“ที่แท้ก็เหมือนกันหมด มีใช่ว่าจะดี ไม่มีก็ใช่ว่าจะไม่ดี”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้ม
อะไรเหมือนกันหรือ ขันทีที่ติดตามข้างกายไม่เข้าใจ
“คนเราอย่างไรเล่า” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
คนทำไมหรือ ขันทีสับสนยิ่งกว่าเดิม
“เจ้านี่ เหตุใดถึงไม่เคยตามทันที่ข้าพูดเลย” จิ้นอันจวิ้นอ๋องขมวดคิ้ว
ขันทีทำท่าน้อยอกน้อยใจ
“ท่านอ๋อง ท่านจะสื่ออะไรหรือ ข้าฟังไม่เข้าใจเลย” เขาเอ่ย
หากเป็นเฉิงเจียวเหนียงจะต้องเข้าใจเป็นแน่
จิ้นอันจวิ้นอ๋องส่ายหน้า มือไขว้หลังแล้วเร่งฝีเท้าเดินไปโดยไม่สนใจเขาอีก
ขันทีที่ตามติดอยู่ด้านหลังก็ส่ายหน้าอย่างอดไม่ได้เช่นกัน
ทุกครั้งที่พบเฉิงเจียวเหนียง ท่านอ๋องก็จะท่าทางแปลกไป
ทั้งสองเดินตามกันมา ทันใดนั้นจิ้นอันจวิ้นอ๋องก็หยุดเดินทันใด ขันทีเองก็รีบหยุดตาม พวกเขาเห็นว่าด้านหน้ากำลังมีคนเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า
ชายวัยกลางคนที่สวมชุดเข้าเฝ้า มีมาดของคนสูงศักดิ์น่านับถือ ท่าทีอ่อนโยน ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเขาเห็นจิ้นอันจวิ้นอ๋องก็ยิ้มกว้างขึ้น
“ท่านอ๋อง ออกไปข้างนอกมาหรือ” เขาคำนับแต่ไกล
จิ้นอันจวิ้นอ๋องเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน
“ใต้เท้าเกา ท่านเข้าวังมาหรือ” เขาถาม
“ใช่ ข้ามาเยี่ยมกุ้ยเฟย” ชายวัยกลางคนยิ้มแล้วมองดูจิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวจรดเท้า “ปีใหม่มานี้ท่านดูสูงขึ้นนะ”
สีหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความเมตตา
“หากเบื่อก็ไปที่บ้านข้าได้” เขาเอ่ย “ห้องที่ท่านอ๋องอาศัยตอนเด็กๆ นั้นข้ายังเก็บไว้อยู่เลย”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องท่าทีสนิทสนม
“ได้ ปีหน้าข้าก็จะจากเมืองหลวงไปแล้ว ไม่รู้เมื่อไรจะได้มาอีก ข้าอยากกินทับทิมของบ้านใต้เท้าอีก” เขายิ้ม
“ท่านอ๋อง ท่านทำลายต้นทับทิมบ้านข้ายังไม่พออีกหรือ” ชายวัยกลางคนหัวเราะ
“ตอนนั้นท่านอ๋องยังเด็ก ใต้เท้าเกา หากคราวนี้ท่านอ๋องไปเยือนอีก รับรองว่าไม่ปีนต้นไม้แล้ว” ขันทีร่วมเย้าอยู่ด้านข้าง
ใต้เท้าเกาหัวเราะขึ้นอีกครั้ง
“ดี ดี” เขาเอ่ย “วันหลังข้าจะทูลกับไทเฮา เชิญท่านอ๋องไปที่บ้านข้า”
เขาพูดพลางเอี้ยวเข้ามายิ้มให้
“แล้วจะพาท่านอ๋องไปเที่ยวรอบๆ”
ใบหน้าจิ้นอันจวิ้นอ๋องเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เช่นนั้นใต้เท้าเกาอย่าลืมนะ” เขาเอ่ย
ชายวัยกลางคนผู้นั้นคารวะแล้วขอตัวลาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องไม่ได้เหลียวหลังกลับ เขาเดินทอดน่องต่อไป แต่รอยยิ้มบนใบหน้านั้นกลับจากหายไปในชั่วพริบตา มีเพียงความเย็นชามาแทนที่
เกาหลิงปอ
