บทที่ 220 สามคืน (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 220 สามคืน (2)

“ข้าน้อยขอคำนับใต้เท้า!” หงชิงเห็นคนผู้นี้ก็รีบค้อมเอวคำนับ ก้มหัวลงกล่าวอย่างพินอบพิเทา

“ไม่ต้องมากพิธี” นักศึกษาวัยกลางคนกล่าวอย่างไม่นำพา “สหายหง ช่วงนี้ท่านเคลื่อนไหวช้าเกินไปแล้ว ท่านควรทราบว่าแผนการของท่านพี่ไม่ได้รอท่าน”

หงชิงจิตใจเคร่งเครียด รีบกล่าว “หลักๆ เป็นเพราะรอพลังการฝึกปรือของบุตรสุนัขของข้าเลื่อนระดับ…”

“ข้าไม่สนใจว่าท่านทำให้การใหญ่ล่าช้าเพราะอะไร ท่านรับผิดชอบไหวหรือ ต่อให้เป็นสำนักเก้ากระดิ่งของท่านก็รับผิดชอบไม่ไหว” นักศึกษาวัยกลางคนกล่าวอย่างเย็นชา

“ขอรับ…” หน้าผากของหงชิงมีเหงื่อซึม พยักหน้าช้าๆ

“ครั้งนี้สตรีนางนั้นถูกเชิญเป็นแขกหลัก ด้วยความสามารถของคนผู้นั้น ตระกูลซั่งหยางไม่มีทางพลาดโอกาสดีๆ ในชุมนุมร้อยเส้นสายครั้งนี้ พี่ใหญ่ต้องการให้พวกท่านร่วมมือกับภาคส่วนที่เหลือเคลื่อนไหวพร้อมกัน” นักศึกษาวัยกลางคนกำชับ

“ขอรับ ข้าน้อยทราบแล้ว” หงชิงรีบขานรับ

“ท่านเข้าใจก็ดีแล้ว” นักศึกษาวัยกลางคนพยักหน้าอย่างพอใจ “เอาล่ะ ข้านำคำพูดมาแจ้งท่านแล้ว ท่านเคลื่อนไหวให้เร็วขึ้นหน่อย ถ้าจำเป็น จะขอให้เทพสัญจรร่วมมือด้วยก็ได้”

“ขอรับ!” หงชิงได้แต่ตอบรับลูกเดียว

เจ้าสำนักที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ต่อให้อยู่ในระดับอสรพิษสามขั้นล่าง หรือระดับอสรพิษของสำนัก แต่สุดท้ายก็แข็งแกร่งกว่าระดับพันธนาการมาก

แต่ตอนที่ยอดฝีมือแบบนี้เผชิญกับนักศึกษาสวมอาภรณ์ขาว กลับได้แต่ตอบรับ ไม่กล้ายืดตัวตรง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่านักศึกษาวัยกลางคนผู้นี้มาจากตระกูลหลิน หนึ่งในเก้าตระกูลจงหยวน

คนอื่นๆ อาจนึกว่าสำนักสามขั้นบนในร้อยเส้นสายรวมกลุ่มกันเพราะต้องการต้านแรงกดดันจากตระกูลขุนนาง กระนั้นก็มีแต่คนในสำนักเช่นพวกเขาที่รู้ว่า สำนักสามขั้นบนแทบทุกสำนักมีเงาของตระกูลขุนนางอยู่เบื้องหลัง

ปัจจุบันมีดาวดวงใหม่สองดวงที่เจิดจรัสที่สุดในเก้าตระกูลจงหยวน หนึ่งคือซั่งหยางเฟยแห่งตระกูลซั่งหยาง อีกคนหนึ่งคือหลินเป่ยไคแห่งตระกูลหลิน

หลินเป่ยไคตระกูลหลิน บุรุษผู้เจิดจรัสที่เกิดมาพร้อมความสามารถนับไม่ถ้วน ตอนห้าขวบก็คิดได้ว่าไม่อาจหยุดยั้งย่างก้าวของตัวเองเพราะเป็นตระกูลขุนนาง เข้าร่วมร่ำเรียนในสำนักนามภูผา สำนักที่ใหญ่ที่สุดในเวลานั้น อายุสิบหกก็ออกเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เข่นฆ่าราชามหาไพรกับราชาสารทคีรีซึ่งเป็นราชาปีศาจทางใต้ติดต่อกัน สองคนนี้เป็นตัวตนสามขั้นกลางระดับอสรพิษ

