หญิงผู้นี้พูดจาคล่องแคล่วกว่าแต่ก่อนนัก แต่คำพูดคำจากลับโหดร้ายกว่าเดิม
มีคนพูดจาเช่นนี้ด้วยหรือ!
แล้วยังเป็นหญิงสาวอีก!
หญิงสาวแล้วอย่างไร หญิงผู้นี้แม้กระทั่งสังหารคนก็ทำได้อย่างง่ายดาย…
ท่านชายโจวหกกำหมัดแน่น หากนางเป็นชาย เขาคงอัดให้ตายไปแล้ว!
“เป็นเพื่อนของเขา ดีใช่หรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงมองดูท่านชายฉิน
ท่านชายฉินสีหน้ากลับมานิ่งเรียบดังเดิม ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา ท่านชายโจวหกกัดฟันจ้องตาเขม็ง
“เฉิงเจียวเหนียง เจ้าอย่ารังแกคนอื่นมากเกินไป ข้ารู้ว่าเจ้าเก่ง ตอนนี้ยังมีเรือนไท่ผิงนี้…” เขาก้าวเข้าไปแล้วกัดฟันพูด
เขายังพูดไม่ทันจบ ท่านชายฉินก็พูดขัดจังหวะ
“เรือนไท่ผิงนี้ อาหารก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่ เราไปหากินกันที่อื่นเถิด” เขาพูดต่อ
ยามนี้มีคนเดินผ่านไปมาบนถนน เนื่องจากอยู่ใกล้ร้านอาหารนี้ ลูกค้าแวะเวียนมาไม่ขาดสาย พวกเขาที่ยืนคุยกันอยู่จึงไม่ได้เป็นเป้าสายตามากนัก แต่ทว่าท่านชายโจวหกตะโกนเสียงดังเช่นนั้น คนที่เดินผ่านจึงพากันมองมาด้วยความสงสัยใคร่รู้
ท่านชายฉินปรามท่านชายโจวหก เฉิงเจียวเหนียงเหลือบมองดูเขา สาวใช้วางเก้าอี้เล็กลงแล้วพยุงนางขึ้นรถ เมื่อม่านรถปล่อยลง รถม้าก็วิ่งโคลงเคลงออกไป
“เจ้ายังปกป้องนางอีก หญิงอสรพิษนั่น…” ท่านชายโจวหกหัวเราะเย้ยหยัน
“จะทะเลาะถกเถียงกันไปทำไม” ท่านชายฉินยิ้ม ส่งสายตาเร่งเร้าท่านชายโจวหก “รีบไปเถิด เรื่องกินเรื่องใหญ่”
ท่านชายโจวหกมองไปรอบๆ เห็นว่ามีหลายคนที่กำลังมองเขาอยู่ ยามนี้ในเรือนไท่ผิงมีสายตาหลายคู่จ้องมองอยู่ทั้งในที่แจ้งและในที่ลับ…
เขาไม่ได้พูดอะไรต่อก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไป
ท่านชายโจวหกและท่านชายฉินเดินเข้าเรือนไท่ผิงไป ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่อยู่หน้าประตูก็ยืนขึ้น ท่าทางดูฐานะทัดเทียมกับพวกเขาทั้งสอง เขามองเข้าไปในเรือนไท่ผิง แล้วมองรถม้าของเฉิงเจียวเหนียงที่ไกลออกไปด้วยสีหน้าสงสัย
“ผู้ใดกัน เหมือนเคยเจอที่ไหน ตอนนี้มีเรือนไท่ผิงหรือ หมายความว่าอย่างไร…” เขาพึมพำ
ท่ามกลางเมืองหลวงอันเจริญรุ่งเรือง แต่เรือนนางฟ้ากลับกิจการเงียบเหงา
คนงานสองสามคนยืนคุยกันหน้าประตูอย่างเกียจคร้าน ในห้องของเรือนด้านหลังมีโต้วชีที่กำลังมองดูบ่าวที่นั่งคุกเข่าอยู่อย่างรำคาญใจ
“หยุดพูดได้แล้ว!” เขาตะคอก
