บทที่ 221 สามคืน (3)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 221 สามคืน (3)

ขณะเดินไปตามเส้นทางลับที่มืดมิดและคับแคบ ลู่เซิ่งกับเหอเซียงจื่อไม่ได้พูดจาอะไรกัน

เส้นทางลับยาวยิ่ง ทอดจากประตูถ้ำใต้เสาหินของสำนักมารกำเนิดไปยังใต้ดินที่ลึกสุดขีด ไม่รู้ว่าขุดเจาะไว้ตอนไหน บนผนังเป็นตะไคร่น้ำเรืองแสงสีเขียวอ่อน

“อาจารย์เหมือนแปลกๆ ไปบ้าง” เงียบกันอยู่นาน อยู่ๆ เหอเซียงจื่อก็เอ่ยขึ้น

“…” ลู่เซิ่งมองเหอเซียงจื่อ พูดในใจว่าท่านเพิ่งสังเกตหรือ

ความผิดปกติของผู้อาวุโสใหญ่ ถ้าเป็นคนที่ความรู้สึกไวหน่อยสมควรมองเห็น เหอเซียงจื่อเหมือนจะโง่งมจริงๆ

“ช่วงนี้ในสำนักเหลือแค่พวกเราสองคน อาจารย์ตั้งใจถ่ายทอดหลายอย่างให้พวกเรา ศิษย์น้องเจ้ามีคุณสมบัติดีกว่าข้า สิ่งที่อาจารย์ถ่ายทอดให้เจ้าสมควรมากกว่า” เหอเซียงจื่อเว้นเล็กน้อย เดินอยู่ด้านหน้าไม่เหลียวกลับมา เอ่ยต่อ “แต่ข้าเองก็รู้ว่า ถ้าข้าเป็นเจ้า คงไม่อาจจดจำเนื้อหานั้นได้ในระยะเวลาสั้นๆ ดังนั้นข้าจึงไม่อิจฉาที่อาจารย์ปฏิบัติแบบนั้นกับเจ้า”

ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

“ถึงแล้ว” เหอเซียงจื่อเร่งฝีเท้าเดินไปถึงหน้าประตูใหญ่สีดำเก่าคร่ำคร่าบานหนึ่ง “ที่นี่เป็นประตูเชื่อมสู่โลกภายนอก” นางชี้ไปที่ประตูพร้อมเอ่ยเสียงต่ำ “ศิษย์น้องเมื่อเจ้าเปิดประตูเข้าไป ให้เดินไปด้านหน้าตามเส้นทางด้านใน ผ่านไปหนึ่งก้านธูปก็จะถึงพื้นดิน ข้าเองก็มีภารกิจ ไม่พูดต่อแล้ว ศิษย์น้องถนอมตัวด้วย”

“อืม ขอบคุณศิษย์พี่มาก” ลู่เซิ่งพยักหน้า

เหอเซียงจื่อยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ มองประตูใหญ่ที่เก่าแก่ ซึมเซาอยู่ชั่วขณะ แต่เวลาที่นางเหม่อลอยสั้นยิ่ง ไม่นานก็หมุนตัวกลับทางเดิม เงาร่างค่อยๆ กลืนหายไปในเงามืด

ลู่เซิ่งยืนอยู่ที่เดิม สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง

ความจริงเขารู้ว่าผู้อาวุโสใหญ่ตั้งใจกันเขาออกมา หาข้ออ้างส่งเขาเข้าเส้นทางลับ เป้าหมายก็คือปกป้องวิชาลับมารกำเนิดบนตัวเขา

ตอนนี้ที่รีบให้เขาไปจากเส้นทางลับแบบนี้ คงจะเจอสถานการณ์ผิดปกติบางอย่าง

‘ทำให้เจ้าสำนักระดับผู้อาวุโสใหญ่รู้สึกว่าสถานการณ์ยุ่งยากได้ อย่างน้อยก็เป็นระดับอสรพิษ น่าเสียดายที่เราเตรียมจะออกไปอยู่แล้ว…’

