เสียงเอะอะโวยวายกลางลานด้านนอกดูเหมือนจะสงบลง หรืออาจเป็นเพราะเสียงภายในบ้านดังจนกลบเสียงด้านนอก

“ท่านอาหญิง ท่านอาหญิง อย่าตี อย่าตี ข้าป่วยอยู่นะ! ”

ท่านชายสิบเจ็ดตะโกนลั่น พลางยกมือบังศีรษะหลบแรงทุบตี

ฮูหยินเฉิงตีแรงไม่ยั้งมือ

“ใช่ เจ้าป่วยอยู่! ป่วยหนักมาก! ข้าจะตีเรียกสติเจ้า! เจ้าพูดเหลวไหล เหลวไหลสิ้นดี! ” นางตะโกน

ท่านชายสิบเจ็ดยิ้มแล้วกอดแขนของนางไว้

“ท่านอาหญิง ท่านอาหญิง ข้าหายดีแล้ว ข้าหายดีแล้ว” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม

ฮูหยินเฉิงสะบัดแขนทิ้งอย่างไม่แยแส

“เก็บข้าวของแล้วรีบส่งเขากลับไป แล้วบอกกับนายท่านและฮูหยินของเจ้าด้วยว่าให้กักบริเวณเขาเป็นเวลาครึ่งเดือน” นางพูดกับแม่นมที่อยู่ด้านข้าง

แม่นมรีบรับคำ

ท่านชายสิบเจ็ดมิได้พูดอะไร จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม

“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอตัวก่อนนะท่านอาหญิง” เขาพูดพลางสาวเท้ารีบวิ่งออกไป ราวกับรีบร้อนอยากกลับบ้านเต็มที

ฮูหยินเฉิงตะโกนเรียก แต่ก็ไม่อาจรั้งเขาไว้ได้ นางทั้งโกรธและโล่งใจในคราเดียวกัน

“กลับไปบอกฮูหยิน จับตาดูเขาไว้ให้ดี อย่าให้ออกมาอาละวาดเช่นนี้ได้อีก” นางกำชับแม่นมอีกครั้ง

แม่นมรับคำแล้วถอยออกไป

“เหล่าฮูหยินให้มาเชิญฮูหยินเจ้าค่ะ” แม่นมคนหนึ่งเดินเข้ามาเอ่ย

“ดูเหมือนจะทะเลาะกันเสร็จแล้ว” ฮูหยินเฉิงพูด

“เหล่าฮูหยินจะกำชับเรื่องงานแต่งของหลานเจียงเหนียวของท่านเจ้าค่ะ” แม่นมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“เป็นนายหญิงง่ายเสียที่ไหนกัน มีแต่เรื่องให้กังวลใจมากมาย เสียแรงแต่ไม่คุ้มค่า ลูกทุกคนในบ้านรวมกันยังยุ่งยากไม่เท่านางเพียงคนเดียว” ฮูหยินเฉิงเอ่ย

“บนโลกนี้ไม่มีอะไรยาก หากเราตั้งใจ ฮูหยินตั้งใจเช่นนี้ ย่อมสำเร็จแน่นอนเจ้าค่ะ” แม่นมยิ้ม พร้อมกับพยุงฮูหยินเฉิงเดินจากไป

ยามค่ำคืนมาเยือน ท่านชายฉินสิบสามรู้สึกว่าตนกำลังเดินออกไป ด้านหน้ามีแสงไฟส่องสว่าง แต่เดินไปอย่างไรก็เดินไปไม่ถึงเสียที

กำลังฝันอยู่หรือนี่

ท่านชายฉินสิบสามรีบบอกกับตัวเอง จากนั้นจึงหยุดเดินในทันใด

แสงไฟลับหายไป ผู้คนมากมายยืนอยู่ล้อมรอบเขาอยู่

“ไอ้เป๋น้อย”

“ดูไอ้เป๋นั่นสิ”

เสียงกระซิบดังมาจากทั่วสารทิศ

ท่านฉินสิบสามขมวดคิ้ว ฝันเช่นนี้เลยหรือ แต่ก็ช่างเถอะ แม้ว่าความทุกข์ในใจจะถูกเปิดเผย แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อเขา

เขาก้าวไปช้าๆ เสียงกระซิบข้างหูก็ค่อยๆ กลายเป็นเพียงภาพลวงตา

เขารู้ความจริง ยอมรับความจริง และไม่เกรงกลัวต่อความจริง ถึงขั้นอยู่กับความจริงได้