บ่าวตกใจจนรีบหุบปาก แล้วก้มหน้ามองผู้ดูแลร้านด้านข้าง
“มีเวลาว่างก็คิดว่าจะทำให้กิจการดีขึ้นอย่างไร!” โต้วชีใช้พัดพับชี้ไปที่ผู้ดูแลร้านแล้วแผดเสียง “วันๆ เอาแต่มาเล่าให้ข้าฟังว่าเรือนไท่ผิงกิจการรุ่งเรืองอย่างไร หมายความว่าอย่างไรกัน ยังตบหน้าข้าไม่พออีกหรือ”
“ไม่ใช่เช่นนั้น เถ้าแก่” ผู้ดูแลร้านรีบเอ่ย “ข้าเพียงแต่อยากจะหาว่าเจ้าของร้านที่อยู่เบื้องหลังเรือนไท่ผิงนั้นคือใครก็เท่านั้น”
เรือนไท่ผิงยิงธนูใส่อันธพาลห้าคนต่อหน้าชาวเมืองแถมยังลอยนวลได้อีก คนทั้งเมืองหลวงต่างก็หวาดกลัว
ทุกคนพากันคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าผู้ใดคือคนที่อยู่คนเหล่านี้กันแน่ ผู้คนพูดคุยถกเถียงกันเซ็งแซ่ก็ยิ่งดูลึกลับ ยิ่งลึกลับก็ยิ่งทำให้คนยำเกรง ไม่ใช่แค่อันธพาลไม่กล้าไปหาเรื่อง แม้แต่ทางการก็ไม่กล้าเอาความเช่นกัน
หากไม่รู้ว่าเจ้าของร้านที่อยู่เบื้องหลังนั้นคือผู้ใด ก็ไม่มีโอกาสลงมือ
โต้วชีตามหามาหลายวันแล้ว เขาสืบจากราชเลขาหลิวได้ความว่าวันนั้นที่วัดผู่ซิว คนที่พูดคุยกับพระอาจารย์หมิงไห่นั้นคือนายใหญ่เฉิน แต่จากการสืบถามแล้วยืนยันได้ว่าตระกูลเฉินไม่ใช่เจ้าของร้านที่แท้จริงของเรือนไท่ผิง
แต่สามารถให้ตระกูลเฉินออกหน้าช่วยเหลือได้นั้นจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
เพียงแต่เสียดายที่เมื่อสืบต่อก็ไม่ได้เบาะแสอะไร
“ข้าคิดว่าในเมื่อเป็นเจ้าของร้าน คงไม่มีทางที่จะไม่ทิ้งร่องรอยอะไรในเรือนไท่ผิงเลย จะต้องมีเบาะแสอะไรที่ตามสืบเสาะได้เป็นแน่” ผู้ดูแลร้านเอ่ย “ข้าจึงให้พวกเขาเฝ้าเรือนไท่ผิงไว้ ดูว่ามีเบาะแสอะไรบ้าง”
โต้วชีโยนพัดลงบนพื้น
“แล้วพบอะไรหรือไม่” เขาถามเสียงแหลม
ผู้ดูแลมองดูบ่าว
บ่าวยิ้มแสยะแล้วส่ายหน้า
โต้วชีถ่มน้ำลายใส่
“พ่อครัวที่ข้าให้ไปหา เจ้าหาได้หรือยัง” เขามองผู้ดูแลร้าน “จะต้องทำอาหารได้ดี ไม่ใช่อย่างพ่อครัวคนนี้ นอกจากหั่นเนื้อแล้วก็ทำอะไรไม่เป็นอีก แม้แต่หั่นเนื้อยังต้องให้คนอื่นมาสอน…”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ บ่าวที่นั่งก้มหน้าอยู่นั้นก็เงยหน้าขึ้นมาทันใด
“ข้านึกออกแล้ว!” เขาตะโกน
โต้วชีที่กำลังพูดอยู่ก็ต้องสะดุ้งเพราะความตื่นตูมของเขา
“ตะโกนอะไรเล่า!” เขาด่า
“ผู้ดูแลร้าน เจ้าของร้าน ข้านึกออกแล้ว สองคนนั่น!” บ่าวเอ่ยอย่างร้อนรน
“สองคนนั่นอะไร” ผู้ดูแลร้านถาม
“สองคนนั้นอย่างไรเล่า” บ่าวเอ่ยพลางทำท่าทาง “คนที่สอนพ่อครัวหั่นเนื้อในร้านเราตอนนั้น! คนนั้น นางฟ้าผ่านทาง!”