ชายวัยกลางคนที่หันหลังกลับไปเดินอย่างเชื่องช้าก่อนจะหยุดลง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ความเมตตาบนใบหน้านั้นก็สลายหายไปเช่นกัน มีเพียงความเกลียดชังเข้ามาทดแทน
เขาหันหน้ากลับมามอง ตรงที่เดินผ่านมาไร้ซึ่งเงาของหนุ่มน้อยคนนั้น
เด็กประทานบุตรงั้นหรือ
เขาพ่นลมออกจมูกด้วยความโกรธเคือง
ปลายเดือนแล้ว ถึงเวลาที่เรือนไท่ผิงจะต้องสรุปบัญชี เขาคำนวณอยู่หลายรอบ ท้ายที่สุดผู้ดูแลอู๋ก็วางสมุดบัญชีลง ก่อนจะยิ้มให้สวีเม่าซิวและฟ่านเจียงหลิน
“ยินดีและดีใจกับเถ้าแก่ด้วย” เขายิ้ม
คำพูดนี้กลายเป็นคำเปิดประเด็นตั้งแต่เดือนที่แล้วแล้ว
“ได้กำไรหรือไม่” ฟ่านเจียงหลินรีบถามด้วยความตื่นเต้น
“เต้าหู้ไท่ผิงได้กำไร เรือนไท่ผิงก็…ได้กำไร” ผู้ดูแลอู๋จงใจลากเสียงยาว
ฟ่านเจียงหลินตะโกนออกมา
สวีเม่าซิวแม้จะเป็นคนวางมาดอยู่ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าก็ปรากฏขึ้นอย่างไม่อาจปกปิด
เรือนไท่ผิงได้กำไรแล้ว หลังจากร้านเปิดได้สามเดือน ในที่สุดก็ได้กำไรแล้ว
“ได้กำไรมาตั้งนานแล้วมิใช่หรือ พวกเจ้าตื่นเต้นอะไรกัน” สวีปั้งฉุยที่อยู่ด้านข้างถามพลางลูบจมูกตน
ในแต่ละเดือนนั้นเต้าหู้ไท่ผิงของวัดผู่ซิวก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้ดูแลอู๋ยิ้มไม่หุบแล้ว
“นั่นของเต้าหู้ ไม่ใช่ของเรือนไท่ผิง” สวีเม่าซิวเอ่ย
สวีปั้งฉุยเบะปาก
“ก็เหมือนกันนี่ ล้วนเป็นของน้องสาว…”เขาเอ่ย
เมื่อพูดคำนี้ออกมาฟ่านเจียงหลินก็รีบห้ามปราม
“อย่าพูดเช่นนั้นเชียว” เขาเอ่ย
ความเกี่ยวข้องของเฉิงเจียวเหนียงกับเรือนไท่ผิงนั้นถูกปิดบังมาตลอด
สวีปั้งฉุยรีบยกมือป้องปาก
จังหวะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ประตูก็เปิดออกมา
“พี่ใหญ่ พี่สาม น้องสาวมา” ชายหนุ่มยิ้ม
หลังจากเกิดเหตุอันธพาลตายไปนั้น เฉิงเจียวเหนียงก็ไม่ได้มาเรือนไท่ผิงอีกเลย สวีเม่าซิวและคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ไปที่เรือน ได้แต่คุยธุระกับปั้นฉินที่ไปซื้ออาหารที่ตลาดเช้า
เมื่อได้ยินว่านางมา ฟ่านเจียงหลินก็สีหน้าประหลาดใจยิ่งนัก
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” สวีเม่าซิวลุกขึ้นถาม
“ไม่มีอะไร” ชายหนนุ่มยิ้ม “แค่พาเด็กมากินข้าว”
เฉินตันเหนียงปล่อยมือเฉิงเจียวเหนียงแล้วเดินเข้ามาก่อน นางมองห้องโถงชั้นล่างด้วยความใครรู้
ในห้องโถงนั้นมีลูกค้าเต็มไปหมด คนงานในร้านเดินไปมาตะโกนโหวกเหวก ลูกค้าต่างก็พูดคุยหัวเราะกัน ช่างคึกคักยิ่งนัก
“ขอสุขใจไร้กังวลที่หนึ่ง…”
“อากาศร้อนเช่นนี้ยังอยากกินสุขใจไร้กังวลอยู่อีกหรือ ที่นี่มีของดีๆ เต็มไปหมด เถ้าแก่ ขอหมี่ข้าว น้ำแกงทะเลเดือด น้ำแกงเส้นแป้งรสเลิศ”
เฉินตันเหนียงได้ยินดังนั้นก็เหลียวมามองเฉิงเจียวเหนียงด้วยดวงตาเปล่งประกาย