“เหตุใดเจ้าถึงแสร้งทำเป็นไม่สนใจสิ่งใด”

เสียงของหญิงสาวดังขึ้น

ท่านชายฉินสิบสามยืนแน่นิ่ง มองไปที่หญิงสาวนางหนึ่งที่ปรากฏตัวอยู่ด้านข้าง เสื้อผ้าสีเข้มกลืนกับแสงยามค่ำคืน

“เจ้าเป๋อย่างเจ้า ไม่ได้อยากจะเป๋ไปตลอดชีวิตหรอกใช่หรือไม่”

ท่านฉินสิบสามลืมตาพรืบขึ้นในทันใด ทิศตะวันออกเริ่มสว่าง แสงอ่อนลอดผ่านผ้าม่าน

เขาจ้องมองไปที่ผ้าม่านอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะลุกขึ้นยืน

ไม้เท้าถูกวางไว้ข้างเตียง ด้านหลังมีบ่าวที่กำลังนอนหลับสบายอยู่

เขาเดินถือไม้เท้าไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เสียงตึงตังของไม้เท้ากระทบพื้นก็ทำให้บ่าวสะดุ้งตกใจตื่น

ท่านชายฉินสิบสามหยุดเดินแล้วมองลงไปที่ไม้เท้าในมือของตน

“ตอนเด็กๆ ข้าชอบแอบออกไปเล่นข้างนอก…”

“สาวใช้และแม่นมนอนหลับสนิทอยู่ข้างเตียง…”

“พวกเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้ากลับมาเมื่อใด…”

เขานึกถึงเรื่องตลกที่ท่านชายโจวหกเคยเล่าให้ฟัง เรื่องเล็กน้อยที่เขาฟังอย่างเพลิดเพลินนั้น แท้จริงแล้วเป็นรสชาติที่เขาไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อน

‘เจ้าเป๋อย่างเจ้า ไม่ได้อยากจะเป๋ไปตลอดชีวิตหรอกใช่หรือไม่…’

“ท่านชายจะลุกขึ้นหรือไม่ขอรับ” บ่าวขยี้ตาถามด้วยความงุนงง

ท่านชายฉินสิบสามตอบว่าอืม

“ข้าจะไปเดินเล่น เจ้าไม่ต้องตามออกไป” เขาพูดพร้อมกับใช้ไม้เท้าพยุงตัวเดินไปข้างหน้า

“ฟ้าสว่างแล้ว แต่ก็ยังเช้าอยู่ ท่านชายจะไปที่ไหนหรือขอรับ” บ่าวถามพลางขยี้ตา

“ข้าแค่จะออกไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อย เรื่องแค่นี้เจ้าก็ต้องยุ่งด้วยรึ” ท่านชายฉินตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด

บ่าวตกใจจนตื่นเต็มตา

ท่านชายที่มักจะอ่อนโยน เงียบขรึม หัวเราะก่อนพูดเสมอ กลับฉุนเฉียวขึ้นทันที…

ท่านฉินสิบสามกำไม้เท้าแน่นก่อนจะสูดหายใจลึก

“ข้านอนไม่หลับ อยากออกไปเดินเล่นที่ลานหน้าบ้าน เจ้าไม่ต้องตามมา” เขาพูดอย่างช้าๆ

บ่าวไม่กล้าพูดต่อ ทำเพียงพยักหน้าตอบรับ

จากนั้นก็ฟังเสียงฝีเท้าและมองดูท่านชายฉินค่อยๆ เดินจากไป

ยามรุ่งสาว หลี่ต้าเสาเดินออกจากบ้าน พร้อมกับสะใภ้ซ่งที่เตรียมลาตัวน้อยออกมายืนรอแล้ว

“สองสามวันนี้ ไม่ต้องเอาผักและเนื้อสัตว์กลับมาแล้ว ของที่มีอยู่ในบ้านยังกินไม่หมด” นางเอ่ย

“กินไม่หมดก็เอาไปให้บ้านพ่อแม่เจ้าสิ ช่วงนี้เก็บแตง ผลไม้และผักไว้ไม่ได้” หลี่ต้าเสาพูด