นางฟ้าผ่านทางหรือ
ผู้ดูแลร้านและโต้วชีมองดูบ่าวคนนั้น
“คนของตระกูลโจวหรือ” โต้วชีถาม
บ่าวรีบพยักหน้า
“ใช่ หนุ่มน้อยคนหนึ่ง สาวน้อยคนหนึ่ง คนที่บอกว่าพวกเขาเป็นคนทำนางฟ้าผ่านทาง” เขาเอ่ย
ก่อนหน้านี้โต้วชีก็คอยติดตามสองคนนี้อยู่ แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย จึงไม่ได้ใส่ใจอีก
“พวกเขาคงแค่ไปกินข้าวที่นั่นกระมัง” โต้วชีเอ่ย เขาพิงโต๊ะเตี้ยแล้วหรี่ตา
เรือนไท่ผิงมีชื่อเสียงถึงเพียงนี้ ตั้งใจไปกินข้าวที่นั่นก็ไม่มีอะไรแปลก
“คงแค่ไปกินข้าวจริงๆ” บ่าวเอ่ย
โต้วชีถ่มน้ำลายแล้วด่า
“ไปกินข้าวแล้วจะพูดทำไม!” เขาด่าแล้วยกมือขึ้นทำท่าจะตี
บ่าวรีบกุมหัวหลบ
“แต่ว่า แต่ว่า ข้าได้ยินชายผู้นั้นพูดว่า… ตอนนี้ยังมีเรือนไท่ผิงนี้อีก…” เขารีบตะโกน
มือที่ยกขึ้นของโต้วชีชะงักไป
“ว่าอย่างไรนะ” เขาถาม
ผู้ดูแลร้านจ้องบ่าวตาเขม็ง
“ตอนนั้นข้านั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินชายผู้นั้นพูดประโยคนี้กับหญิงผู้นั้น แต่ยังไม่พูดไม่จบก็มีอีกคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นมา” บ่าวเอ่ยด้วยความลุกลี้ลุกลน “ข้าได้ยินเขาพูดประโยคนี้ จึงมองไป ข้างรู้สึกคุ้นหน้ายิ่งนัก เมื่อครู่จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ ว่าเป็นสองคนนั้น”
โต้วชีค่อยๆ กลับลงไปนั่ง สีหน้ามองไม่ออกว่าเป็นอารมณ์ไหน
“เจ้าเล่าคำพูดที่พวกเขาคุยกันในตอนนั้นมาให้ละเอียด อย่าได้ตกหล่นแม้แต่คำเดียว” เขาเอ่ย
ขณะเดียวกัน ณ บ้านตระกูลเฉิง เมืองเจียงโจว นายใหญ่โจวเปิดดูจดหมายที่ฮูหยินเฉิงส่งมาให้ด้วยสีหน้าอารมณ์ซับซ้อน
“อ้อมไปอ้อมมา สุดท้ายก็เป็นเช่นนี้…” เขาพึมพำ “หากเร็วกว่านี้สักสองสามเดือน คงจะไม่วุ่นวายเช่นนี้”
บ่าวคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน
“นายท่าน สืบได้แล้วขอรับ” เขาเอ่ยด้วยความดีใจ
นายใหญ่โจววางจดหมายในมือลง
“เป็นอย่างไรบ้าง” เขาถาม
“เป็นลูกชายญาติห่างๆ ตระกูลเผิง เป็นปัญญาชนจริงๆ” บ่าวเอ่ยด้วยสีหน้าดีอกดีใจ “แต่ว่า ก่อนปีใหม่ได้ล้มป่วยขอรับ”
คนธรรมดากินข้าวปลาอาหารจะไม่ป่วยก็คงเป็นไปไม่ได้
“เป็นโรคอะไร” นายใหญ่โจวถามอย่างไม่ใส่ใจ
“นายท่าน โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ขอรับ” บ่าวทำหน้าทำตาเอ่ยเสียงแผ่วเบา
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือ!
นายใหญ่โจวเบิกตากว้างชั่วขณะแล้วตบโต๊ะเสียงดัง
“ดูถูกกันมากเกินไปแล้ว!” เขาตะคอกแล้วคว้ากระบี่ที่แขวนอยู่ข้างฝาก่อนจะกระโจนออกไป “เฉิงต้ง! ข้าจะเอาชีวิตเจ้า!”
