แสงจันทร์สาดส่องลงบนกระเบื้องนอกตำหนักเจ๋อเทียน เมื่อเห็นหลินมู่อวี่ออกมาพร้อมตะกร้าที่เต็มไปด้วยอาหาร เว่ยโฉวและคนอื่นๆ พลันรู้สึกยินดี พวกเขาต่างรู้ดีว่าการเข้าเฝ้าฝ่าบาทนั้นราวกับเข้าถ้ำเสือ แทบไม่ต้องพูดถึงของกำนัล การที่หลินมู่อวี่มีชีวิตออกมาได้ก็ราวกับสวรรค์ประทานพร และท่าทางของหลินมู่อวี่นั้นปกติดีซึ่งทำให้พวกเว่ยโฉวคลายความกังวล
“กลิ่นหอมเหลือเกิน ถืออะไรมาด้วยหรือขอรับ?” เว่ยโฉวถามด้วยรอยยิ้ม
หลินมู่อวี่จึงยกตะกร้าขึ้น “มันคืออาหารที่ฝ่าบาทปรุงขึ้นเอง ข้านำมาด้วยเล็กน้อย”
“จริงหรือขอรับ!?” เซี้ยโหวซางเบิกตาโพลง “ท่านแม่ทัพ…นี่คืออาหารที่ฝ่าบาทปรุงเองจริงหรือ?”
“อืม จะเป็นเท็จไปได้เยี่ยงไร?”
“ฮ่า…ขอพวกเราชิมได้หรือไม่?”
หลินมู่อวี่กล่าวทั้งรอยยิ้ม “ข้ากินมาจนอิ่มแล้ว แน่นอนว่านี่นำมาให้พวกเจ้า เอาล่ะ คงไม่สะดวกที่จะคุยกันในตำหนักเจ๋อเทียน แล้วค่อยคุยกันหลังออกจากที่นี่เถิด”
“ขอรับ!”
…
ไม่นานพวกเขาก็ขี่ม้าผ่านถนนทงเทียนอย่างเชื่องช้า อาหารในตะกร้าถูกมอบให้เหล่าองครักษ์อินทรี จากนั้นเว่ยโฉว เซี้ยโหวซาง และทหารนายอื่นๆ เริ่มกินกรงเล็บหมีและเนื้อกวาง แต่ละคนหลั่งน้ำตาอาบสองแก้มอย่างซาบซึ้ง สำหรับทหารเหล่านี้ฉินจิ้นเป็นดั่งเจ้าชีวิตเหนือสรรพสิ่ง การได้ลิ้มรสอาหารฝีมือฉินจิ้นนับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง มีทหารจักรวรรดิมากมายที่ไม่เคยแม้แต่จะมีโอกาสได้เห็นฉินจิ้น และชิมอาหารฝีพระหัตถ์จักรพรรดิ…เช่นนั้นพวกเว่ยโฉวจะไม่ยิ้มออกมาได้เยี่ยงไร?
“เลิศรสมาก…”
ดวงตาเว่ยโฉวเป็นสีแดงเล็กน้อย “ฝ่าบาทมีพระปรีชาสามารถหลายด้านอย่างแท้จริง ทักษะการปรุงอาหารราวกับฟ้าประทาน ไม่แปลกใจเลยที่กล่าวกันว่าฝ่าบาทเป็นจักรพรรดิผู้มีพระอัจฉริยภาพ!”
“เช่นนั้น…หรือ?”
หลินมู่อวี่กล่าวด้วยความเมามาย “ใช่แล้ว…ฝ่าบาทถือเป็นจักรพรรดิที่ยอดเยี่ยมจริงๆ…”
ความจริงหลินมู่อวี่มิได้รู้สึกเช่นนั้น ฉินจิ้นเป็นคนอ่อนโยน ซึ่งเป็นข้อบกพร่องสูงสุดของเขา ในฐานะจักรพรรดิมีความอ่อนโยนเป็นเรื่องที่ดี ทว่าไม่ดีพอในฐานะผู้ปกครองแผ่นดิน ฉินจิ้นไม่สามารถจัดการกับผู้ที่แข็งกร้าวเช่นเจิ้งอี้ฝาน หลัวซิ่ง และคนอื่นๆ ในแง่ของทักษะการปกครองแผ่นดิน…ฉินจิ้นยังมีไม่เพียงพอ!
