หลังจิ๋งจิ่วเดินออกไป ถงเหยียนก็เดินออกไป
การประลองหมากล้อมของงานชุมนุมเหมยฮุ่ยเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น ดังนั้นย่อมไม่มีทางจะจบลงเพียงเท่านี้แน่นอน
ผู้ชนะในการประลองหมากล้อมจะได้รับการประสาทพรจากฉานจึพร้อมกับผู้ชนะจากการประลองอีกสี่รายการ อีกทั้งเดิมทีนี่ยังเป็นชื่อเสียงเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่อย่างมากด้วย
แต่เป็นเพราะเหตุผลบางอย่างที่สามารถเข้าใจได้ ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือทางวิถีหมากที่แท้จริงเหล่านั้นหรือว่าผู้ที่แค่ชื่นชอบเล่นหมากล้อมต่างรู้สึกไม่ค่อยมีความสนใจเท่าไร ดูไม่ค่อยมีความกระตือรือร้น
“ข้าเองก็จะไปเหมือนกัน” เหอจานเอาไหสุราเหน็บข้างเอว ก่อนกล่าวกับเซ่อเซ่อว่า “ถ้ามีโอกาสจะไปเล่นกับเจ้าที่สำนักเสวียนหลิงนะ ข้าจะพาเจ้าไปจับปลาที่ต้าเจ๋อ หัวปลาที่นั่นเอามาตุ๋นแล้วหอมมาก อร่อยกว่าปลาย่างเสียอีก”
เซ่อเซ่อมิได้สนใจคำพูดท่อนหลังของประโยคนี้เลย นางถามอย่างตกใจว่า “เจ้าไม่ประลองหมากล้อมแล้วหรือ?”
“ใช่” เหอจานนิ่งเงียบไปเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “หลังจากนี้ก็ไม่เล่นแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ สายตาที่ตกตะลึงจำนวนมากมองมาที่เขา
จิ๋งจิ่วและถงเหยียนจากไป เหอจานย่อมต้องเป็นผู้ที่มีโอกาสคว้าอันดับหนึ่งในการประลองหมากล้อมครั้งนี้อย่างแน่นอน
ต่อให้จิตใจเขาจะถูกการประลองก่อนหน้านี้ทำให้ตกตะลึงอย่างมาก หรือว่าไม่อยากจะฉวยโอกาสนี้ในการสร้างชื่อเสียง แต่เหตุใดถึงบอกว่าหลังจากนี้จะไม่เล่นหมากล้อม?
คำพูดหลังจากนั้นของเหอจานไม่รู้ว่าเป็นการตอบเซ่อเซ่อหรือว่ากล่าวกับทุกคนที่อยู่ในเขาฉีผาน
“ต่อให้ข้าเกิดใหม่ก็ไม่มีทางเอาชนะสองคนนั้นได้ กระทั่งชายเสื้อของพวกเขาก็ไม่มีทางได้สัมผัส แล้วยังจะเล่นต่อไปเพื่ออะไร?”
……
……
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยปล่อยมือกันเมื่อมาถึงปากทางถนนใหม่ คล้ายกับเมื่อหลายวันก่อน ทุกอย่างล้วนแต่เป็นปกติ คล้ายว่าวันนี้มิได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
ชายหลังคาของวัดไท่ฉางถูกน้ำฝนชะล้าง สีดำส่องประกาย ดูแล้วคล้ายเขาของมังกร
จิ๋งจิ่วดึงสายตากลับมา เขาเดินขึ้นบันไดหิน ผลักประตูเดินเข้าไป
ทุกคนในบ้านต่างนั่งอยู่ในโถงด้านนอก เมื่อเห็นเขาเข้ามา จึงพากันลุกขึ้นยืน
“ทำไมถึงกลับมาแล้วล่ะ?”
