ในชิงซานมีคนสงสัยมาโดยตลอดว่าจิ๋งจิ่วมาจากวัดกั่วเฉิง
แรกสุดเลยคือหลังจากงานชุมนุมสืบทอดกระบี่ การขึ้นเขาเสินม่อของเขากับเจ้าล่าเยวี่ยได้ถูกใครบางคนมองเห็นเข้า ทำให้ยอดเขาซั่งเต๋อเกิดความสงสัย
แต่ตอนนั้นหลายคนต่างคิดว่านี่เป็นเรื่องตลกที่ไม่ค่อยตลกเรื่องหนึ่งของยอดเขาซั่งเต๋อที่ไม่ได้พูดคุยล้อเล่นมาเป็นเวลาหลายร้อยปีเท่านั้น
กระทั่งในงานชุมนุมซื่อเจี้ยน ขณะที่จิ๋งจิ่วเอาชนะกู้หาน ร่างกายของเขามีลำแสงกระบี่เปล่งประกายออกมา ทำให้เจ้าแห่งยอดเขาหลายๆ คนเกิดการคาดเดาที่น่าตกตะลึง
ครั้งนี้ มีคนเริ่มเชื่อการคาดเดาที่ว่าแล้วจริงๆ อย่างน้อยระหว่างจิ๋งจิ่วกับวัดกั่วเฉิงก็น่าจะมีความเกี่ยวข้องกัน
หลังการประลองหมากล้อมในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย การคาดเดาที่ว่าก็ยิ่งมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น แม้แต่หนานว่างก็ยังคิดเลยว่าจะให้ศิษย์พี่เจ้าสำนักแอบส่งจดหมายไปถามวัดกั่วเฉิงดีหรือไม่
เพราะพลังแห่งการคำนวณที่จิ๋งจิ่วแสดงออกมาให้เห็นบนกระดานหมากล้อมนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าอยู่ในระดับที่ยากจะจินตนาการได้
หลายคนกำลังคิดว่าหรือจะเป็นวิชาเชื่อมโยงสองจิตของวัดกั่วเฉิงที่ทำให้เขาสามารถคาดเดาการเดินของถงเหยียนได้ล่วงหน้า?
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหลังข่าวลือที่ว่านี้เริ่มแพร่กระจายไปในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร วัดกั่วเฉิงกลับมิได้ปฏิเสธ!
หากทั้งหมดนี้เป็นความจริง อย่างนั้นก็เท่ากับว่าหลังผ่านไปหลายปี ตอนนี้ผู้สืบทอดที่วัดกั่วเฉิงส่งมายังโลกปุถุชนได้กลายเป็นศิษย์สืบทอดของนักพรตจิ่งหยางไปแล้ว
เรื่องราวที่เป็นเหมือนดั่งเทพนิยายนี้ทำให้หลายๆ คนอดคาดเดาขึ้นมาไม่ได้ว่า —- จิ๋งจิ่วมีโอกาสกลายเป็นเทพดาบคนที่สองหรือไม่?
พวกเขาหารู้ไม่ว่าเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ในสำนักชิงซานต่างก็มีความคิดเช่นนี้มาแต่แรกแล้ว
ความสนใจที่จิ๋งจิ่วได้รับยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนยิ่งเฝ้ารอคอยการแสดงฝีมือของเขาในการประลองวิถีพรต
ถงเหยียนกลับไปเก็บตัวที่เขาอวิ๋นเมิ่ง แต่ยอดฝีมืออย่างลั่วไหวหนาน ไป๋เจ่า ถงหลูยังคงเข้าร่วมการประลองวิถีพรตอยู่ ทุกคนคาดหวังว่าจิ๋งจิ่วจะสร้างความประหลาดใจในการประลองวิถีพรตให้ได้ชม
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ หลังจากนั้นไม่นานความคาดหวังของผู้คนก็ต้องสลายไป
มีข่าวที่แน่ชัดถูกส่งออกมาจากเรือนซีซาน จิ๋งจิ่วจะไม่เข้าร่วมการประลองวิถีพรต
คนจากยอดเขาเสินม่อที่จะเข้าร่วมการประลองวิถีพรตคือเจ้าล่าเยวี่ย
……
……
หลังการประลองหมากล้อมจบลงไปได้สิบกว่าวัน เมืองเจาเกอก็เข้าสู่ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ฝนไม่ได้ตกลงมาแล้ว มีความรู้สึกคล้ายกำลังเข้าสู่หน้าร้อน
บนท้องฟ้าสีคราม เมฆสีขาวลอยล่องมาอยู่เหนือทะเลสาบ เมื่อรวมกับกิ่งหลิวริมทะเลสาบที่ลู่ลงมาและชายหลังคาที่ปรากฏให้เห็นตะคุ่มๆ แลดูงดงามยิ่งนัก
ตระกูลเจ้าเป็นขุนนางชั้นสูงภายในเมืองเจาเกอ ตำแหน่งเมื่อเทียบกับกั๋วกงแล้วเป็นรองเพียงระดับหนึ่ง แต่ละยุคแต่ละสมัยล้วนร่ำรวย แต่ในช่วงเวลายี่สิบปีมานี้ เนื่องเพราะคุณหนูในตระกูลคนนั้น ตระกูลเจ้าจึงพยายามทำตัวเรียบง่ายไม่ให้เป็นที่สะดุดตามาโดยตลอด เพียงแต่ตอนนี้ด้วยเหตุผลเดียวกัน ตระกูลเจ้าจึงไม่สามารถทำตัวเรียบง่ายต่อไปได้อีก ตอนช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ พวกเขาได้ใช้เงินทองเป็นจำนวนมาก ปรับปรุงซ่อมแซมเรือนหลังหนึ่งที่อยู่นอกเมืองให้งดงามราวกับดินแดนแห่งเซียนก็มิปาน
เพราะตอนฤดูใบไม้ผลิคุณหนูจะกลับมาเมืองเจาเกอ อีกทั้งในจดหมายยังเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่านางจะพาเพื่อนร่วมสำนักมาเป็นแขกด้วยคนหนึ่ง
คุณหนูนั้นเป็นใคร แล้วเพื่อนร่วมสำนักที่กระทั่งนางยังต้องเชิญมาเป็นแขกมีสถานะเป็นอย่างไร? หากไม่มีทิวทัศน์ที่งดงามราวกับดินแดนแห่งเซียน มันจะไปคู่ควรกับอาจารย์เซียนทั้งสองได้อย่างไร?