อายุสิบแปดปีก็ดำลงก้นทะเล บรรลุข้อตกลงกับเผ่าปีศาจมุกกระจ่างอันแข็งแกร่งที่ไม่เคยแลกเปลี่ยนกับมนุษย์ บุกเบิกเส้นทางอันมั่งคั่งให้แก่ตระกูลหลิน

อายุสิบเก้าปีก็ก้าวสู่ระดับสามขั้นบน ตั้งแต่นั้นก็ลึกล้ำไม่อาจหยั่งคาด เข้าไปอยู่ในแถวของผู้เข้มแข็งระดับสูงสุดยอดของต้าซ่งในปัจจุบัน คุณสมบัติเหนือกว่าซั่งหยางเฟยขั้นหนึ่ง ได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งในเก้าตระกูลแห่งจงหยวน มาวันนี้กิจการ ทรัพยากร กองกำลังส่วนใหญ่ของตระกูลหลินถูกส่งให้หลินเป่ยไคควบคุมดูแลแล้ว

ในฐานะอันดับหนึ่งของคนรุ่นเยาว์ที่เจิดจรัสที่สุดในเก้าตระกูลแห่งจงหยวน การต่อสู้ทั้งในที่ลับและที่แจ้งระหว่างหลินเป่ยไคกับซั่งหยางเฟย มีทั้งแพ้และชนะมาโดยตลอด

หงชิงเดาว่า ครั้งนี้มีความเป็นไปได้ถึงขีดสุดที่งานชุมนุมร้อยเส้นสายจะเป็นหนึ่งในสนาบรบที่ทั้งสองใช้วางหมากสู้กัน

หลังนักศึกษาอาภรณ์ขาววัยกลางคนจากไป เขาก็พ่นลมหายใจยาวๆ

‘ผู้ยิ่งใหญ่สู้กัน พวกเราคนเบื้องล่างโดนลูกหลงไปด้วย…เฮ้อ…’ แต่ว่าเขาก็อาศัยขุมกำลังของตระกูลหลินด้วยความจนปัญญา ที่เขากลายเป็นเจ้าสำนักได้ ก็เป็นเพราะได้รับแรงหนุนจากตระกูลหลิน ปัจจุบันขี่หลังเสือยากจะลง

‘รอจนสำนักรุ่งเรือง ภายหลังคงมีโอกาสพึ่งพาตระกูลอื่นๆ ได้…ยังเหลือเรื่องที่ตั้งของสำนักมารกำเนิด ต้องรีบจัดการให้เร็วที่สุด เจ้าเฒ่าไม่ตายนั้นเฝ้าอยู่ไม่ยอมถอย ดูเหมือนต้องใช้วิธีพิเศษแล้ว’ ระหว่างความคิดทำงาน หงชิงกวาดตามองซ้ายแลขวา แล้วถอยออกจากมุมนี้อย่างเงียบเชียบ

สำนักมารกำเนิด

“คาบเช้าวันนี้จบลงเท่านี้” ผู้อาวุโสใหญ่วางคัมภีร์ในมือลงอย่างเรียบเฉย “เสี่ยวเซิ่งรั้งอยู่ เหอเซียงเจ้าไปเฝ้าด้านนอกไว้”

“เจ้าค่ะ” เหอเซียงจื่อขานรับอย่างว่าง่าย ลุกขึ้นถอยออกไปเฝ้าด้านนอกถ้ำ

ผู้อาวุโสมองศิษย์ที่น่าภูมิใจซึ่งตนเพิ่งค้นพบตรงหน้า หลังจากการถ่ายทอดวิชาลับในช่วงนี้ เขาพบว่าได้ยัดวิชาพื้นฐานเข้าไปในหัวสมองลู่เซิ่งหมดแล้ว

อย่างนั้น ก็เหลือวิชาสุดท้ายแล้ว…

ผู้อาวุโสใหญ่เงียบงัน ไม่ได้พูดอะไร

ลู่เซิ่งก็ไม่ได้เปิดปาก เขาสังหรณ์ว่าวันนี้เหมือนมีอะไรแตกต่างจากเดิม ผู้อาวุโสใหญ่ได้ทำการตัดสินใจที่จริงจังอย่างหนึ่ง

คนทั้งสองต่างเงียบขรึม

เนิ่นนานให้หลัง…

“เสี่ยวเซิ่ง พลังฝึกปรือในปัจจุบันของเจ้าไม่มีปัญหากระมัง” ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยเสียงต่ำ