ท่าทีของพี่ใหญ่แห่งตระกูลจิ๋งดูมีความเคารพมากกว่าเมื่อหลายวันก่อน แต่ในสายตาเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกดีใจ
จิ๋งจิ่วเห็นเขา จึงนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองลืมเรื่องๆ หนึ่งไป
หลายวันก่อนตอนที่เขาให้อีกฝ่ายเดิมพันการประลองหมากล้อม เขาบอกให้อีกฝ่ายเดิมพันว่าตนเองจะเป็นผู้ชนะการประลองในตอนสุดท้าย วันนี้ตนเองประลองไปเพียงกระดานเดียวก็กลับมาแล้ว
เขากล่าวว่า “เสียไปเท่าไร เดี๋ยวข้าใช้ให้เจ้า”
พี่ใหญ่ตระกูลจิ๋งกล่าวอย่างดีใจว่า “ไม่เป็นไร ข้าเดิมพันแบบชนะกระดานเดียว”
……
……
ตอนที่อยู่บนเขาฉีผาน ฝนก็ได้หยุดลงแล้ว
ด้านนอกหน้าต่างไม่มีเสียง เงียบสงัดเป็นยิ่งนัก เหมาะสำหรับการเข้านอน
แต่จิ๋งจิ่วกลับนอนไม่หลับ เขาครุ่นคิดถึงเรื่องบางเรื่อง
เขามายังเมืองเจาเกอเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ย จุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดก็คือมาดูว่าคนผู้นั้นจะมาหาตนเองหรือเปล่า
แต่ในเมื่อเจ้าล่าเยวี่ยกล่าวคำพูดเหล่านั้น ในตอนที่เขาออกหน้าให้สือซุ่ยก็พูดออกไปอีกรอบหนึ่ง เช่นนั้นแวะประลองหมากรุกหน่อยก็คงไม่เป็นไร
ก็แค่เกมเกมหนึ่งเท่านั้น
ก็เหมือนกับที่เขากล่าวกับถงเหยียนตอนที่อยู่ในเขาฉีผาน
แต่มันเป็นแค่เกมจริงๆ หรือ?
เขาลุกขึ้นเดินไปยังหน้าชั้นหนังสือ ก่อนจะหยิบหมากล้อมชุดนั้นออกมา จากนั้นกลับมาที่โต๊ะ แล้ววางหมากที่เล่นในวันนี้อีกครั้ง
เขายืนอยู่หน้าโต๊ะ มองดูกระดานหมากล้อมอยู่เป็นเวลานาน
สีดำขาวของตัวหมากแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน แต่สุดท้ายกลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
การประลองในวันนี้เขาเป็นฝ่ายชนะ แต่เขาทราบดีว่าตนเองชนะในเรื่องบางเรื่องที่ถงเหยียนไม่สามารถทำได้
เขาไม่คิดว่านั่นเป็นการเอาชนะอย่างไม่ใสสะอาด เพียงแต่เมื่อยืนอยู่ในจุดของถงเหยียนแล้ว นี่ก็ไม่ใช่ความผิดของถงเหยียนเช่นเดียวกัน
สภาพร่างกายของเขาในตอนนี้มีความพิเศษอย่างมาก เขามีระดับความแข็งแกร่งของจิตใจที่แทบจะไร้ขีดจำกัด
หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน ต่อให้เขาเริ่มเรียนหมากล้อมตั้งแต่เล็ก ก็คงยากที่จะทำเหมือนอย่างวันนี้ได้
หมากของถงเหยียนในวันนี้เข้าใกล้คำว่าสมบูรณ์แบบ หากไม่เป็นเพราะสภาพจิตใจและร่างกายเหนื่อยล้าจนเกินไปในช่วงท้าย จนทำให้การเดินตาที่เจ็ดนับจากสุดท้ายมีความฝืนมากเกินไป เขาเองก็คงไม่มีทางที่จะคว้าโอกาสที่ทำให้ตนเองสามารถหลบหนีได้ตลอดเวลาอันนั้นเอาไว้ได้ หรือถ้าหากถงเหยียนลดความเร็วในการเดินหมากลง ทำให้การประลองครั้งนี้กลายเป็นการประลองระยะยาวหลายสิบวัน การแพ้ชนะของการประลองครั้งนี้ก็คงยังไม่รู้ผล
ดังนั้นเขาจึงรับรู้และเข้าใจถึงความเจ็บปวดในตอนสุดท้ายของถงเหยียน
“เจ้ายังคงเป็นที่หนึ่งในโลก”
จิ๋งจิ่วมองดูกระดานหมาก พลางกล่าวกับถงเหยียน
ในตอนเหยียบลงไปในแม่น้ำใต้ดินที่อยู่ในภูเขาลูกนั้น เขานึกว่าครั้งนี้ตนเองคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนยังคงมีอะไรบางอย่างที่แตกต่างออกไป ถึงแม้จะน้อยนิดอย่างมากก็ตาม
บางทีอาจจะเป็นเพราะได้สัมผัสกับดินแดนอะไรบางอย่างที่ครั้งที่แล้วไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน เลยเกิดความหวั่นไหวหรือ?
