ย่ำรุ่ง ณ เมืองหลันเยี่ยนที่ผู้คนยังคงหลับใหล หลินมู่อวี่กับอีกสี่คนตื่นแต่เช้า ก่อนจะเรียกทหารองครักษ์ฝีมือดีที่นัดหมายไว้ให้เตรียมม้าแล้วออกเดินจากรังอินทรี ระยะห้าวันนับจากนี้ต้องเร่งทำภารกิจให้สำเร็จภายในสี่วัน เพราะหากม้าศึกเกิดหมดแรงขึ้นมาระหว่างทางคงไม่เป็นการดีแน่ หลังจากเข้าสู่อาณาเขตของป่าล่ามังกรแล้ว พวกหลินมู่อวี่จึงมุ่งหน้าลงใต้ทันที

ตลอดทางที่วิ่งผ่านมีอสูรวิญญาณเพ่นพ่านเต็มไปหมด ทว่าโชคยังดีที่มีถนนเก่าอยู่ในป่า ซึ่งเป็นถนนที่ถูกทิ้งร้างมานานหลังจากทหารจักรวรรดิทำการปิดผนึกป่าห้ามคนเข้าออก ถนนเส้นนี้เคยถูกใช้เป็นทางลัดไปสู่มณฑลเทียนฉู ซึ่งช่วยให้พวกหลินมู่อวี่เดินทางได้ไวขึ้น มิเช่นนั้นการไปให้ถึงจุดหมายโดยใช้ทางปกติบนเขาคงใช้เวลาเกินกว่าห้าวันเป็นแน่

เพียงพริบตาการเดินทางก็ใช้เวลาสองวันหมดไปอย่างรวดเร็ว กลุ่มของหลินมู่อวี่ขณะนี้ได้เข้าสู่ส่วนลึกของป่าล่ามังกรแล้ว พวกเขาใช้เวลาเพียงคืนละสี่ชั่วโมงเท่านั้นในการพักผ่อนและพักม้า เนื่องจากการเดินทางตลอดทั้งวันไม่ได้หยุดพักทำให้ทุกคนมีสภาพอ่อนล้าเต็มที

“น่าเสียดายเป็นบ้า! หากเรามีเวลามากกว่านี้คงล่าพยัคฆ์ล่องนภาอายุสองพันเก้าร้อยปีได้สำเร็จ”

เซี่ยโหวซางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “หนังของพยัคฆ์ล่องนภานั้นล้ำค่านัก กล่าวกันว่าผืนหนึ่งขายที่ร้านค้าจักรวรรดิได้ตั้งห้าพันเหรียญทอง ช่างน่าโมโหเสียจริง”

หลินมู่อวี่ควบม้าต่อพลางยิ้มจางๆ “ดูสารรูปตัวเองก่อนเถิด…อย่าเพิ่งรีบร้อนไป ต่อเมื่อแล้วเสร็จงานนี้ข้าจะกราบทูลฝ่าบาทให้หน่วยอินทรีได้หยุดพัก และขอค่าเหนื่อยตอบแทนทุกคนที่คนของเราทำภารกิจสำเร็จ มิเช่นนั้นคงไม่มีแรงกระตุ้นกัน”

เซี่ยโหวซางยิ้ม “ปราดเปรื่องมากขอรับท่านผู้บัญชาการ! ผู้บัญชาการคนก่อนน่าจะคิดถึงลูกน้องให้ได้เยี่ยงท่าน ท่านเมิ่งฟางเอาแต่คิดถึงตำแหน่งตัวเอง ไม่แม้แต่จะปรายตามองคนในหน่วยที่เงินเดือนแทบไม่พอยาไส้”

เว่ยโฉวเมื่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา “ท่านเซี่ยโหวซาง เราเป็นทหารองครักษ์จะเอาเวลาไหนไปใช้เงินมากมาย แค่มีให้ใช้ก็พอถมเถ…ถึงมีมากแต่ไม่ได้ใช้เกรงว่าจะเป็นภาระเสียเปล่า”

“เว่ยโฉวพูดถูก เหรียญทองพวกนั้นมีมนต์สะกดให้ผู้คนหลงใหลอย่างหาที่สุดมิได้ กระทั่งถอนตัวไม่ขึ้นจนความโลภทำลายตัวเอง” ใครบางคนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น

เว่ยโฉวเอ่ยตอบอย่างนับถือ “ท่านผู้บัญชาการพูดถูกขอรับ เงินทองก็เป็นเพียงของนอกกาย ท่านช่างมองทุกสิ่งทะลุปรุโปร่งเสียจริง…ข้าน้อยขอคารวะ!”