“ไม่ขอรับ ทุกอย่างราบรื่นดี” ลู่เซิ่งตอบอย่างจริงจัง ผู้เป็นอาจารย์อบรมบ่มเพาะ ไขข้อสงสัย เรื่องนี้ผู้อาวุโสใหญ่ทำสิ่งที่สมควรไปแล้ว ดังนั้นไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้มีสายเลือดหรือไม่ เขาก็ให้ความเคารพที่มากพอ

“ราบรื่นก็ดีแล้ว” ผู้อาวุโสใหญ่ถอนใจ น่าเสียดาย… ถ้าหากเจอเสี่ยวเซิ่งเร็วกว่านี้สักหลายปี คงจะดี…

เขาสะท้อนใจ ต่อให้ลู่เซิ่งในวันนี้มีคุณสมบัติดีอย่างไร ก็ไปถึงแค่ระดับสามระดับสี่ของวิชาไร้มูลเหตุ

ศิษย์ทั่วไปคิดจะเลื่อนระดับวิชาไร้มูลเหตุโดยสมบูรณ์ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปี ลู่เซิ่งเลื่อนถึงระดับสามในเวลาสองสามเดือน นับว่าร้ายกาจมากแล้ว

แต่ว่าพลังฝึกปรือแบบนี้ไม่มีส่วนช่วยในงานชุมนุมร้อยเส้นสายแม้แต่น้อย ไม่มีผู้นำ ไม่มีผู้สืบทอด สำนักก็ยิ่งหมดหวังกว่าเดิม

‘”วิชาลับที่ควรถ่ายทอด สิ่งที่ให้เจ้าได้ ข้าก็สั่งสอนไปหมดแล้ว ส่วยรายละเอียดการฝึกฝน ต้องรอเจ้าพานพบปัญหา จะแก้ไขตามอาการได้เอง เรื่องนี้ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นยังไม่พูดถึง” ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวเสียงทุ้ม “วันนี้ข้ามีสิ่งสุดท้ายที่อยากให้เจ้าจดจำไว้

เนื้อหาในครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนๆ ครั้งนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่ง เจ้าจะต้องจำไว้ ห้ามลืม!”

“ขอรับ ศิษย์จะจดจำไว้!” ลู่เซิ่งพยักหน้ากล่าวอย่างขึงขัง

ผู้อาวุโสใหญ่ใคร่ครวญ คล้ายกำลังจัดระเบียบความคิด เรียบเรียงว่าควรพูดอย่างไร

“มารคืออะไรกันแน่ วันนั้นที่ข้าพาเจ้าไปตำหนักวิชาลับ ที่นั่นผนึกมารไว้ตัวหนึ่ง เจ้าคงจะมีความทรงจำนิดหน่อย” เขากล่าวอย่างรวบรัด “มารจะเป็นคนก็ได้ เป็นผีก็ได้ เป็นปีศาจ หรือคนในตระกูลขุนนางก็ได้ มารเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถปลอมแปลงตนเอง เป็นการดำรงอยู่ของสิ่งกลายพันธ์ที่มีคุณสมบัติแพร่เชื้ออย่างรุนแรง หนำซ้ำหลังติดเชื้อแล้ว การกลายพันธุ์จะไม่สามารถเปลี่ยนกลับได้”

“ศิษย์จำได้ว่า ข้อมูลที่อ่านเจอในหอเก็บหนังสือบอกว่า การกำเนิดของมารก่อให้เกิดภัยพิบัติมารใช่หรือไม่” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วถาม

“มิผิด” ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้า “มารมีคุณสมบัติปนเปื้อนที่น่าสะพรึงกลัวมาก ขอแค่ร่างกายแตะถูกนิดเดียว ก็จะทำให้คนคนหนึ่งกลายพันธุ์อย่างรวดเร็ว พวกมันไม่มีวิชาลับพลังประหลาด พึ่งพาเพียงร่างกายอันแข็งแกร่งชนิดวิปริตจนน่ากลัวของตัวเอง เรื่องพวกนี้ภายหลังเจ้าจะได้เห็นเอง เทียบกับความประหลาดลี้ลับ พวกมันอันตรายกว่า บ้าคลั่งกว่า ทั้งไม่อาจควบคุมจำกัด”