ถูกต้อง เขาเตรียมจะจากไปก่อนงานชุมนุม

ความเป็นความตายของสำนักมารกำเนิดไม่เกี่ยวข้องกับเขา เขาไม่มีทางเผยพลังของตัวเองเพื่อสำนักที่เพิ่งเข้าร่วมได้ไม่กี่เดือน

ระหว่างระดับตรีลักษณ์กับระดับอสรพิษมีความแตกต่างขนาดไหน ทุกคนแยกแยะได้อย่างชัดเจน นี่ไม่ใช่ระยะห่างที่จะก้าวข้ามได้ในพริบตาโดยใช้เวลาสองสามเดือน

เขาลู่เซิ่งเพิ่งเข้าสำนักไม่กี่เดือน ก็แสดงพลังระดับอสรพิษ สะกดความวุ่นวายได้ ผลลัพธ์ที่จะตามมายากจินตนาการ

ดังนั้น ทั้งๆ ที่ทราบว่าผู้อาวุโสใหญ่อาจจะเจอปัญหา ลู่เซิ่งก็ไม่มีความคิดจะลงมือ

‘ให้สำนักมารกำเนิดที่สมควรถูกประวัติศาสตร์กลบฝังและคัดออกหายไปโดยสมบูรณ์ ก็ไม่แน่ว่าจะไม่ใช่เรื่องดี’ เขาถอนใจเบาๆ เดินถึงหน้าประตูใหญ่ แล้วออกแรงเล็กน้อย

ครืนๆ…

ประตูใหญ่ที่หนักอึ้งค่อยๆ ถูกผลักเป็นรอยแยกสายหนึ่ง ลู่เซิ่งหันไปมองด้านหลัง ก่อนจะหมุนตัวสาวเท้าเข้าไปในรอยแยกประตู

แก๊ง!

โซ่เหล็กหนักถูกฟันขาด

ประตูใหญ่ของตำหนักวิชาลับถูกผลักเปิด เงาดำสามสายเดินเนิบนาบเข้ามาในลานลงทัณฑ์ มองผู้อาวุโสใหญ่ลิ่วซานจื่อที่ยืนอยู่ด้านใน

“ผู้มาเป็นใคร!?” ผู้อาวุโสใหญ่ตวาดเสียงทุ้ม “ไม่รู้หรือว่าที่นี่เป็นหน่วยหลักในเขตสำนักมารกำเนิด”

เงาดำสองสายเงียบงัน มองคนที่ติดตามอยู่ด้านหลังสุด

“ลิ่วซานจื่อ อย่าได้โทษข้า ต้องโทษที่เจ้าหัวแข็งเกินไป” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น

ผู้อาวุโสใหญ่เบิกตาโพลง

“เจ้า!?”

“ไม่ต้องกล่าววาจาไร้สาระ ลงมือ!” คนสวมอาภรณ์ดำผู้นั้นมีรูปร่างต่ำเตี้ย ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ไม่ลงมือเอง

คนสวมอาภรณ์ดำอีกสองคนกระโดดไปด้านหน้า เคลื่อนไหวเหมือนกัน โบกฝ่ามือกลางอากาศ ยิงไอสีดำสายหนึ่งออกไป ทวนวงเดือนเล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากไอสีดำ ตกลงในมือคนทั้งสอง

“วิชาลับ จันทราใหม่!”