หลินมู่อวี่เองก็ยิ้มด้วยความชื่นชม ทว่าเว่ยโฉวกับเซี่ยโหวซางหารู้ไม่ว่าถุงสรรพสิ่งของหลินมู่อวี่ใส่เก็บเหรียญเพชรไว้เป็นแสน!

หลังจากเดินทางมาได้พักใหญ่ ถนนที่ใช้อยู่เริ่มมีวัชพืชเข้าปกคลุมจนมองไม่เห็นทางในที่สุด หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วล้วงม้วนแผนที่ออกมากาง “ตอนนี้เรายังไม่เข้าใกล้เข้าใกล้ป่าเจตภูตอีกหรือ? เซี่ยโหวซาง เจ้ารู้จักเส้นทางนี้ดี…มาดูสิว่าเราอยู่ไหนแล้ว”

เซี่ยโหวซางมองดูแผนที่ “ตอนนี้เราน่าจะ…หลงขอรับท่าน”

“…”

หลินมู่อวี่มืดแปดด้าน ภายใต้ใบหน้าอันยิ้มแย้ม ในหัวกำลังสบถคำว่าบัดซบจนนับครั้งไม่ถ้วน “เช่นนั้น…ข้าหวังว่าท่านเซี่ยโหวซางจะหาทางออกได้ และหากภายในคืนนี้เรายังไปไม่ถึงป่าเจตภูตอีก…ข้าจะทำให้เจ้าไม่กล้าหลงทางอีกตลอดชีวิต!”

เซี่ยโหวซางตัวสั่นเทิ้ม “นายท่านโปรดเชื่อใจ…จากความทรงจำวัยเด็กอันเลือนราง ข้าจะต้องพาพวกท่านไปป่าเจตภูตได้แน่นอน!”

หลังจากนั้นเซี่ยโหวซางก็พาทุกคนออกจากถนนร้างเข้าไปยังป่าทึบ รอบบริเวณเป็นป่าที่ดูลึกลับเต็มไปด้วยเถาวัลย์คดเคี้ยว คงไม่มีใครเคยเข้ามาที่นี่หลายทศวรรษแล้ว พระอาทิตย์เริ่มอัสดงความมืดมิดกำลังมาเยือน หากยังหาที่สำหรับค้างแรมไม่ได้ มีหวังคงถูกฝูงหมาป่าวาโยเข้าโจมตีแน่

หมาป่าวาโยนั้นมีอยู่มากในป่าล่ามังกร พวกมันชอบออกล่าเป็นฝูงทั้งยังเป็นอสูรวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดในป่าแห่งนี้ ยิ่งอยู่ในป่าลึกเท่าไรมันยิ่งทรงพลัง แม้จุดที่พวกหลินมู่อวี่อยู่จะมีอสูรอายุสามพันถึงห้าพันปีอาศัยอยู่ ทว่าหากฝูงหมาป่าวาโยมาคงเข้ากำราบพวกมันได้อย่างง่ายดาย ตามห่วงโซ่อาหารที่ผู้แข็งแกร่งย่อมเป็นผู้ล่า

เว่ยโฉวหยิบคบเพลิงขึ้นมาราดน้ำมันและจุดไฟส่องไปตามถนนด้านหน้า

ทหารองครักษ์อีกคนด้านหน้ากำลังใช้ดาบในมือเปิดทางไปต่อ คมกระบี่กว่าร้อยปอนด์ส่งเสียงฉับตัดเถาวัลย์อย่างไม่ลดละ

หลินมู่อวี่ที่ตามมาด้านหลังปล่อยทักษะชีพจรวิญญาณออกไปช้าๆ ก่อนจะพบบางอย่างเข้า “ด้านหน้าระวัง!”

“สิ่งใดหรือขอรับ? ข้ายังไม่เจออสูรวิญญาณ…” เว่ยโฉวพูดไม่ทันจบประโยค

“ไม่…มันอยู่ข้างใต้ อย่าประมาทเป็นอันขาด!”

“ขอรับ!”

เซี่ยโหวซางจุดคบเพลิงขณะเดินสำรวจไปด้านหน้า ทันใดนั้นก็มีเสียงบางอย่างดังมาจากใต้พื้นดิน “พรึบ!” มีเถาวัลย์สีเลือดพวยพุ่งขึ้นมา! เซี่ยโหวซางกับม้าศึกถูกรัดอย่างแรง โชคดีที่มีเกราะปราณจึงทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บมาก เซี่ยโหวซางตวัดดาบฟันวัชพืชพลางตะโกนลั่น “ไอ้นี่มันอะไรกัน!”