“พี่สาว ข้าจะกินหมี่ข้าวด้วย” นางเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า
“ได้” นางขานรับ
ยังไม่ทันได้ขึ้นชั้นบน ก็มีเสียงฝีเท้าโครมครามลอยมาจากด้านใน ม่านประตูเปิดออก ชายหนุ่มสองคนเดินออกมา
“ท่านชายสาม” สาวใช้ยิ้ม
สวีเม่าซิวและฟ่านเจียงหลินก็เดินมาด้วยใบหน้าอมยิ้ม
อาหารถูกยกเข้ามาในห้องทีละจาน
เฉินตันเหนียงยกตะเกียบขึ้นด้วยความดีใจ สาวใช้จัดอาหารให้นางด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
อีกด้านหนึ่ง เฉิงเจียวเหนียงนั่งตรงข้ามกับสวีเม่าซิว ฟ่านเจียงหลิน และผู้ดูแลร้าน
“ไม่ต้องให้ข้าดูสมุดบัญชีหรอก” เฉิงเจียวเหนียงผลักสมุดบัญชีกลับมา “จะมากจะน้อยข้าก็ไม่สนใจ”
ผู้ดูแลอู๋หัวเราะ
“ไม่สนใจเงินหรือ” เขาถาม
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“เงินนั่น ข้าไม่สนใจจริงๆ” นางเอ่ย “เวลาที่ข้าได้ใช้ เงินก็คือเงิน เวลาที่ข้าไม่ได้ใช้นั้น มันก็ไม่ใช่อะไรเลย”
จุดนี้สวีเม่าซิวและฟ่านเจียงหลินก็เข้าใจดี
ขอเพียงนายหญิงผู้นี้อยากได้ เงินนั้นก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย
“เช่นนั้นก็ให้ผู้ดูแลร้านเป็นคนตัดสินใจแล้วกัน แบ่งกำไรกันทุกครึ่งปีก็พอ” สวีเม่าซิวเอ่ย
ยามเกิดเรื่องก็คอยแบกรับทั้งช่วยแบ่งเบา ไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องบริหารหรือแม้แต่เงินทอง เถ้าแก่เช่นนี้แลที่ผู้ดูแลร้านทั้งหลายใฝ่ฝันหา
ผู้ดูแลอู๋พยักหน้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เขาเก็บสมุดบัญชีแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ
“น้องสาวมาตอนนี้ไม่เป็นอะไรหรือ” สวีเม่าซิวมองดูเฉิงเจียวเหนียงแล้วเอ่ยถาม
แม้อันธพาลหวังต้าจะถูกสังหาร จูอู่ฆ่าตัวตาย กู้วิกฤตจากการถูกข่ม ทั้งยังปรามพวกคนชั่วอื่นๆ ที่จ้องจะทำร้ายได้แล้ว เรื่องนี้ดูเหมือนจะจบลงแล้ว แต่ทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจว่าตัวการที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังคอยวางแผนทำร้ายเรือนไท่ผิงนั้นยังคงอยู่
ปั่นหัวอันธพาลนั้นเรื่องเล็ก แต่สามารถบีบให้จูอู่ฆ่าตัวตายเพื่อเอาตัวรอดนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นคนใจดำอำมหิตยิ่งนัก
“ไม่เป็นอะไรหรอก เรื่องจะเกิดก็ต้องเกิด หนีไม่พ้นหรอก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยแล้วยิ้ม “ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก”
สวีเม่าซิวและฟ่านเจียงหลินพยักหน้าอย่างวางใจ
“พวกท่านเป็นพี่ชายของพี่เฉิงหรือ”
เฉินตันเหนียงที่กินดื่มอย่างอิ่มเอมอยู่ด้านข้างถามขึ้นอย่างสงสัย
“ใช่” สวีเม่าซิวยิ้ม “นายหญิงน้อย อาหารถูกปากหรือไม่”