ลู่เซิ่งไม่ส่งเสียง ฟังผู้อาวุโสใหญ่อธิบายต่อ

“ดังนั้นครั้งกระโน้นสำนักพวกเราตั้งใจศึกษามารมาหลายรุ่น และบัญญัติวิธีการซ่อนกลิ่นอายต่อหน้ามารขึ้นมาได้ เป็นสิ่งที่ข้าจะถ่ายทอดให้เจ้าในวันนี้ ถึงแม้ว่ามันจะยังไม่มีส่วนช่วยต่อเจ้า แต่ว่าเรื่องราวในภายภาคหน้า ผู้ใดจะบอกได้” ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยอย่างเรียบเฉย

“ศิษย์เข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างจริงจัง

“เช่นนั้นก็เริ่มกันเลย” ผู้อาวุโสกระแอม เริ่มบรรยายถึงวิชาลับซ่อนตัวจากมารที่ว่าอย่างเป็นทางการ ความจริงแก่นสารของวิชานี้ก็คือวิชาลับมารกำเนิด

เพียงแต่ขยายประสิทธิผลในการซ่อนเร้นกลิ่นอายมากเกินไป ลดประสิทธิผลการต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าในด้านอื่นๆ

วิชาลับมารกำเนิดเป็นผลสำเร็จสูงสุดของสำนักมารกำเนิด ความล้ำลึกที่แฝงอยู่ย่อมเหนือกว่าเคล็ดวิชาอื่นๆ

ลู่เซิ่งจำได้นิดหน่อย ก็รู้สึกผิดปกติ แค่วิชาลับสำหรับซ่อนกลิ่นอาย ทำไมถึงมีเนื้อหาหลากหลายด้านนัก

วิชาลับนี้ยังมีความลึกมากกว่าวิชาลับอย่างเคล็ดวิชาหน้ามารเสียอีก

เขาเดาออกทันทีว่านี่เป็นวิชาลับมารกำเนิด

“…ส่วนสำคัญของวิชาลับวิชานี้คือการฝึกแสงมาร” ผู้อาวุโสใหญ่บรรยายจุดสำคัญ “แสงมารสามารถซ่อนเร้นกลิ่นอายของตัวเองในระดับที่ลึกกว่าเดิม ต่อให้เป็นมารก็สัมผัสไม่ได้ วิชาลับโดยรวมเป็นแบบนี้ ถ้าเจ้ามีโอกาสฝึก…ช่างเถอะ ตอนนี้ยังไม่พูดถึง มาจดจำภาพตรึกตรอง” ผุ้อาวุโสใหญ่ค่อยๆ หยิบกระบอกกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาคลี่ออกอย่างแผ่วเบา

บนกระดาษวาดเปลวเพลิงที่เหมือนวังวนสีดำไว้อย่างชัดเจน กลางเปลวเพลิงเห็นหูข้างหนึ่งรางๆ เป็นหูคนที่ซีดขาวไร้สีเลือด คล้ายกับมีคนโผล่หูออกมาสดับฟังเสียงด้านนอกวังวน

“ชื่อของวิชาลับนี้ เรียกว่าวิชาสดับนรก อย่าได้ลืมเลือน ต่อจากนี้ ข้าจะทวนวิชาไร้มูลเหตุให้เจ้าฟังอีกรอบ…”

“เจ้าสำนักลิ่วซาน เทียบเชิญในครั้งนี้มาถึงแล้ว” ทันใดนั้นด้านนอกถ้ำแว่วเสียงบุรุษอันสัตย์ซื่อดังมา

ผู้อาวุโสใหญ่งุนงง ตอนที่ได้ยินเสียง เขาเหมือนไม่รู้สึกตัว

“เจ้าสำนักลิ่วซานอยู่หรือไม่” บุรุษด้านนอกถ้ำเริ่มสงสัย

“อาจารย์” ลู่เซิ่งเองก็กล่าวเบาๆ เช่นกัน

“อ้อ เทียบเชิญ ท่านผู้ส่งสารโปรดเข้ามา” ผู้อาวุโสใหญ่ค่อยได้สติ

ประตูถ้ำเปิดออกช้าๆ บุรุษผมยาวไว้เคราข้างแก้มคนหนึ่งก้าวฉับๆ เข้ามา คำนับผู้อาวุโสใหญ่ จากนั้นก็ใช้สองมือวางเทียบเชิญสีทองเข้มลงบนโต๊ะตรงหน้าผู้อาวุโสใหญ่