“ระวัง!” สิ้นเสียงหลินมู่อวี่เตือน

“ฉึก!”

เถาวัลย์เลือดอีกเส้นพุ่งเข้าโจมตีเว่ยโฉวราวกับหอกแหลม! พลังทะลวงของมันรุนแรงมาก!

หลินมู่อวี่กระโดดลงจากม้าเรียกกำแพงน้ำเต้าออกมาบังเว่ยโฉวไว้ “เปรี้ยง!” เถาวัลย์เลือดแหลกเป็นเสี่ยงทันทีที่ปะทะเข้ากับกำแพงของหลินมู่อวี่! ทักษะชีพจรวิญญาณแผ่ขยายต่อเนื่อง ด้วยเสียงครางทุ้มหลินมู่อวี่เรียกวิญญาณยุทธ์เถาวัลย์น้ำเต้าให้ปรากฏ และทะลวงมันลงไปในดิน!

“โฮก!”

ในที่สุดสิ่งที่ซุ่มโจมตีอยู่ก็ปรากฏตัว! มันคืออสูรหมาป่าประเภทหนึ่ง ร่างกายที่ปกคลุมไปด้วยใบไม้สีแดงเหมือนปีศาจกำลังสะบัดหางไปมา ทว่ามันไม่ใช่หางธรรมดา เป็นหางเถาวัลย์สีเลือดที่เข้าโจมตีพวกเว่ยโฉวก่อนหน้านี้! สิ่งมีชีวิตเบื้องหน้าเป็นลูกผสมระหว่างอสูรและพืช!

เมื่อเพ่งมองอย่างถี่ถ้วนแล้วเว่ยโฉวจึงเอ่ยขึ้น “มันคือหมาป่าหนามโลหิตอายุสี่พันเจ็ดร้อยปี หึ!…กล้าเข้ามาหาเรื่องพวกข้าก็จงเตรียมตัวตายเสียเถิด!”

หลินมู่อวี่เอ่ยขึ้น “เว่ยโฉว…ข้าจะดึงความสนใจให้เอง หากได้โอกาสก็ฆ่ามัน!”

“ขอรับท่าน!”

ไม่พูดพร่ำทำเพลงหลินมู่อวี่กระโจนเข้าไปพร้อมกระบี่วิญญาณมังกร คมกระบี่ควบแน่นด้วยสายฟ้าพุ่งทะยานใส่หมาป่าหนามโลหิต!

“โฮก…”

หมาป่าหนามโลหิตอ้าปากคำรามลั่นด้วยความโกรธ พืชที่ดูคล้ายลิ้นในปากมันช่างน่าขยะแขยง โดยรวมแล้วมันไม่เหมือนอสูรวิญญาณปกติ ทว่าเหมือนสัตว์ประหลาดน่าขนลุกเสียมากกว่า

“ตู้ม!”

เถาวัลย์สีเลือดพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินเพื่อป้องกันการโจมตีจากหลินมู่อวี่! หนามทั้งหลายที่แทรกอยู่กับเถาวัลย์ทำหน้าที่เป็นโล่ป้องกันได้อย่างดี ดูเหมือนว่านี่จะเป็นทักษะป้องกันของหมาป่าหนามโลหิต

กระบี่วิญญาณมังกรอาวุธปราชญ์ระดับสี่จะคมสักเพียงไหนคงได้เห็นกัน!

“ฉับ!”

คมกระบี่สะบั้นโล่หนามจนแหลก! ขณะเดียวกันหลินมู่อวี่ก็ใช้หมัดเสียงปีศาจชกเข้าไปที่หัวหมาป่าหนามโลหิตอย่างจัง!

“โฮก…”

หมาป่าหนามโลหิตถูกซัดจนเซถอยหลังไป ขณะที่มันกำลังส่ายหัวด้วยความมึนงง เว่ยโฉวก็ง้างคันศรกลืนปีศาจแล้วยิงในทันใด “ฟิ้ว!” ลูกศรพุ่งปักเข้ากลางลำคอของอสูร ของเหลวคล้ายเลือดทะลักออกมาก มันร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด หมาป่าหนามโลหิตเมื่อรู้ตัวว่าสู้ไม่ไหว จึงคิดหนีโดยการขุดหลุมมุดลงใต้ดินหายไปในพริบตา

“คิดจะหนีงั้นรึ?”