บ้านพ่อแม่ของสะใภ้ซ่งเป็นครอบครัวธรรมดา ที่ผ่านมาหลี่ต้าเสาไม่เอาไหนและถูกดูแคลนจากพ่อแม่ของฝ่ายหญิงมาตลอด แต่บัดนี้หลี่ต้าเสาทำงานในเรือนไท่ผิงได้ดี ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในครอบครัวก็ดีขึ้นมาก แม้ว่าจะยังไม่ได้ค่าตอบแทนเป็นตัวเงิน แต่การที่ไม่เสียเงิน ก็ถือว่าได้รับค่าตอบแทนแล้ว

เนื้อสัตว์ ผักและข้าวสารถูกส่งไปยังบ้านของพ่อแม่สะใภ้ซ่งมากมาย ทำให้เขาดูมีสง่าราศีต่อหน้าพี่น้องทั้งหลาย ยามไปมาหาสู่บ้านพ่อแม่ของนางก็มิได้เหมือนแต่ก่อนที่มักจะอึดอัด แต่ตอนนี้ช่างสบายใจและผ่อนคลายนัก

หลี่ต้าเสาขี่ลาออกจากบ้านไป ชาวบ้านที่ทำไร่เสร็จตั้งแต่เช้าก็เข้ามากล่าวทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม แม้แต่หลี่เจิ้งก็หยุดพูดคุยกับเขาอยู่ครู่หนึ่ง นี่คือชีวิตที่หลี่ต้าเสาไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาก

“ลูกชายหกของข้าอายุครบสิบปีแล้ว อยู่บ้านก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าหากเรือนไท่ผิงขาดคนรับส่งของ ก็เอาเขาไปได้เลย” หลี่เจิ้งพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม

หลี่ต้าเสาตอบรับ

“ไว้ข้าจะดูให้” เขาตอบอย่างรวดเร็วเช่นกัน

แม้ว่าหลี่ต้าเสาจะเป็นเพียงพ่อครัวของเรือนไท่ผิง แต่ก็มีพ่อครัวจำนวนไม่มากที่ได้รับความสนใจจากพระอาจารย์จากวัดผู่ซิวได้ ชาวบ้านไม่รู้หรือไม่สนใจว่าเจ้าของเรือนไท่ผิงจะเป็นคนศักดิ์สิทธิ์มาจากไหน ในสายตาของพวกเขา สถานะของหลี่ต้าเสาในเรือนไท่ผิงถือว่าไม่ธรรมดา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่เรือนไท่ผิงกำลังคัดเลือกบ่าวรับใช้ และหลังจากหลี่ต้าเสาได้ส่งเด็กของเพื่อนบ้านมาทำงาน ก็ยิ่งตอกย้ำสถานะที่ไม่ธรรมดาของเขา

ค่าตอบแทนของเรือนไท่ผิงไม่น้อยเลย คนว่างงานในครอบครัวจึงอยากที่จะหาเงินเพิ่มกัน

ผู้คนที่เข้ามาทักทายตามรายทางจนทำให้ออกเดินทางช้ากว่าที่ตั้งใจ มิได้เป็นอุปสรรคสำหรับหลี่ต้าเสาที่กำลังจะออกจากหมู่บ้าน จังหวะที่เพิ่งออกจากหมู่บ้าน ชายผู้หนึ่งก็เดินมาจากอีกด้านของหมู่บ้าน ทั้งสองสบตาก่อนจะตกตะลึงซึ่งกันและกัน

เขาคือผู้ดูแลร้านอาหารของเรือนนางฟ้า

“สหายหลี่” ผู้ดูแลหลิวยิ้มเจื่อนเอ่ย สายตาที่มองมาเป็นประกาย

หลังจากที่หลี่ต้าเสาปฏิเสธที่ดินที่ซื้อคืนมาให้ โต้วชีก็ได้ส่งคนมาหาหลี่ต้าเสาถึงสองครั้ง ทั้งยังบอกว่าจะทำตามสัญญาที่นายใหญ่โต้วบอกว่ามอบหุ้นให้ แต่หลี่ต้าเสาก็ยังคงปฏิเสธเช่นเดิม