“อ้อ ถูกปาก ถูกปาก” เฉินตันเหนียงพยักหน้ารัวด้วยความชอบใจ
“เช่นนั้นก็มาบ่อยๆ ข้าจะลดราคาให้เจ้า” สวีเม่าซิวยิ้ม
“จริงหรือ” เฉินตันเหนียงดีใจยิ่งนัก “ข้าพาคนมาแล้วท่านจะลดราคาให้ใช่หรือไม่”
“จริงแท้แน่นอน” สวีเม่าซิวเอ่ย แล้วยิ้มให้ผู้ดูแลอู๋ “ผู้ดูแลร้าน จดเอาไว้ ท่านนี้คือนายหญิงน้อยเฉิน ถือเป็นแขกของบ้านเรา”
ผู้ดูแลอู๋ยิ้มขานรับ เฉินตันเหนียงก็ดีใจกระโดดโลดเต้น
“ดีจริงๆ พวกนางจะต้องอิจฉาข้าเป็นแน่” นางตะโกน
บรรยากาศในห้องนั้นคึกคักไปด้วยเสียงพูดคุยหัวเราะที่ดังขึ้นเรื่อยๆ
แม้จะไม่ได้ตั้งใจปิดบัง แต่ก็ไม่อยากทำการเอิกเกริกเช่นกัน เมื่อกินดื่มจนอิ่มหนำแล้ว เฉิงเจียวเหนียงก็พาเฉินตันเหนียงกลับไป สวีเม่าซิวและคนอื่นๆ ส่งแขกจากชั้นสองด้วยสายตาเท่านั้น
“ท่านพี่ ดูสิ คนผู้นั้น…” น้องชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นทันใด แล้วชี้ออกไปด้านนอก
ท่านชายโจวหกที่เห็นว่าเฉิงเจียวเหนียงเดินเข้ามา จึงลงจากม้าแล้วยืนนิ่งอยู่กับที่
“เหตุใดจึงไม่แสร้งทำต่อไปเล่า” เขาเอ่ยเสียงขุ่นเคือง
“หากไม่ยอมมาสักทีสิ ถึงจะเรียกว่าแสร้งทำ” ท่านชายฉินยิ้ม “เอาละ รีบไปเถิด อย่ากังวลใจไปเลย เขามีพี่ชายของเขาน่ะ”
ท่านชายโจวหกจ้องเขาเขม็ง
ท่านชายฉินหัวเราะแล้วประคองไม้เท้า ผู้ติดตามรับใช้ช่วยพยุงเดินไป พื้นอิฐที่เพิ่งซ่อมแซมใหม่นั้นก็ส่งเสียงดังตึงตัง
นั่นเป็นเสียงที่ไม่เหมือนกับเสียงฝีเท้าโดยสิ้นเชิง นั่นเป็นท่าทางที่ไม่เหมือนคนปกติโดยสิ้นเชิง
ท่านชายโจวหกรู้สึกแสบหู ตาร้อนเป็นไฟ เขาละสายตาไป มือสองข้างกำแน่น
เฉิงเจียวเหนียงเดินเข้ามาใกล้
“ไม่เจอกันนานเลยนะนายหญิง” ท่านชายฉินอมยิ้มพลางคำนับ
เฉิงเจียวเหนียงคำนับกลับ เฉินตันเหนียงจ้องมองเขาอย่างสงสัย
“เรื่องนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไร” ท่านชายโจวหกก้าวเข้าไปใกล้ เขาพูดด้วยสีหน้าตึงเครียด “เจ้าจะรอให้คนบ้านเจ้าเลือกคู่ให้เจ้าจริงหรือ”
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มเล็กน้อย
“แล้วจะรอให้บ้านเจ้าเลือกให้ข้าหรือ” นางเอ่ย
“ก็ต้องฟังความเห็นของเจ้า” ท่านชายโจวหกส่งเสียงเคือง
“หายากนะที่พวกเจ้าจะฟังความเห็นข้า” เฉิงเจียวเหนียงยิ้ม
ท่านชายโจวหกหน้าเสีย ท่านชายฉินหัวเราะอยู่ด้านข้าง
“เจ้าด้วย” เฉิงเจียวเหนียงหันหน้ามามองท่านชายฉิน
ท่านชายฉินอมยิ้มมองนาง
“เหตุใดเจ้าถึงแสร้งทำเป็นไม่สนใจสิ่งใด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยแล้วมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าเป๋อย่างเจ้า
ไม่ได้อยากจะเป๋ไปตลอดชีวิตหรอกใช่หรือไม่”
เมื่อพูดคำนี้ออกมา รอยยิ้มของท่านชายฉินก็เจื่อนลง
“เฉิงเจียวเหนียง!” ท่านชายโจวหกโมโหขึ้นในทันใด
……………………………..