ทั้งสองสะบัดทวนวงเดือนดุจสายฟ้าแลบพร้อมกัน ขณะไอสีดำพลิกตัว ปลายทวนก็เปล่งประกายสีเลือดน้อยๆ ดูอัปมงคล แทงใส่ผู้อาวุโสใหญ่ด้วยความเร็วสูง

ผู้อาวุโสใหญ่ใบหน้าไม่เปลี่ยนแปลง โบกมือข้างหนึ่ง อสรพิษยักษ์สีดำดุร้ายตัวหนึ่งเลื้อยออกมาจากด้านหลังเขาในอึดใจ พุ่งใส่ทวนวงเดือนทั้งสองเล่ม

อสรพิษดำใหญ่เท่าเอวคน ที่หัวมีหนามแหลมสีดำ เหมือนกับแผงคอของราชสีห์ มันเพิ่งโผล่มา ก็คำรามใส่คนสวมอาภรณ์ดำทั้งสอง แล้วพุ่งเข้าปะทะ

“นี่คือวิชาลับมารกำเนิดหรือ แค่วิชาต่ำต้อย มีความสามารถแค่นี้! สิ้นเปลืองทำเลบึงมารที่ใหญ่โตปานนี้จริงๆ!” คนสวมอาภรณ์สีดำเตี้ยต่ำยิ้มเยาะ “มิใช่การหล่อเลี้ยงสำนึกหยินของตัวเองหรอกหรือ”

ผู้อาวุโสใหญ่ไม่พูดอะไรสักคำ บังคับอสรพิษยักษ์สู้กับคนทั้งสอง

ไม่อยู่เหนือความคาดหมาย อสรพิษยักษ์มารกำเนิดถูกคนทั้งสองพัวพันไว้ อีกฝ่ายพูดถูกต้อง วิชาลับมารกำเนิดก็คือวิชาสดับสงัด ใช้การหล่อเลี้ยงสำนึกหยินของตัวเองเป็นพลังต่อสู้หลัก

ไฟหยินสำหรับจินตนาการก่อนหน้านี้แยกความรู้สึกต่างๆ เป็นการทำให้จิตใจบริสุทธิ์ ใช้ระเบียบควบคุมความไร้ระเบียบ ใช้ความสงบควบคุมความปั่นป่วน

แม้ว่าจะมีความสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้แก่กายเนื้อ ทว่าเทียบกับสำนักอื่นๆ แล้ว ถือว่าน้อยเกินไป

วิชาสดับสงัด มารหยินอันเป็นความคิดซึ่งหล่อเลี้ยงออกมาแตกต่างกันไปเพราะแต่ละคนมีนิสัยใจคอไม่เหมือนกัน ความสามารถแข็งแกร่งอ่อนแอขึ้นอยู่กับคน

วิชาลับวิชานี้เนื่องจากไม่สนใจสายเลือด ดังนั้นไม่ว่าใครก็ใช้ได้ ผู้ที่มีสายเลือดก็ฝึกได้เช่นกัน

ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วมารหยินจะรวมกับตนเองเป็นหนึ่ง สำเร็จวิถีมารกำเนิดสูงสุด ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นอย่างใหญ่หลวง กระนั้นก่อนหน้านี้ ตอนที่วิชาลับมารกำเนิดไม่บรรลุถึงระดับสูงสุด ผู้ฝึกฝนจะอ่อนแอกว่าสำนักอื่นๆ

คนสวมอาภรณ์ดำทั้งสองคนพลิกทวนวงเดือน แสงสีแดงที่คมทวนเดี๋ยววาดเป็นแนวขวางเดี๋ยววาดเป็นแนวตรง ทุกๆ การโจมตีแฝงพลังที่น่าพรั่นพรึง

อสรพิษสีดำสู้อยู่พักหนึ่ง ทั่วตัวก็เต็มไปด้วยบาดแผล สถานการณ์คับขัน

เกล็ดของมันที่ต่อให้ผู้เข้มแข็งระดับสัตตะลักษณ์ลองยืนทุบก็ยังทุบไม่แตก ตอนนี้แตกร้าวภายใต้การโจมตีอย่างรุนแรงของทั้งสอง เผยให้เห็นเลือดเนื้อและกระดูกกึ่งโปร่งแสงสีดำ

ถ้าหากใช้ในการต่อสู้เป็นวงกว้าง อานุภาพของมารหยินสามารถทำให้ตัวตนระดับอสรพิษใดๆ ก็ตามสิ้นหวัง ทว่าเมื่อเผชิญกับสภาวะโจมตีประสานกันของคนสวมอาภรณ์ดำทั้งสองคน อสรพิษดำมารหยินกลับยันไว้ได้ไม่ถึงหนึ่งก้านธูป

“ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้มีมารหยินตัวเดียว” คนสวมอาภรณ์ดำต่ำเตี้ยหัวเราะเย็นชา “ไม่ต้องซ่อนแล้ว ใช้ออกมาเถอะ ให้ข้าได้เห็นหน่อยว่า หลังรวมเป็นหนึ่งกับวิชาลับที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักมารกำเนิดจะมีความสามารถแบบไหน”

ผู้อาวุโสใหญ่เงียบขรึม โบกมือข้างหนึ่งอีกครั้ง ราชสีห์ที่แผงคอติดไฟสีดำ ค่อยๆ เดินออกมาจากด้านหลังเขา

โฮก!

ราชสีห์คำราม ทำท่าจะโจมตี

แต่ว่าผู้อาวุโสใหญ่กลับชี้ไปที่มัน

ราชสีห์เพลิงดำพลันกระตุก กลายเป็นควันดำกลุ่มหนึ่ง แล้วหายเข้าไปในทรวงอกของเขาอย่างรวดเร็ว

ฟุ่บ! ผู้อาวุโสใหญ่ร่างพลันติดไฟสีดำเหมือนกับราชสีห์ กล้ามเนื้อทั่วร่างเขาค่อยๆ พองขยาย สีหน้าเปล่งปลั่งเหมือนวัยหนุ่ม พริบตาเดียวหนุ่มขึ้นหลายสิบปี

“มาเถอะ อยากได้ชีวิตข้า ต้องดูว่าพวกเจ้ามีความสามารถขนาดไหน!”

เหอเซียงจื่อเร่งฝีเท้าเดินไปด้านนอกตามทางเส้นเล็กซึ่งอยู่อีกด้านของถ้ำ

เส้นทางเล็กๆ เส้นนี้เป็นเส้นทางลับสำหรับฝึกฝนที่มีคนไม่กี่คนเคยใช้ คนไม่น้อยฝึกฝนวิชาลับท่าเท้าที่คล้ายวิชาตัวเบาที่นี่ แต่ตอนนี้ไม่มีศิษย์ เส้นทางลับเส้นนี้จึงเปล่าเปลี่ยว

‘อาจารย์ให้เราส่งจดหมายแก่มหาเสนาบดีเตี่ยนที่เมืองสนศิลา แล้วให้ศิษย์น้องไปเมืองหงส์ระบำ เดิมสำนักก็ไม่มีคนอยู่แล้ว แบบนี้สำนักก็ไม่เหลือใครสักคน ไม่รู้ว่าท่านผู้เฒ่าคิดอะไรอยู่กันแน่’ เหอเซียงจื่อรู้มาตลอดว่าตัวเองโง่เขลา ความรู้สึกตัวช้า ดังนั้นหลักการมากมายที่ทุกคนเห็นแล้วล้วนเข้าใจ นางกลับไม่เข้าใจ

ถึงขั้นที่ว่าเรื่องราวที่ชัดเจนมากหลาย นางได้แต่มองดูจนมึนงง

แม้นางจะโง่เขลา กลับทราบเรื่องหนึ่งมาโดยตลอด นั่นคือใครดีกับนาง นางก็ดีกับคนนั้น

เสียงฝีเท้าดังสะท้อนบนทางสายเล็ก

ทันใดนั้นเหอเซียงจื่อชะงักเท้า เงยหน้ามองด้านหน้า

เงาสีดำห่อผ้าสีดำทั้งตัวสายหนึ่งกำลังเดินมาในทิศทางตรงกันข้ามกับนาง ทิศทางที่มองคือถ้ำบนหน้าผาอันเป็นที่ตั้งหลักของสำนักมารกำเนิด

“หาเจอแล้ว” เงาดำสายนั้นพอเห็นเหอเซียงจื่อ ก็หยุดฝีเท้าลงเช่นกัน “มาเจอข้าบนเส้นทางนี้หรือนี่”

