บทที่ 219 สามคืน (1)
ดาบสะกดมารไม่มีความน่าดึงดูดสำหรับลู่เซิ่งแม้แต่น้อย แม้จะมีปราณหยิน แต่ก็น้อยมาก อย่างมากสุดไม่กี่หน่วย ตอนที่เขาชักดาบออกมาก็ดูดได้จนหมดแล้ว
เขายังไม่มีวิธีจัดการอาวุธเทพศัสตรามาร พวกมันต้องการให้คนทุ่มเททั้งกายทั้งใจบูชา ยังต้องทำพิธีเลือด พิธีกฎเกณฑ์ในเวลาที่แน่นอน เป็นระบบนอกรีตโดยสิ้นเชิง
กลับตามทางเดิม ลู่เซิ่งเร่งความเร็ว ใช้เวลาครึ่งหนึ่งของตอนแรก ก็กลับมาถึงตรงหน้าผู้อาวุโสใหญ่ที่อยู่นอกลาน
“เยี่ยมมาก” ผู้อาวุโสใหญ่มองลู่เซิ่งอย่างพอใจ การทดสอบในครั้งนี้ความจริงไม่ใช่แค่ทดสอบความกล้าของลู่เซิ่งเท่านั้น ยังทดสอบระดับความไว้เนื้อเชื่อใจที่เขามีต่อคำพูดของอาจารย์เช่นตนด้วย นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ผลลัพธ์ทำให้เขาพอใจยิ่ง
“ไปเถอะ” ผู้อาวุโสใหญ่โยนหน้ากากให้ลู่เซิ่ง “ของสิ่งนี้เร่งการฝึกฝนของเจ้าได้ รักษาให้ดี อย่าทำหาย”
“ขอรับ!” ลู่เซิ่งพยักหน้า
ทั้งสองคน หนึ่งหน้าหนึ่งหลังออกจากประตูตำหนักวิชาลับอย่างช้าๆ
กลับมาถึงหน้าผาถ้ำ ลู่เซิ่งบอกลาผู้อาวุโสใหญ่ กลับห้องของตัวเองตามลำพัง เขาปิดประตูถ้ำสนิท แล้วเริ่มดูดซับปราณหยินอันมหาศาลบนหน้ากาก
นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้อง ลู่เซิ่งพิจารณาหน้ากากสีแดงในมือตนอย่างถี่ถ้วน หน้าคนที่สลักไว้ด้านบนไม่แสดงสีหน้า บนหน้ากากมีสัญลักษณ์สามเหลี่ยมซับซ้อนแปลกประหลาดอยู่อันหนึ่ง
‘เป็นปราณหยินที่มหาศาลจริงๆ…’ ลู่เซิ่งถอนใจชมเชย ต่อให้เป็นก้อนทองแดงลึกลับที่ดูดซับไปก่อนหน้าก็ยังไม่มีปราณหยินเข้มข้นเท่าสิ่งนี้
‘เงื่อนไขในการเกิดปราณหยินมีสองข้อ ข้อแรกคือทุ่มเทจิตใจเป็นเวลานาน ข้อสองคึอพกติดตัวไปจนตาย ใส่สารกาย ปราณ จิตทั้งหมดของตนไว้ที่มัน อย่างนั้นตอนนี้จะเรียกมันว่าปราณหยินก็ดูไม่ค่อยเหมาะแล้ว…’
ลู่เซิ่งลูบไล้หน้ากาก ‘งั้นเรียกว่า พลังอาวรณ์ ก็แล้วกัน’
‘ธรรมชาติของพลังอาวรณ์ความจริงสมควรเป็นสิ่งที่หลงเหลือจากการที่จิตใจผสมกับสารกายและปราณ นอกจากนี้แล้วยังมีพลังที่เครื่องมือปรับเปลี่ยนดูดซับได้’
ลู่เซิ่งทบทวนถึงฉากตอนที่เก็บหินของผีน้ำได้
‘หลังจากผีถูกฆ่า มีโอกาสในระดับหนึ่งที่จะทิ้งสิ่งของซึ่งมีพลังอาวรณ์ไว้ อย่างเช่นเถ้าธุลีซากกระดูก หรือวัตถุพิเศษบางจำพวก หมายความว่าขอบเขตของพลังอาวรณ์ยังรวมไปถึงความนึกคิดที่จับตัวกันในระดับสูงทั้งหมดด้วย ขอแค่เป็นความนึกคิดที่จับตัวกัน เครื่องมือปรับเปลี่ยนก็จะสามารถดูดซับ แล้วเปลี่ยนให้เป็นพลังงานได้’ อยู่ๆ ลู่เซิ่งก็นึกถึงสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งได้
‘เป็นไปได้ไหมว่าพวกผีไม่ใช่ไม่ทิ้งพลังอาวรณ์ไว้หลังถูกฆ่า แต่พลังอาวรณ์ของพวกมันไม่มีสิ่งของที่เหมาะสมเก็บไว้!’