“อร่อยมากเลยรึ?” หลินมู่อวี่ยิ้มถาม
“อื้ม! อร่อยมากเลยขอรับ!” เว่ยโฉวและเซี้ยโหวซางพูดเป็นเสียงเดียวกัน ขณะที่รีบปาดน้ำตา
หลินมู่อวี่ไม่สามารถหลั่งน้ำตาแห่งความซาบซึ้งใจได้อย่างสหายเหล่านี้ เมื่อนึกถึงคำพูดของฉินจิ้นที่กล่าวกับเขาในตอนท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเย็นวาบเข้าไปในหัวใจ ฉินจิ้นกำลังปฏิบัติกับเขาเหมือนลูกบุญธรรมอยู่จริงหรือ? มันอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้น ฉินจิ้นคงรู้ดีว่าหลินมู่อวี่มีโอกาสชนะด้วยพละกำลังที่มี…นี่อาจเป็นเหตุผลที่ฉินจิ้นทำดีด้วยอย่างนั้นหรือ?
“นี่ข้ากำลังโดนหลอกใช้?”
หลินมู่อวี่ถอนหายใจอย่างหมดหนทาง
“ท่านแม่ทัพได้กล่าวสิ่งใดหรือไม่ขอรับ?” เว่ยโฉวเอ่ยถาม
“เปล่า”
หลินมู่อวี่กระชับเสื้อให้แน่นขึ้น “เดินทางให้เร็วกว่านี้เถิด เมืองหลันเยี่ยนยามค่ำคืนนั้นหนาวเหน็บมาก”
“ขอรับ!”
…
บนภูเขารังอินทรีลมหนาวพัดหวีดหวิวราวกับปีศาจร้าย หลินมู่อวี่นั่งอยู่ในกระโจมและค่อยๆ ปลดปล่อยทักษะชีพจรวิญญาณ ส่งผลให้จิตใจปลอดโปร่งทันที เมื่ออาการเมาหายไป หลินมู่อวี่ก็รู้สึกตื่นเต้น ด้วยความเร็วในการฝึกยุทธ์ขณะนี้ทำให้ความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บางทีเขาอาจสามารถควบคุมพลังสี่ประทีปได้แล้วกระมัง?
เมื่อคิดได้เช่นนี้หลินมู่อวี่ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น
‘ฮึบ!’
หลินมู่อวี่พลันยืนขึ้นและสวมเสื้อคลุม ก่อนจะยกมือขวาขึ้นปลดปล่อยปราณยุทธ์ พลังสี่ประทีปหลั่งไหลเข้ามาในทะเลจิต ทันใดนั้น! มันก็ก่อตัวขึ้นเป็นร่างสัตว์ประหลาด ริ้วเทวาและพลังวิญญาณไหลเวียนล้อมรอบหลินมู่อวี่ส่งผลให้อากาศรอบบริเวณบิดเบือนและทุกอย่างค่อยๆ จางหายไป นี่คือพลังของสี่ประทีปที่จะบิดเบือนพื้นที่และสร้างความเสียหายแก่เป้าหมายที่อยู่โดยรอบ…
สี่ประทีปเทพมารโศกา!
‘วิ้ง’
พลังปะทุรุนแรงขึ้น และก่อนที่มันจะระเบิดหลินมู่อวี่ก็ได้เรียกพลังกลับมา ทันใดนั้น! การบิดเบือนในอากาศหายวับไป! ริ้วปราณยุทธ์แผ่กระจายทั้งสี่ทิศกลายเป็นพลังวิญญาณซึมลงสู่พื้นดิน พลังยุทธ์ของมนุษย์ก่อเกิดจากผืนแผ่นดินและท้องนภา หลังจากถูกปลดปล่อย พลังเหล่านั้นจึงกลับสู่ธรรมชาติเช่นดังเดิม
พริบตาเดียวผู้มีพลังยุทธ์ขั้นสูงในรังอินทรีก็ถูกปลุก เว่ยโฉว เซี้ยโหวซาง และองครักษ์คนอื่นๆ คลานออกจากกระโจมอย่างตื่นตกใจ “เกิดอะไรขึ้น…ช่างเป็นคลื่นพลังที่รุนแรงอะไรเช่นนี้…”
แม้ทหารเหล่านี้จะไม่ได้ฝึกทักษะทางจิตวิญญาณอย่างเช่นทักษะชีพจรวิญญาณ ทว่าพวกเขาก็สามารถรับรู้ได้ถึงความโกลาหลจากพลังสี่ประทีปได้
ขณะเดียวกันก็มีม้าศึกขึ้นเขามาพร้อมเสียงตะโกน
“ข้ามาเพื่อรายงานต่อผู้บัญชาการขอรับ มีภารกิจใหม่จากตำหนักเจ๋อเทียน”
“กรุณารอสักครู่ ข้าจะไปรายงานกับผู้บัญชาการ”
“ขอบคุณมากขอรับ”
…
จากนั้นหลินมู่อวี่สวมเสื้อเกราะแล้วเดินออกมา “มีอะไรหรือ?”