พบกับนายเก่าทำให้ลำบากใจเล็กน้อย

“ผู้ดูแลร้านงานยุ่งแต่เช้าเลยนะ” หลี่ต้าเสาเอ่ยอย่างสุภาพ

“ไม่ยุ่ง ไม่ยุ่ง ยุ่งสู้สหายหลี่ไม่ได้เลย” ผู้ดูแลยิ้มเกร็งแล้วเอ่ย

เดิมทีหลี่ต้าเสาเป็นคนนิ่งเงียบ แต่ตอนนี้เขากลับรู้จักพูดจาถากถางพูดอื่น

หลี่ต้าเสาได้ได้คิดว่าตนพูดผิดอะไร จึงยิ้มออกมา

“ท่านทำธุระเถิด ข้าขอตัวก่อน” เขาพูด

ผู้ดูแลร้านพูดอย่างไม่พอใจ เฝ้ามองหลี่ต้าเสาเร่งขี่ลาออกไป

หลี่ต้าเสาผู้นี้ยังคงผอมซูบและแต่งตัวเรียบง่ายเช่นเดิม แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดผู้ดูแลร้านถึงได้รู้ว่าน้ำเสียงของเขามีความข่มอยู่ไม่น้อย หรืออาจเป็นเพราะเขาขี่ลาอยู่หรือ

ข้าก็ขี่ม้าเชียวนะ!

ผู้ดูแลถ่มน้ำลายถุย ก่อนจะหันหลังไปมองบ่าวที่จูงม้ามาแต่ไกล

“เร็วเข้า! ” เขาตะโกน

เขาเร่งควบม้าเข้าเมืองไปยามพระอาทิตย์ขึ้น ตอนนี้ในตลาดคึกคักนัก แต่เรือนนางฟ้ากลับเงียบเหงาเหมือนเคย

มีแขกสองสามคนนั่งอยู่ในห้องโถง แต่ไม่มีนางฟ้าผ่านทางวางอยู่

“อาหารของพวกเจ้ามีไม่กี่อย่างเอง น้อยเกินไปแล้ว”

“มีอย่างอื่นอีกไหม”

เสียงพูดคุยระหว่างแขกและบ่าวลอยเข้ามา

ผู้ดูแลร้านเบื่อหน่ายที่จะฟังต่อ เพราะถึงอย่างไรคุยได้เพียงไม่นานก็คงไม่มีเรื่องดีๆ ให้พูด หรือไม่ก็ด่าทอแล้วเดินจากไป ไม่ก็สั่งอาหารกินสองสามอย่างโดยทนกินอย่างขัดสน

เขาเดินตรงไปยังลานหลังเรือนก่อนจะหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง โต้วชีได้ขายบ้านในเมืองและมาอาศัยอยู่ในเรือนนางฟ้าแทน

“บ้าเอ้ย! คือพวกเขาจริงๆ ด้วย! ”

เมื่อผู้ดูแลร้านเปิดประตูเข้าไป ก็ได้ยินเสียงโต้วชีด่าทออย่างเกรี้ยวกราด

“เถ้าแก่ เรื่องอะไรหรือ” เขาถาม

โต้วชีหน้าเขียวด้วยความโมโห เขาเตะโต๊ะด้านหน้าล้มคว่ำ กระดาษสองสามแผ่นปลิวกระจัดกระจายบนพื้น

“เรือนไท่ผิง! ” เขาตะโกน “เป็นของพวกมัน! ข้าเคยพูดแล้วว่าไม่มีคนดีในโลกนี้หรอก มีแต่คนฉลาดหรือคนโง่เท่านั้น! คนอย่างโต้วชีผู้นี้ถูกเด็กสองคนปั่นหัวเข้าให้แล้ว! ถูกพวกเขาเล่นงานมาตั้งแต่ตอนนั้น! ”

เขายิ่งพูดยิ่งบ้าคลั่ง โบกมือไม้ไปมา

“เถ้าแก่ ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” ผู้ดูแลร้านรู้สึกกลัวไม่น้อย หรือว่าโต้วชีจะถูกกดดันจนเป็นบ้าไปแล้ว

“หาเจอแล้วว่าผู้ใดคือเจ้าของเรือนไท่ผิง! ” โต้วชีหันหน้ากลับมามองเขาแล้วเอ่ยอย่างฉุนเฉียว

หาเจอแล้วอย่างนั้นหรือ

“ผู้ใดกัน” ผู้ดูแลร้านถามอย่างรีบร้อน

“กุยเต๋อหลางเจี้ยง แห่งตระกูลโจว! ” โต้วฉีกัดฟันพูดอย่างหนักแน่น

……………………………