เว่ยโฉวรุดตามไปก่อนจะหยุดและเอ่ยขึ้นอย่างเสียดาย “หมาป่าหนามโลหิตใช้หางทะลวงดินหนีไปแล้ว…คงตามฆ่าได้ยากขอรับ บัดซบที่สุด! เป็นความผิดข้าเองที่ยิงพลาด…ข้าควรจะเล็งที่หัวมันแท้ๆ”

หลินมู่อวี่เอ่ยขึ้นด้วยความมาดร้าย “ไม่เป็นไร เราจะไล่ตามไป…มันยังหนีได้ไม่ไกล”

“หืม?”

เว่ยโฉวเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่านรู้ว่าหมาป่าหนามโลหิตอยู่ที่ใดหรือขอรับ?”

“ตามข้ามาก็พอ”

“ขอรับ!”

เมื่อการต่อสู้จบลง หลินมู่อวี่ได้ใช้ทักษะชีพจรวิญญาณในการติดตามหมาป่าหนามโลหิต หลินมู่อวี่ขึ้นควบม้าและนำหน้าทุกคนไปยังตำแหน่งของอสูร

ความเร็วในการหนีของอสูรนั้นเทียบเท่ากับม้าศึกวิ่งที่เต็มกำลัง หลินมู่อวี่เดินแหวกพุ่มไม้ไปก่อนจะใช้หนึ่งประทีปพิฆาตชีวัน พลังแห่งดวงดาราแผ่กระจายไปทั่ว “ตู้ม!” กองหนามและเถาวัลย์ถูกบดขยี้จะราบคาบ!

“พระเจ้า…”

เว่ยโฉว เซี่ยโหวซางกับคนอื่นๆ ตกตะลึงยืนค้าง ได้แต่ภาวนาในใจว่าขออย่าได้เป็นศัตรูกับคนคนนี้เลย หากต้องได้เป็นปรปักษ์กับปีศาจเช่นนี้คงไม่ต่างจากการได้เจอโชคชะตาอันโหดร้าย

พวกหลินมู่อวี่ไล่ตามหมาป่าหนามโลหิตไปติดๆ กว่ายี่สิบนาที กระทั่งหลินมู่อวี่ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณสั่ง “หยุดก่อน!”

“เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ? ศิลาวิญญาณกับวิญญาณอสูรนั้นเป็นสมบัติล้ำค่ามาก…” เว่ยโฉวเอ่ยถามไม่ทันจบ

หลินมู่อวี่ส่ายหัวและแทรกขึ้น “ไม่…เราไม่ควรเอาชีวิตมาทิ้งกับของมีค่าเหล่านั้น ลงจากม้าและตามข้ามาอย่างเงียบๆ ข้าสัมผัสได้ถึงพลังอันแกร่งกล้ายิ่งเสียกว่าหมาป่าหนามโลหิตอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้”

“ขอรับ!”

ทุกคนตามหลินมู่อวี่ไปอย่างเงียบเชียบกระทั่งถึงยอดเขาลูกหนึ่ง หลินมู่อวี่หยุดดูอย่างจดจ่อ ภายใต้แสงจันทราที่สาดส่องลงมา เผยให้เห็นหมาป่าหนามโลหิตกำลังถูกบางอย่างจู่โจมอยู่ มันร้องครวญครางอย่างน่าเวทนาจะบนพื้น ท่ามกลางเสียงฟ้าร้องคำราม มีอสูรร้ายตัวหนึ่งกระโดดขึ้นกลางอากาศและพุ่งเข้ากัดหมาป่าหนามโลหิตอย่างแรง!

“โฮก…โฮก!”

หมาป่าหนามโลหิตดิ้นรนร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด กระทั่งหัวของมันถูกกัดกระชากจนขาด! “ฟึบ!”

ท่ามกลางแสงจันทร์สว่าง ร่างของอสูรร้ายปรากฏ…มันคืออสูรร่างหุ้มเกราะขนาดยักษ์กำลังเคี้ยวหัวของหมาป่าหนามโลหิตอย่างเอร็ดอร่อย

“นั่นมันมังกรนภา…”

เว่ยโฉวตกตะลึง “มังกรนภาอายุหกพันห้าร้อยปี และเป็นเพียงตัวเดียวที่มีธาตุแสง…”

“เช่นนั้นรึ?”

หลินมู่อวี่เอื้อมมือชักกระบี่วิญญาณมังกรออกก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้ารู้จุดอ่อนของมังกรภาหรือไม่เว่ยโฉว? เราจะทำการซุ่มโจมตีมัน…ได้เวลาที่เจ้าต้องแสดงฝีมือแล้ว หากเจ้ายิงศรเคลือบพิษด้วยคันศรกลืนปีศาจได้สำเร็จจะช่วยให้เราจัดการมันง่ายขึ้น!”

“ข้าจะพยายามขอรับ!”

………………