ลู่เซิ่งตริตรอง ถ้าหากเป็นแบบนี้จริงๆ เขาก็นึกหาวิธีการที่เหมาะสมที่สุดซึ่งใช้ทดลองรวบรวมพลังอาวรณ์ในขีดจำกัดสูงสุดได้
‘ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดเรื่องพวกนี้ ดูดพลังอาวรณ์ในหน้ากากก่อนค่อยว่ากัน’ ลู่เซิ่งสงบจิตใจ มือกำหน้ากากแน่น จากนั้นก็เปิดรูขุมขนบนผิวหนังกลางฝ่ามือ
ซู่…
เหมือนกับปลาวาฬกลืนน้ำ พลังอาวรณ์อันมหาศาลถ่ายทะลักสู่มือของลู่เซิ่ง ก่อนจะเข้าไปในร่างกาย จากนั้นก็ถูกเครื่องมือปรับเปลี่ยนอันลี้ลับดูดซับจนหายไป
ในเวลาสิบกว่าอึดใจ พลังอาวรณ์บนหน้ากากถูกเขาดูดซับจนเกลี้ยง หน้ากากเสียความเปล่งปลั่งไปด้วยความเร็วที่ตาเนื้อเห็นได้ เหมือนกับเก่าลงกว่าเดิมหลายปี
‘คำนวณหยาบๆ มีพลังอาวรณ์หนึ่งร้อยยี่สิบกว่าหน่วย…’
ลู่เซิ่งมีสีหน้ายินดี ปราณหยินมากมายขนาดนี้เขาเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก เห็นได้ว่าก่อนหน้านี้หน้ากากนี้จะต้องมีประวัติศาสตร์อันล้ำลึกผูกมัดอยู่ นึกถึงสีหน้าของผู้อาวุโสใหญ่ตอนถือมัน เขาเดาว่ามันจะต้องเป็นมีความคิดของผู้อาวุโสใหญ่ฝากฝังเอาไว้ด้วย
‘ก่อนหน้านี้เหลือพลังอาวรณ์ยี่สิบกว่าหน่วยยังไม่ได้ใช้ เพิ่มมาเยอะขนาดนี้ ดูเหมือนใช้ยกระดับวิชาลับได้แล้ว’
วางหน้ากากไว้ด้านข้าง ลู่เซิ่งมองเครื่องมือปรับเปลี่ยนตรงหน้า
‘เคล็ดวิชาหน้ามารเป็นวิชาลับขั้นต่อจากวิชาไร้มูลเหตุ เป็นเคล็ดวิชาระดับกลาง วิธีการฝึกฝนและภาพตรึกตรองมีอยู่ในเนื้อหากับจุดสำคัญที่ผู้อาวุโสใหญ่ให้เราจำไว้อยู่แล้ว…ในเมื่อเป็นการพัฒนาของวิชาไร้มูลเหตุ ก็อาจจะยกระดับจากวิชาไร้มูลเหตุได้’
เขาครุ่นคิด ทบทวนเนื้อหาและพื้นฐานของเคล็ดวิชาหน้ามาร ก่อนจะใช้จิตสำนึกกดลงบนปุ่มในเครื่องมือปรับเปลี่ยน
เครื่องมือปรับเปลี่ยนพลันสั่นไหว เข้าสู่สภาพปรับเปลี่ยนได้
‘ยกระดับวิชาไร้มูลเหตุสักระดับเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงก่อน’
เขามองกรอบของเครื่องมือปรับเปลี่ยน ตรงวิชาไร้มูลเหตุ เห็นปุ่มยกระดับเรียนรู้ได้อยู่ด้านหลัง
ลู่เซิ่งรวบรวมความคิด แล้วกดลงอย่างแรง
ซู่…
กรอบเล็กๆ พลันจางลง เหมือนมีหมอกชั้นหนึ่งคลุมพื้นผิว หมอกคงอยู่ราวยี่สิบกว่าอึดใจ ค่อยชัดขึ้นใหม่
ภายในกรอบ หลังจากชัดเจนขึ้นอีกครั้ง กลายเป็นวิชาลับอีกวิชาหนึ่งโดยสมบูรณ์
[เคล็ดวิชาหน้ามารไร้มูลเหตุ: ระดับที่หนึ่ง(วิชาลับขั้นต่อจากวิชาไร้มูลเหตุ) ผลพิเศษ: เพิ่มความแข็งแกร่งถึงขีดสุดระดับหนึ่ง จิตมารระดับหนึ่ง]