จดหมายฉบับนั้นถูกเหยียบอยู่ใต้เท้า ในเมื่อมีพ่อที่ไร้ยางอายเช่นนี้ ก็คงไม่ต้องลำบากลูกชายของเขาแล้ว
เสียงเอะอะโวยวายลอยไปถึงเรือนฮูหยินใหญ่เฉิง
“รีบไปดูเร็ว ตระกูลโจวเป็นพวกจอมยุทธ์เหี้ยมโหดนัก อย่าให้เกิดเรื่อง” ฮูหยินใหญ่เฉิงยืนอยู่ตรงโถงทางเดิน
สาวใช้และแม่นมในเรือนขานรับแล้วรีบวิ่งไป
ฮูหยินใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงทางเดินได้แต่พนมมือสวดมนต์
“ท่านอาหญิง ช่างน่าขันเสียจริง เหตุใดตระกูลท่านถึงได้ถูกคนนอกขู่เข็ญเช่นนี้”
ท่านชายสิบเจ็ดที่มีสาวใช้นวดขาบีบไหล่ให้ในห้องนั้นยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น
“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยแล้วหันหลังกลับ “ปล่อยให้ผู้อื่นรู้จุดเองเอาได้ จะโทษคนอื่นก็ไม่ได้”
นางเอ่ยแล้วหันหลังเดินเข้ามานั่งลง
“มิน่านายใหญ่ตระกูลโจวจะเอาเรื่องให้ได้ กล้าหาคนที่ป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หายให้เจียวเหนียง หากเป็นข้า ข้าก็คงไม่ยอมเช่นกัน” นางเอ่ยแล้วถอนหายใจ
ท่านชายสิบเจ็ดลุกขึ้นนั่งในทันใด
“ท่านอาหญิง เป็นเช่นนี้หรือ” เขาตะโกน “หญิงงามผู้นั้นหรือ จะให้แต่งกับคนใกล้ตายอย่างนั้นหรือ”
“หญิงงามอะไรกัน!” ฮูหยินใหญ่เฉิงเลิกคิ้วตะคอกใส่ “เจ้าเผาภาพวาดนั้นเสีย!”
ท่านชายสิบเจ็ดหัวเราะคิกคัก ไม่ใส่ใจคำพูดของนางเลยสักนิด
“คราวนี้ล่ะ พวกเขาสองสามีภรรยาอย่าได้คิดจะแทรกแซงเรื่องแต่งงานของเจียวเหนียงอีกเลย” ฮูหยินใหญ่เฉิงพูดกับแม่นม
“ยังจะแทรกแซงอะไรได้อีก ไม่หย่าขาดกับนางก็ดีแค่ไหนแล้ว” แม่นมแอบยิ้ม “เมื่อครู่ยังร้องไห้น้อยใจกับเหล่าฮูหยินอยู่เลยเจ้าค่ะ บอกว่าไม่ใช่โรคทางเพศสัมพันธ์ แค่เป็นผื่น แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ลือกันเช่นนั้น…”
ฮูหยินใหญ่เฉิงโบกพัด
“จะพูดอะไรก็สายไปเสียแล้ว ใครใช้ให้ตานั่นเลี้ยงหญิงนางโลมเอาไว้เล่า” นางพูดอย่างเรียบเฉย “พลาดท่าเสียเอง โทษคนอื่นไม่ได้แล้ว”
หากมิใช่เพราะนางได้คืบจะเอาศอก ก็คงไม่ตกอยู่ในสภาพอย่างทุกวันนี้หรอก
หาคนของบ้านแม่ของตนมาสู่ขอเด็กบ้านั่น ก็เรียกว่าเรือล่มในหนองจริงๆ ในเมื่อนางไม่เห็นคนแซ่เฉิงเป็นในครอบครัว ข้าจะเห็นนางเป็นคนในครอบครัวเช่นกัน
แม่นมอมยิ้มแล้วรินชาให้
“ฮูหยิน เช่นนั้นเรื่องแต่งงานของเจียวเหนียง นายรองก็แทรกแซงไม่ได้แล้ว ก็ต้องพึ่งท่านลุงใหญ่ท่านป้าใหญ่อย่างพวกท่านแล้วสิเจ้าคะ” นางเอ่ย
ฮูหยินใหญ่เฉิงยกน้ำชาขึ้นมา
“เรื่องแบบนี้เสียแรงแต่ไม่คุ้มค่าน่ะสิ” นางเอ่ย “นางเป็นเช่นนี้ จะไปหาคนที่เหมาะสมมาจากที่ไหนเล่า”
ท่านชายสิบเจ็ดเมื่อได้ยินดังนั้นก็โบกมือไล่สาวใช้ออกไป แล้วรุดหน้าเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ท่านอาหญิง ข้าช่วยคลายความกังวลของท่านอาหญิงได้นะ ข้ามีคนที่เหมาะสมอยู่คนหนึ่ง” เขาเอ่ย
ฮูหยินใหญ่เฉิงเหลือบมองเขา
“โธ่ ชายสิบเจ็ดของข้าโตแล้ว รู้จักช่วยคลายกังวลให้อาหญิงแล้ว เจ้าลองว่ามาสิ ว่าเป็นคนที่เหมาะสมนั้นคือผู้ใด” นางยิ้มพลางจิบชา
ท่านชายสิบเจ็ดหัวเราะคิกคักแล้วก้าวเข้ามานั่งอยู่ตรงหน้าฮูหยินใหญ่เฉิง
“ท่านอาหญิง ข้าอย่างไรเล่า” เขายื่นมือมาชี้ตนเอง
น้ำชาในปากของฮูหยินใหญ่เฉิงพุ่งพรวดออกมา
……………………………..