ้นเขาเริ่มซอกซอนเข้ามาหาลิ้นของนางลึกขึ้นเรื่อย ๆ

สายลมพัดโชยไปอย่างช้า ๆ จุมพิตนี้ของเขาเป็นไปอย่างเงียบ ๆ ราวกับกำลังเพลิดเพลินอยู่กับอะไรบางอย่าง

เมื่อริมฝีปากของทั้งสองผละออกจากกัน ผ้าไหมสีเขียวที่พัวพันกันยุ่งเหยิงกระจัดกระจายออกทันที มู่เฉียนซีรู้สึกว่าร่างกายของตนเองในเวลานี้อ่อนแอ อ่อนยวบยาบไร้เรี่ยวแรง

คนเย็นชาเช่นจิ่วเยี่ย ใครจะกล้าคิดว่าเขาจะมอบจูบอันแสนอบอุ่นเช่นนี้ได้ นี่ไม่ใช่นิสัยของเขาแม้แต่น้อย มือเรียวของเขาหยิบเส้นผมนางที่ตกลงมาปรกหน้าผากออก กล่าวถามนางเบา ๆ

“ที่แท้เจ้าชอบความอ่อนโยนเช่นนี้หรอกรึ ?”

มุมปากมู่เฉียนซีกระตุกเล็กน้อย “จิ่วเยี่ย ข้าไม่ชอบที่เจ้าเย็นชาราวน้ำแข็งจริง ๆ นะ”

“แม้การจูบเพียงครู่เดียวจะไม่ได้ทำให้ท้อง แต่เจ้าก็ไม่ควรจูบข้าถี่ขนาดนี้” มู่เฉียนซีอดที่จะบ่นพึมพำไม่ได้

“เจ้าเป็นสตรีเพียงผู้เดียวที่สามารถชิดใกล้ข้าได้ถึงเพียงนี้ จะมีเพียงเจ้าผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถกระตุ้นให้ข้าทำเช่นนี้ได้” จิ่วเยี่ยมองมู่เฉียนซีด้วยสายตาลึกซึ้ง

มู่เฉียนซีกล่าวกลับไปอย่างลึกซึ้งเช่นกันว่า “จิ่วเยี่ย อาการป่วยนี้ของเจ้านับวันเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จะต้องรีบรักษาให้หายโดยเร็ว ข้ารับปากว่าข้าจะพยายามอย่างหนักเพื่อรักษาเจ้าให้หายดี”

“ก่อนข้าจะหาย เจ้าห้ามขัดใจข้า”

“ได้”

และแล้วมู่เฉียนซีก็ถูกจูบอีกครั้ง นางเบิกตากว้างดวงตาแทบถลนออกมา เหตุใดนางถึงได้รู้สึกว่าตนเองแกว่งเท้าหาเสี้ยน นางทำให้ตนเองถูกจูบครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้

หลังจากที่อาการของจิ่วเยี่ยกำเริบถึงสองครั้งสองครา ในที่สุดเขาก็กลับมาเป็นปกติ

จากนั้นไม่นานนัก ร่างสีม่วงปรากฏขึ้นภายในห้องของเยวี่ยเจ๋อ  เมื่อเยวี่ยเจ๋อได้เห็นร่างที่คุ้นเคย ความดีใจปรากฏบนใบหน้า เขาแทบจะกระโดดเข้าไปกอดนาง

ทว่ากลับต้องชะงักไป มีร่างบุรุษชุดดำปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน เขามองร่างนั้นอย่างหวาดกลัว

เยวี่ยเจ๋อผงะไปครู่หนึ่ง เป็นเขา…

ใบหน้าของเขานั้น เวลานี้มิได้สวมหน้ากากผีอย่างคราก่อน แต่ไอสังหารที่จิ่วเยี่ยมีต่อเขา เขารับรู้ได้ชัดเจน

เยวี่ยเจ๋อ “พี่ใหญ่ กลับมาสักที ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่ใหญ่ต้องปลอดภัย”

จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงเย็น “มีข้ายู่ นางไม่มีทางเป็นอะไร”

เยวี่ยเจ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ต้องขอบคุณเยี่ยอ๋องมากที่ช่วยพี่ใหญ่ของพวกเราไว้ ขอบคุณท่านมากจริง ๆ”

“ข้าช่วยชีวิตว่าที่พระชายาข้าเอาไว้ เหตุใดต้องได้รับคำขอบคุณจากผู้อื่น ?”

“ท่านเป็นแค่ว่าที่ ไม่ใช่คนในตระกูลมู่” เยวี่ยเจ๋อกล่าว

ทั้งสองบุรุษสบตากัน ไอสังหารแผ่กระจายทั่วบริเวณ

มู่เฉียนซีบ่นพึม ‘เยวี่ยเจ๋อเอ๋ย นับวันเจ้ายิ่งกล้านัก ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกล้าหาญต่อหน้าจิ่วเยี่ยได้ขนาดนี้ ข้าชื่นชมเจ้าจริง ๆ’

เพื่อทำลายบรรยากาศเย็นยะเยือก นางเปลี่ยนเรื่อง กล่าวถามขึ้นว่า “เยวี่ยเจ๋อ สถานการณ์ของเจ้าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่ ?”

.