‘เพิ่มความแข็งแกร่งถึงขีดสุดหรือ จิตมารหรือ’ ลู่เซิ่งมองผลพิเศษสองอย่างในครั้งนี้ ต่างจากวิชากำลังภายใน เมื่อฝึกฝนวิชาลับถึงระดับที่แตกต่าง ผลลัพธ์เพียงหนึ่งเดียวคือได้ผลพิเศษที่ไม่เหมือนกันเหล่านี้
ผลพิเศษเพิ่มความแข็งแกร่งเมื่อก่อนหน้านี้หลังจากถึงระดับเก้า ถึงขั้นทำให้ระดับความแข็งแกร่งของร่างกายในปัจจุบันนี้ของเขาได้รับการยกระดับในระดับหนึ่ง ตอนนี้การเพิ่มความแข็งแกร่งถึงขีดสุดนี้ร้ายกาจกว่าเดิม
‘นอกจากรู้สึกว่าร่างกายร้อนแล้ว ก็เหมือนไม่มีการเปลี่ยนแปลงอื่นอีก’ ลู่เซิ่งสัมผัสร่างกายอย่างละเอียด เป็นคนละอย่างกับก่อนหน้า
‘ถ้าเป็นจิตมารล่ะ’ เขาใช้ความคิด กระแสอากาศรูปหน้าคนที่โปร่งแสงสายหนึ่งลอยขึ้นกลางอากาศรอบตัว
อา…
กระแสอากาศหน้าคนแหวกว่ายรอบๆ ตัวลู่เซิ่งพลางส่งเสียงครวญคราง เสียงที่เปล่งออกมาประหลาดและมีการแพร่เชื้อบางอย่าง
ลู่เซิ่งรู้สึกว่าตนควบคุมมันไม่ได้โดยสิ้นเชิง ได้แต่เลือกปล่อยออกไปและเก็บกลับมา
‘ไม่มีการเปลี่ยนแปลง’ เขาพิจารณาจิตมารอย่างถ้วนถี่ นอกจากขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย คล้ายกับว่าเสียงพึมพำแปลกประหลาดนั่นดังถี่กว่าเดิมส่วนหนึ่ง
‘ตามการบรรยายในวิชาลับ สิ่งที่จิตมารแสดงออกมาเป็นหลัก คือความปรารถนาที่ผู้ฝึกฝนต้องการทำให้สำเร็จ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะสาเหตุมากมาย ความปรารถนานี้จะถูกสะท้อนออกมา ทำให้คนที่เห็นพวกมันโดนล่อลวงและสั่นคลอน กระทำสิ่งที่สอดคล้องกับความปรารถนานี้
อย่างเช่นผู้ฝึกฝนที่ปรารถนาจะแก้แค้น จิตมารจะกระตุ้นความปรารถนาในการแก้แค้นของคนที่เห็นอย่างรุนแรง
งั้นความปรารถนาของเราคืออะไร’
ลู่เซิ่งพลันรู้สึกสงสัย แต่ว่าของแบบนี้ไม่อาจทดลองกับคนใกล้ตัว วิธีการที่ดีที่สุดคือหาศัตรูส่วนหนึ่งมาทดลอง
‘แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา เลื่อนระดับวิชาลับก่อนค่อยว่ากัน’ เขาเพ่งสมาธิที่เคล็ดวิชาหน้ามารไร้มูลเหตุที่โผล่มาใหม่
‘เป็นการยกระดับแบบหลอมรวมอย่างที่คิด ลองยกระดับต่อดู’ เขารวบรวมจิตสำนึก แล้วกดลงบนปุ่มกดด้านหลังกรอบ
ซู่…
กรอบจางลง รอจนชัดขึ้น ก็กลายเป็นเคล็ดวิชาหน้ามารไร้มูลเหตุระดับสอง
[เคล็ดวิชาหน้ามารไร้มูลเหตุ: ระดับสอง ผลพิเศษ: เพิ่มความแข็งแกร่งถึงขีดสุดระดับสอง จิตมารระดับสอง]
ครั้งนี้ลู่เซิ่งรู้สึกว่าความร้อนบนร่างชัดเจนขึ้นกว่าเดิม เหมือนกับน้ำทั่วร่างกำลังเดือดระเหยอย่างต่อเนื่อง
‘อือ…ดูเหมือนร่างกายกำลังลุกไหม้…’ เขายกมือขึ้น เห็นผิวหนังตัวเองเหมือนกับกุ้งแห้งที่ต้มสุกแล้ว ไอร้อนหลายสายที่ตาเนื้อเห็นได้ระเหยออกมา
ไม่…ไม่ใช่เหมือน แต่ว่ากำลังลุกไหม้อยู่!