ผู้ส่งสารท่านนี้เป็นองครักษ์มังกรและจำหลินมู่อวี่ได้ จึงประสานหมัดแสดงความเคารพเยี่ยงทหารก่อนกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพหลินมู่อวี่ นี่คือภารกิจลาดตระเวนล่าสุดจากตำหนักเจ๋อเทียน มันถูกเขียนลงในม้วนหนังสือนี้ทั้งหมดแล้วขอรับ”
“อืม…ขอบคุณมากขอรับ”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง!”
จากนั้นเว่ยโฉว เซี้ยโหวซาง และคนอื่นๆ ก็เดินเข้ามาถาม “ท่านแม่ทัพ…เป็นภารกิจอะไรหรือขอรับ?”
หลินมู่อวี่คลายม้วนหนังสือและพบว่ามันถูกเขียนอยู่หลายบรรทัด
ศิลาวิญญาณอรุณอายุกว่าหกพันปี
เสือดำมลทินยี่สิบตัว
งาช้างขนยาวอายุกว่าสามพันปี
…
หลินมู่อวี่สูดหายใจลึก “ต้องการศิลาวิญญาณอรุณอายุกว่าหกพันปี…เป็นภารกิจที่ยากทีเดียว นี่เป็นความประสงค์ของฝ่าบาทหรือ?”
องครักษ์มังกรส่ายหัว “ไม่ใช่ขอรับ ฝ่าบาททรงพักผ่อนอยู่เนื่องจากดื่มไวน์เข้าไป ภารกิจนี้ถูกส่งมาจากเสนาธิการตำหนักเจ๋อเทียนท่านเฉอชง…หากเป็นฝ่าบาทคงไม่ส่งภารกิจที่ยากเช่นนี้ให้แก่รังอินทรีก่อนจะมีการประลองยุทธ์เป็นแน่ ศิลาวิญญาณอรุณอายุกว่าหกพันปี…ฮืม ด้วยอากาศที่หนาวเหน็บและทั้งป่าล่ามังกรปกคลุมไปด้วยหิมะ เช่นนั้นจะหาได้เยี่ยงไร…”
พูดจบทหารผู้นั้นพลันขมวดคิ้ว “ท่านหลินมู่อวี่ ข้าอาจช่วย…เอ่ยถามท่านฉินเหลยและฝ่าบาทเพื่อยกเว้นภารกิจนี้ให้”
“มิจำเป็นขอรับ”
หลินมู่อวี่โบกมือพร้อมกล่าวว่า “ยังมีเวลาอีกห้าวันก่อนการประลองยุทธ์ ซึ่งคงเพียงพอ เนื่องจากเสนาธิการตำหนักเจ๋อเทียนส่งภารกิจนี้ให้ เช่นนั้นรังอินทรีก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อบรรลุ ทว่าข้ามีคำถามขอรับ…ข้าเคยมอบศิลาวิญญาณอรุณอายุหกพันสองร้อยปีไปแล้ว เหตุใดยังต้องการอีกก้อน? ตามหลักการ…เสี่ยวอินมิต้องการศิลาวิญญาณอีกแล้ว และนางไม่สามารถดูดซับพลังวิญญาณได้มากนักแม้จะได้อีกก้อน…”
องครักษ์มังกรพลันสูดหายใจ “ศิลาวิญญาณก้อนนี้มิได้นำไปสกัด ทว่านำไปหลอมขอรับ”
“หลอม?” หลินมู่อวี่ตะลึง “หมายความว่าอย่างไร?”
องครักษ์นายนั้นพลันประสานมือ “ผู้บัญชาการอาจไม่ทราบเรื่องนี้ ทว่าตำหนักเจ๋อเทียนรวบรวมผู้มีความสามารถจากทั่วทั้งแผ่นดิน เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาปรมาจารย์หลอมอาวุธจากมณฑลเทียนชู่นามว่าอวี่จื้อหยานถูกเชิญเข้ามายังตำหนัก เนื่องจากฝ่าบาทมีความประสงค์ที่จะหลอมกระบี่ให้องค์หญิงอิน อวี่จื้อหยานผู้นั้นให้คำมั่นสัญญาว่าหากได้ศิลาวิญญาณอรุณอายุกว่าหกพันปีมา เขาจะหลอมอาวุธนิลระดับสี่หรือสูงกว่าให้แก่องค์หญิงอิน และด้วยการนี้ฝ่าบาทจะประทานหนึ่งหมื่นเหรีญทองแก่ชายผู้นั้น”
“เป็นเช่นนี้เองหรือ”
หลินมู่อวี่เผยยิ้ม “ในเมื่อเป็นภารกิจจากตำหนักเจ๋อเทียน รังอินทรีก็จะพยายามให้เต็มที่ รบกวนเรียนท่านเสนาธิการเฉอชงด้วยว่ารังอินทรีจะบรรลุภารกิจให้ทันเวลา”
“ภารกิจมิได้จำกัดเวลา เช่นนั้นท่านแม่ทัพไม่จำเป็นต้องไป คงไม่สายเกินไปที่จะทำภารกิจหลังเสร็จสิ้นการประลองยุทธ์ขอรับ”
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณมากขอรับ!”