“เทียบเชิญส่งถึงแล้ว ข้าน้อยขอลา” เขาล่าถอยอย่างช้าๆ

ผู้อาวุโสใหญ่มองเทียบเชิญบนโต๊ะอย่างสับสน คล้ายกับอึ้งงันไป

ในที่สุดเวลาก็มาถึงแล้ว…เขายกศีรษะขึ้นมองลู่เซิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างเลอะเลือน ก่อนมองเหอเซียงจื่อที่ประตู ยังมองไปยังเครื่องเรือนมากมายอยู่ในถ้ำ

โต๊ะหนังสือลายงู รูปแกะสลักบนผนังที่ถูกขัดจนเงา พื้นถ้ำที่มีรอยกระบี่ทิ่มแทง ซึ่งเขาทิ้งไว้ตอนฝึกวิชาเมื่อยังเด็ก…

ทุกสิ่งที่เขาคุ้นเคย วันนี้กำลังจะจากเขาไปแล้ว

“ข้า…” ผู้อาวุโสใหญ่สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง “ข้า… ต้องไปร่วมงานชุมนุมงานหนึ่ง…เสี่ยวเซิ่ง”

“ศิษย์อยู่” ลู่เซิ่งก้มศีรษะขานรับ

“ต่อจากนี้ข้าจะให้การบ้านชิ้นที่สองที่จัดไว้ให้เจ้า” ผู้อาวุโสพยายามทำตัวให้สงบ

“จดหมายฉบับนี้” เขาหยิบจดหมายที่เตรียมไว้แต่แรกออกมาจากในอกเสื้อ แล้ววางลงบนโต๊ะ ก่อนผลักไปให้ลู่เซิ่ง

“เจ้าช่วยข้านำไปให้เจ้าเมืองหงส์ระบำ”

“เจ้าเมืองหงส์ระบำหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง

“ถูกต้อง เมืองหงส์ระบำอยู่ค่อนข้างไกลจากเมืองกระดิ่งขาว เจ้าออกเดินทางวันนี้ รีบไปรีบมา อย่าได้…เสียเวลาระหว่างทาง” ผู้อาวุโสใหญ่กำชับอย่างตั้งใจ

“อย่างนั้นอาจารย์ท่าน…” ลู่เซิ่งยังพูดไม่จบ ก็ถูกผู้อาวุโสใหญ่ตัดบท

“ข้าจะไปเข้าร่วมงานชุมนุม ไม่กลับมาในช่วงสั้นๆ ศิษย์พี่เจ้าเหอเซียงจื่อมีภารกิจอีกอย่าง ไม่อาจไปแทนเจ้าได้ ภารกิจนี้สำคัญมาก อย่าได้สะเพร่า” ผู้อาวุโสใหญ่ย้ำอีกครั้ง

วี้…

ทันใดนั้นกาน้ำชาโลหะใบหนึ่งบนโต๊ะพลันพ่นไอร้อนออกมา

ผู้อาวุโสใหญ่มองกาน้ำชา หลับตาลง เงียบเสียงพักหนึ่ง “ไปเถอะ อย่าได้เสียเวลาแล้ว จริงด้วย สำนักมารกำเนิดของเรายังมีเส้นทางลับอีกเส้นทาง เป็นทางที่เจ้าไม่เคยไป เพื่อป้องกันไม่ให้ภายหลังเกิดอันตราย ครั้งนี้เสี่ยวเซิ่งเจ้าไปทางลับ ทำความคุ้นเคยก่อน”

“ขอรับ”

“เหอเซียง เจ้าพาศิษย์น้องไป”

“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์” เหอเซียงจื่อเดินเข้ามา ลู่เซิ่งก็รีบลุกขึ้น ทั้งสองไม่พูดอะไรต่ออีก หมุนตัวออกจากถ้ำไป ไม่นานก็หายไปในเงามืดนอกประตู

เหลือแต่ผู้อาวุโสใหญ่นั่งอยู่ในถ้ำตามลำพัง

ลมเย็นพัดหวีดหวิว เงียบสงัดไร้เสียง

เนิ่นนานให้หลัง เขาค่อยๆ ลุกขึ้น เงยหน้า

“ท่านบูรพาจารย์…” เขาถอนใจยาวเฮือกหนึ่ง สะอึกสะอื้นพูดไม่ออกชั่วขณะ น้ำตาไหลพราก

ฟิ้วๆๆ!

ในสำนักมารกำเนิด เงาดำหลายสายวูบไหวด้วยความเร็วสูง เหมือนกับค้างคาวในราตรีที่มืดมิด อาศัยผนังถ้ำยืมพลังกระโจนตัวไป

……………………………………….