เขาเห็นผิวหนังค่อยๆ กลายเป็นกึ่งโปร่งแสง ไฟหยินในสภาพตาข่ายค่อยๆ กระจายตัวในหลอดเลือดและกล้ามเนื้อ ไฟหยินสีเขียวมรกตกระจายไปตามกล้ามเนื้อและหลอดเลือด แผ่คลุมทั่วร่างเขาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ปราณหยินหยางขวดสมบัติโคจรด้วยความเร็วสูงอย่างบ้าคลั่ง ซ่อมแซมองค์ประกอบของร่างกายที่ถูกไฟหยินแผดเผาจนบาดเจ็บ
นี่เป็นอันตรายในการใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยนเลื่อนระดับ
เดิมวิชาสักวิชาต้องใช้เวลาห้าปีถึงจะฝึกสำเร็จ แต่ว่าเครื่องมือปรับเปลี่ยนได้ลดเวลาการยกระดับความก้าวหน้าในช่วงห้าปีเหลือแค่ไม่กี่ลมหายใจ
ความแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ เหมือนกับคนป่วยสักคนใช้ยาฤทธิ์อ่อนรักษาช้าๆ เครื่องมือปรับเปลี่ยนได้เปลี่ยนยาฤทธิ์อ่อนเป็นยาฤทธิ์แรงที่เข้มข้นที่สุด ถึงขั้นรุนแรงกว่าเดิม เมื่อเป็นแบบนี้ ภาระที่เกิดขึ้นก็มีมหาศาล
ตอนนี้ลู่เซิ่งอยู่ในสภาพนี้
ยกระดับเยอะและเร็วเกินไป ทำให้ร่างกายปรับตัวซ่อมแซมไม่ได้โดยสิ้นเชิง เกิดความยุ่งยากที่คาดไม่ถึง
ไฟหยินปริมาณมากแผดเผาร่างของลู่เซิ่ง จนเดี๋ยวเป็นสีแดงเดี๋ยวเป็นสีเขียว เยื่อดำที่รวมตัวตอนวิชาไร้มูลเหตุเลื่อนเป็นระดับเก้า ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ ถูกปนเปื้อนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว ลุกไหม้อย่างช้าๆ
การลุกไหม้อันแปลกประหลาดนี้คงอยู่หนึ่งชั่วยามกว่าๆ จึงเริ่มสงบลง
ลู่เซิ่งอ่อนล้าไปทั่วร่าง เหนื่อยยิ่งกว่าเข่นฆ่ากับคนอย่างอื่นสุดกำลังอยู่หลายวันเสียอีก สิ่งของเหมือนกับโคลนสีดำกลุ่มใหญ่ซึมออกมาจากร่าง แล้วจับตัวกันบนผิวหนังของเขา
เขารีบตักน้ำ ใช้ผ้าขนหนูเช็ดบนร่าง แต่ยิ่งเช็ดยิ่งสกปรก ด้วยความจนปัญญา ได้แต่ออกจากห้อง ไปด้านหลังผนังถ้ำของสำนักมารกำเนิด แล้วลงไปแช่ตัวในลำธารเล็กๆ
แม้จะเหน็ดเหนื่อย และไม่รู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณสมบัติใดๆ เกิดขึ้น กระนั้นลู่เซิ่งก็สัมผัสได้ว่า ร่างกายหลายส่วนคล้ายผ่อนคลายลงมาก
‘นี่คือการชุบหลอม!’ เขาคาดเดา
…
สำนักเก้ากระดิ่ง คฤหาสน์แก่นพุทธะ
ใบไม้ที่เหมือนกลีบดอกสีเหลืองอ่อนหมุนวนตกลงมาจากกลางอากาศ
ด้านในกลางลาน หงชิงมองประตูเรือนที่ปิดสนิทอย่างคาดหวังอยู่บ้าง นั่นเป็นที่ที่หงหยวนรุ่ยศิษย์ที่เขาภูมิใจที่สุด และเป็นบุตรของเขาปิดด่าน
หงหยวนรุ่ยปิดด่านมาเกินห้าวันแล้ว ทว่ายังไม่ออกมา หงชิงยืนอยู่ด้านนอกสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันเหี้ยมหาญที่กระเพื่อมอย่างต่อเนื่องด้านในเรือน กลิ่นอายนั้นแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกวินาทีมีการยกระดับทีละนิดทีละน้อย
‘รุ่ยเอ๋อร์มีพรสวรรค์เกินคน ครั้งนี้จะต้องเลื่อนระดับก้าวสู่ขอบเขตใหม่ได้แน่ แต่หลังจากนี้จะก้าวไปอย่างไร ถึงระดับไหน อย่างไรเท่านั้น’ หงชิงคำนวณในใจ ยืนหยัดรอคอยต่อไป
ท้องฟ้าเปลี่ยนแปลงไป ไม่นานจากรุ่งสางก็กลายเป็นเที่ยงวัน
ตึง!