“หาไม่ขอรับ ข้าน้อยคงต้องขอตัวก่อน”
“ขอรับ เช่นนั้นข้าไม่ส่ง”
…
เมื่อองครักษ์มังกรจากไปพร้อมกับความมืด เว่ยโฉวก็พูดด้วยความโกรธเกรี้ยว “นี่มันไร้เหตุผลเกินไปแล้ว! ไอ้งี่เง่าเฉอชงคิดว่ารังอินทรีของเราเป็นขี้ข้ารึ!? คิดบ้างหรือไม่ว่าสัตว์วิญญาณอรุณอายุกว่าหกพันปีแข็งแกร่งมากเพียงใด แม้แต่องครักษ์มังกรก็อาจล้มตายได้หากต้องเผชิญหน้าสัตว์ร้ายตัวนั้น! แทบไม่ต้องพูดถึงรังอินทรีเลย…บัดซบ! นี่มันกลั่นแกล้งกันชัดๆ!”
เซี้ยโหวซางเสริมต่อ “ถูกต้อง ท่านแม่ทัพขอรับ…เราควรรายงานเรื่องนี้และให้เฉอชงรับโทษฐานใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรม!”
“ไม่จำเป็น”
หลินมู่อวี่ยกมือปราม “หากฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้ อาจทรงดำริว่ารังอินทรีของเราไร้ความสามารถ ในเมื่อเฉอชงทำเช่นนี้ เราก็ต้องบรรลุภารกิจให้ได้ ทุกคนไปพักกันแต่หัววันซะ แล้วเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เว่ยโฉวและเซี้ยโหวซางไปเลือกผู้มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุดในรังอินทรีมาสองนาย จากนั้นพวกเราทั้งห้าจะออกเดินทางตามหาศิลาวิญญาณอรุณภายในสองวัน! เว่ยโฉว…เจ้าเชี่ยวชาญในการเดินป่าล่ามังกร เช่นนั้นบอกได้หรือไม่ว่าจะหาศิลาวิญญาณอรุณอายุกว่าหกพันปีได้จากที่ใด?”
เว่ยโฉวขมวดคิ้วแน่น “ท่านแม่ทัพ ภารกิจนี้ค่อนข้างยากขอรับ แทบไม่ต้องเอ่ยถึงสัตว์วิญญาณอรุณอายุกว่าหกพันปีที่กำลังเข้าสู่ช่วงจำศีล แม้แต่การเดินทางเพียงอย่างเดียวอาจใช้เวลาอย่างต่ำถึงห้าวัน…”
เซี้ยโหวซางที่อยู่ด้านข้างเงียบไปครู่หนึ่ง “มันอาจไม่เป็นเช่นนั้น…”
“โอ้ ท่านเซี้ยโหวซางมีความคิดดีๆ หรือ?” หลินมู่อวี่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
เซี้ยโหวซางกล่าว “อืม ข้าน้อยเคยล่าสัตว์ในป่าล่ามังกรกับพ่อในอดีต ซึ่งยังมิได้เป็นสถานที่ต้องห้ามของกองทัพในขณะนั้น ข้าจำได้ว่าทางตะวันออกเฉียงใต้ของป่าล่ามังกร มีป่าชื่อว่า ‘ป่าเจตภูต’ ใกล้กับมณฑลเทียนชู่ เป็นป่าต้องห้ามสำหรับนักล่า ไม่ว่าใครที่เข้าไปจะไม่มีทางได้กลับออกมา พ่อของข้าบอกว่ามีสัตว์วิญญาณอรุณอายุกว่าเจ็ดพันปีในป่านั่น ไม่มีใครสามารถล่าหรือสังหารมันได้ สัตว์ร้ายตัวนั้นอาศัยอยู่ในป่าเจตภูตมาหลายพันปี แม้แต่กรมหลวงก็ไม่สามารถก็ทำอะไรได้ ป่าแห่งนี้อยู่ห่างจากเราประมาณสองวัน ฉะนั้นหากเดินทางโดยไม่แวะพักเราอาจทำสำเร็จขอรับ”
“ดี! เราจะออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น และจะมอบหมายการดูแลรังอินทรีให้ท่านเซียงหยิง!”
“ขอรับ!”
…………………