เหอเซียงจื่องงงัน จากนั้นพลันรู้สึกตัว ใบหน้าเคร่งเครียด

“พวกเจ้า…”

“พวกเจ้ายังมีศิษย์น้องอีกคนกระมัง ดูเหมือนเจ้าจะถูกใช้เป็นเบี้ยกับเหยื่อล่อแล้ว” เงาดำกล่าวอย่างราบเรียบ “เจ้าแค้นหรือไม่ เพื่อศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักไม่กี่เดือน ลิ่วซานจื่อขายเจ้าแบบนี้ สละเจ้าเพื่อปกปิดการหนีของคนผู้นั้น”

เหอเซียงจื่อได้ยินคำพูดนี้ ในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมอาจารย์จึงให้นางใช้เส้นทางเล็กๆ ในที่แจ้งแบบนี้คนเดียว

พริบตานั้น นางครุ่นคิดมากมาย อยากไปถามอาจารย์ว่าเหตุใดจึงทำเช่นนี้ แต่นึกถึงพฤติกรรมแปลกๆ ตอนสุดท้ายของผู้อาวุโสใหญ่ ยังมีสีหน้าพิกลของศิษย์น้องในตอนนั้น นางพลันเข้าใจบางสิ่ง

“ทำไมต้องแค้น” เหอเซียงจื่อสีหน้าสงบลง “ข้าไม่เฉลียวฉลาด มักมีคนบอกว่าข้าซื่อบื้อโง่เขลา แต่ว่าตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ มีแต่อาจารย์ที่ดีกับข้า ถ้าหากว่านี่เป็นจุดประสงค์ที่เขาอยากให้ข้าทำ ข้าก็ยินดี”

เงาดำเงียบขรึมเล็กน้อย

“ลิ่วซานจื่อมีศิษย์ที่ดี” เขาพลันถอนใจด้วยความอิจฉาน้อยๆ

“ช่างเถอะ พวกเจ้าจัดการซะ ข้าไม่ขอร่วมวงด้วย” เขาหมุนตัวกระโดดไปที่ไกลอย่างแผ่วเบา พลันหายไปกลางอากาศ

ในความมืดมิด มีเงาคนสองสามสายค่อยๆ ล้อมเข้ามาพร้อมจ้องมองเหอเซียงจื่อ

แหมะ

น้ำหยดหนึ่งจากด้านบนหยดใส่หลังมือลู่เซิ่ง จากนั้นถูกความเร็วอันว่องไวกระแทกกระเด็นออกไป กลายเป็นละอองน้ำเล็กๆ กระเซ็นไปรอบๆ

ในทางลับที่มืดมิด ลู่เซิ่งพุ่งผ่านพื้นที่ชื้นแฉะและขรุขระ

ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป แค่ครึ่งเดียว ถึงขั้นน้อยกว่านั้น เขาก็ไปถึงปลายทางของทางลับเส้นนี้

ในทางลับไม่มีแสงสว่าง ถึงขั้นแม้แต่ตะไคร่น้ำที่เรืองแสงก็ไม่มี มีเพียงผนังแข็งๆ ที่เปียกชื้น ด้านบนเป็นหินย้อยหลายกลุ่ม หยดน้ำหยดลงมาจากด้านบน

ขณะวิ่งอยู่ ลู่เซิ่งสะกิดปลายเท้า คนดุจธนูออกจากแล่ง ทะยานออกไปเป็นระยะทางไกล ถ้าไม่ใช่ทางลับวกวน เขายังเร็วได้มากกว่านี้

สักพักหนึ่ง ประตูเหล็กสีดำเก่าผุพังบานหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาด้านหน้าเขา

ประตูเหล็กไม่มีลวดลาย ไม่มีการตกแต่ง เหมือนกับเอาแผ่นเหล็กมาทำเป็นประตูขวางทางไว้

……………………………………….