จิ๋งจิ่วไม่แน่ใจในจุดนี้ การจะคำนวณการเปลี่ยนแปลงที่เล็กละเอียดที่อยู่ในใจแห่งเต๋านั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินไป และเขาในตอนนี้ก็เหนื่อยอย่างมากแล้ว
เขาเดินไปริมหน้าต่าง มองดูสวนที่เงียบสงบในยามค่ำคืน ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด อารมณ์ของเขากลับรู้สึกผิดหวังห่อเหี่ยว
อารมณ์เช่นนี้ หรือพูดอีกอย่างคืออารมณ์ทั้งหมด ล้วนแต่เป็นเรื่องที่แทบจะไม่เคยปรากฏขึ้นมาในใจของเขา
ตรงเรือนที่อยู่ด้านหน้าพลันมีเสียงหัวเราะของเด็กและเสียงอุทานตกใจของผู้หญิงดังขึ้นมา จากนั้นก็เป็นเสียง ‘ชู่ว’ ที่ดูค่อนข้างตื่นเต้น ก่อนจะกลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง
พี่ใหญ่ของตระกูลจิ๋งคงจะกำลังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ แล้วก็เรื่องการเดิมพันอันนั้นให้ทุกคนฟังอยู่
หากจิ๋งจิ่วคิดอยากจะฟังพวกเขาคุยกันย่อมต้องฟังได้ แต่เขามิได้ทำเช่นนั้น อารมณ์ของเขาค่อยๆ สงบลง
……
……
หลังจากนั้นหลายวัน การประลองหมากล้อมของงานชุมนุมเหมยฮุ่ยดำเนินต่อไป
เป็นเพราะวันนั้นสภาพจิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง กู่หยวนหยวนที่สำนักเฟิงเตาฝากความหวังเอาไว้ฝืนทนเล่นได้เพียงสองกระดานก็ต้องพ่ายให้กับผู้บำเพ็ญพรตที่ไม่รู้จักชื่อผู้หนึ่งไป สภาพจิตใจของซั่งจิ้วโหลวเองก็เหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก สุดท้ายก็ไม่สามารถทนจนถึงที่สุดได้ เขาลงจากเขาฉีผานไปในวันที่ห้าของการประลอง
คนที่เป็นผู้ชนะการประลองหมากล้อมในท้ายที่สุดคือเชวี่ยเหนียงแห่งสำนักจิ้งจง
สมแล้วที่สาวน้อยที่มีกระผู้นั้นเป็นคนที่ถงเหยียนเคยให้คำชี้แนะด้วยตนเอง เห็นๆ อยู่ว่าได้รับผลกระทบจากหมากกระดานนั้นเช่นเดียวกัน แต่นางกลับยืนหยัดจนถึงท้ายที่สุดได้
ได้ยินว่านางคล้ายจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากการประลองหมากกระดานนั้น สภาวะของวิถีแห่งหมากมีความก้าวหน้าขึ้นกว่าเดิม
หมากกระดานนั้นย่อมต้องหมายถึงหมากที่จิ๋งจิ่วเล่นกับถงเหยียนกระดานนั้นในวันแรกของการประลองหมากล้อม
แทบจะไม่มีใครสนใจผลการประลองหมากล้อมของงานชุมนุมเหมยฮุ่ย ผู้คนต่างกำลังถกเถียงถึงหมากกระดานนั้นอยู่
โรงพิมพ์ในเมืองเจาเกอใช้ความเร็วที่เร็วที่สุดในการพิมพ์บันทึกการเดินหมากออกมานับหลายพันใบ ก่อนจะถูกแย่งไปจนหมด แล้วส่งไปยังตระกูลต่างๆ