ทันใดนั้นประตูเรือนถูกกระแสอากาศอันแข็งแกร่งสายหนึ่งกระแทก ประตูเรือนหลุดออกจากกรอบ ร่วงตกลงพื้น เงาคนสีเหลืองสายหนึ่งพุ่งปราดออกมา ทิ้งตัวลงยืนบนพื้นอย่างแผ่วเบา
“รุ่ยเอ๋อร์!…” หงชิงรีบเข้าไปต้อนรับ
“ท่านพ่อ! ข้าปฏิบัติภารกิจลุล่วงแล้ว!” เงาคนเป็นบุรุษวัยกลางคนร่างผอมสูง ตอนนี้เขาเปลือยอก กล้ามเนื้อสีทองแดง สักเป็นลวดลายเคล็ดวิชาอันหลากหลายที่ขนาดไม่เท่ากัน
แสดงว่าได้ใช้ความสามารถบางอย่างระหว่างการเลื่อนระดับ
“ในที่สุดรุ่ยเอ๋อร์ เจ้าก็ใกล้จะก้าวสู่ระดับสูงสุดของคนรุ่นเดียวกันแล้ว” หงชิงตบไหล่อย่างพอใจ
หงหยวนรุ่ยพยักหน้า เผยสีหน้ามั่นใจ
“ต่อให้เป็นผู้นำสำนักใหญ่ระดับสามขั้นบน ก็แค่ระดับสัตตะลักษณ์ มาวันนี้ข้าก้าวเข้าสู่ระดับฉลักษณ์ อีกไม่นานก็จะเข้าสู่แวดวงนั้นได้แล้ว”
“ฮ่าๆๆ สมกับเป็นบุตรของข้าหงชิง มีความมุ่งมั่น!” หงชิงหัวเราะอย่างภูมิใจ “อายุแค่นี้ก็เลื่อนถึงระดับฉลักษณ์ได้แล้ว พรสวรรค์ของเจ้าเหนือกว่าคนทั่วไป ผู้นำอัจฉริยะเหล่านั้นเพียงเพราะคุณสมบัติดีกว่าเจ้า จึงโชคดีกว่าเจ้าเท่านั้น ครั้งนี้รุ่ยเอ๋อร์เจ้าเลื่อนระดับแล้ว สำนักเก้ากระดิ่งของเราจะต้องชิงตำแหน่งสามขั้นกลางในงานชุมนุมครั้งนี้ได้แน่ บวกกับได้ที่อยู่ของหน่วยหลักสำนักมารกำเนิด ความเจริญรุ่งเรืองของสำนักอีกไม่นานก็จะมาถึงแล้ว!”
“ท่านพ่อกล่าวถูกต้อง!”
“เจ้าสำนัก” ทันใดนั้นศิษย์ในสำนักคนหนึ่งวิ่งเหยาะๆ มาถึงด้านนอกประตูลาน “ใต้เท้าผู้นั้นใกล้จะมาถึงแล้ว”
“อ้อ?” หงชิงงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงทุ้มกับหงหยวนรุ่ย “ข้ามีธุระ ต้องไปจัดการก่อน”
“ท่านพ่อไปเถอะ ข้ายังต้องปรับตัวให้มั่นคงก่อน” หงหยวนรุ่ยพยักหน้ากล่าว
หงชิงผงกศีรษะ หมุนตัวเร่งฝีเท้าออกจากตัวลาน
เดินทะลุลาน เขาเข้าสวนดอกไม้ที่อยู่ด้านข้าง ผ่านซุ้มประตูหลายแห่งในสวนดอกไม้โดยไม่หยุดยั้ง มาถึงมุมเล็กๆ ที่ถูกพุ่มดอกไม้ห้อมล้อมไว้มุมหนึ่ง
พอถึงที่นี่เขาก็หยุดฝีเท้าลง รออยู่ที่นี่สักพัก
ไม่นาน นักศึกษาวัยกลางคนที่มีสีหน้าซีดขาว สวมเสื้อตัวยาวสีขาว ก็ก้าวช้าๆ เข้ามา
……………………………………….