กระดานที่จิ๋งจิ่วและถงเหยียนใช้เดินหมากและตัวหมากถูกส่งกลับเข้าไปในวังวันนั้น โดยหมากทุกตัวถูกวางเอาไว้เหมือนเดิม จากนั้นใช้วิชาในการผนึกให้มันคงรูปเอาไว้ ว่ากันว่าฝ่าบาททรงทอดพระเนตรมันทั้งคืน
แม้แต่คนที่เดินไปเดินมาและพ่อค้าหาบเร่ที่มิได้สนใจอะไรในหมากล้อมก็ยังพูดคุยถึงหมากกระดานนี้อย่างสนุกสนาน เพียงแต่รายละเอียดหลายๆ อย่างถูกพูดต่อกันจนเปลี่ยนไปจากเดิม ฟังดูแล้วมหัศจรรย์ยิ่งนัก
……
……
ถงเหยียนเดินทางออกจากเมืองเจาเกอ ทิ้งการประลองวิถีพรตซึ่งเป็นรายการที่สำคัญที่สุดไป หลังกลับมายังเขาอวิ๋นเมิ่งก็เริ่มเก็บตัวบำเพ็ญเพียร ว่ากันว่าสำนักจงโจวไม่ค่อยพอใจกับเรื่องนี้
ทุกคนต่างรู้ว่าคนที่สำนักจงโจวรู้สึกไม่พอใจมิใช่ถงเหยียน หากแต่เป็นจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงอย่างแท้จริง เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขาถูกพลิกขึ้นมาดูอีกครั้ง กลายเป็นประเด็นพูดคุยไปทั่วทุกตรอกซอกซอย
อย่างเช่นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสำนักชิงซานเหล่านั้น และเรื่องที่้เขาออกเดินทางกำจัดความชั่วนับหมื่นลี้ไปกับเจ้าล่าเยวี่ย และแน่นอนว่าย่อมต้องมีเรื่องที่เกิดขึ้นในงานชุมนุมซื่อเจี้ยนเหล่านั้นด้วย
หลายคนเพิ่งจะรู้ว่าที่แท้จิ๋งจิ่วคืออัจฉริยะทางวิถีกระบี่ที่สำนักชิงซานให้ความสำคัญ
ในฐานะที่เป็นศิษย์อันดับสามของยอดเขาเหลี่ยงว่าง ชื่อเสียงในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตของกู้หานย่อมมิใช่ธรรมดา
กั้วหนานซานนั้นเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักชิงซาน บรรลุสภาวะขั้นคเนจร ถูกมองว่าเป็นยอดฝีมือในบรรดาผู้บำเพ็ญพรตรุ่นเยาว์ที่มีโอกาสท้าสู้กับลั่วไหวหนานได้
จิ๋งจิ่วเพิ่งจะเข้ามาร่ำเรียนกระบี่ที่สำนักชิงซานได้ไม่กี่ปี แต่กลับสามารถเอาชนะกู้หาน แล้วยังหักกระบี่ของกั้วหนานซาน? ถึงแม้ในข่าวลือจะบอกว่านั่นไม่ใช่การประลองกันจริงๆ กั้วหนานซานถูกจิ๋งจิ่วจับกระบี่เอาไว้ได้ในตอนที่จะเก็บกระบี่กลับมาในตอนสุดท้าย แต่ศิษย์ขั้นมิประจักษ์คนหนึ่งเผชิญหน้ากับยอดฝีมือขั้นคเนจร ต่อให้มีโอกาส แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถคว้าจับกระบี่เอาไว้ได้?
เมื่อมาคิดถึงการประลองหมากกันน่าตกตะลึงในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยนั้นอีกครั้ง จิ๋งจิ่วก็ค่อยๆ มีภาพลักษณ์หนึ่งขึ้นมาในใจของทุกคน นั่นคือคุณชายรูปงามที่เชี่ยวชาญในการคำนวณ
แต่หลังจากนั้นก็มีข่าวใหม่เริ่มแพร่กระจายออกมา ว่ากันว่ามาจากในสำนักชิงซาน
จิ๋งจิ่วอาจจะมาจากวัดกั่วเฉิง
…………………………………………………………….