หัวเรือแหวกฟ้าสีครามและเมฆสีขาวที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำ ลอยล่องไปอย่างเชื่องช้าและไร้ทิศทาง เพราะไม่มีคนพาย
“ที่หนึ่งในการประลองเขียนพู่กันคือไป๋เจ่า”
เจ้าล่าเยวี่ยนั่งอยู่ที่หัวเรือ สายลมอ่อนโยนพัดผ่าน เส้นผมพลิ้วไหว
จิ๋งจิ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่ามิใช่เรือนอี้เหมาหรือนี่?
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวต่อว่า “หลายคนต่างคิดไม่ถึงว่านางจะทิ้งการประลองวาดภาพที่ตัวเองถนัดที่สุด แล้วยังสามารถเอาชนะบัณฑิตแห่งเรือนอี้เหมาเหล่านั้นได้ด้วย”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิดก่อนกล่าวว่า “ดูเหมือนนางจะเหมือนกับถงเหยียน ต่างก็เป็นคนที่ฉลาด”
เจ้าล่าเยวี่ยไม่เข้าใจความหมายของเขา
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตมีคำกล่าวไว้ว่า หากจะอาศัยปัจจัยภายนอกมาช่วยในการบำเพ็ญพรต การเขียนพู่กันมิอาจสู้วาดภาพได้ เพราะภาพวาดต่างหากที่เป็นรูปร่างดั้งเดิม ส่วนการเขียนพู่กันนั้นจำเป็นต้องให้พวกเรานิยามความหมายไปบนรูปร่าง แต่ไป๋เจ่าเลือกทิ้งการวาดภาพมาเลือกเขียนพู่กัน นางน่าจะคิดออกแล้วว่าความหมายที่พวกเรานิยามไปบนรูปร่างต่างหากคือสิ่งที่การบำเพ็ญพรตจำเป็นต้องตามหา”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “น่าจะเป็นเพราะหมากที่เจ้าเล่นกับถงเหยียนวันนั้นที่ทำให้นางคิดได้”
จิ๋งจิ่วกล่าว “แล้วเจ้าล่ะ?”
คำถามนี้มาอย่างกะทันหัน แต่เจ้าล่าเยวี่ยรู้ว่านี่เป็นเพราะเขารู้ว่าตนเองกำลังคิดอะไรอยู่
นาง ไป๋เจ่าและกั้วตงคือคนสามคนที่โลกแห่งการบำเพ็ญพรต ไปจนถึงทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนจะนำมาเปรียบเทียบกัน
งานชุมนุมเหมยฮุ่ยในปีนี้ กั้วตงได้ที่หนึ่งในการประลองพิณ ไป๋เจ่าได้ที่หนึ่งในการประลองพู่กันอย่างเหนือความคาดหมาย อย่างนั้นนางล่ะ?
เจ้าล่าเยวี่ยจะลงประลองวิถีพรต ข่าวนี้ถูกเจวี่ยนเหลียนเหรินขายออกมานานแล้ว หลายวันมานี้ข่าวนี้ได้กลายเป็นความลับที่ทุกคนต่างรู้กันหมด
นางมิได้ตอบคำถามนี้ หากแต่คิดถึงคำถามที่เจวี่ยนเหลียนเหรินถูกถามมากที่สุกในช่วงหลายวันมานี้ จากนั้นถามว่า “เจ้าคงมิได้เป็นพระจริงๆ ใช่ไหม?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้ารู้ว่าข้าไม่ใช่”
เจ้าล่าเยวี่ยถาม “เช่นนั้นเหตุใดสมณะสูงศักดิ์ของวัดกั่วเฉิงถึงมิได้ออกมาปฏิเสธข่าวลือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เมื่อก่อนก็เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น เพราะพระเองก็มีแผนอยู่ในใจเช่นกัน”
เจ้าล่าเยวี่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “แบบนี้มันจะมีประโยชน์อะไรต่อพวกเขา?”
“แบบนี้จะสามารถช่วยปกปิดและคุ้มครองผู้สืบทอดที่ถูกส่งมายังโลกปุถุชนที่แท้จริงคนนั้นได้ อีกทั้งยิ่งข้าเดินไปได้ไกล มันก็ยิ่งมีประโยชน์ต่อชื่อเสียงของวัดกั่วเฉิง”
จิ๋งจิ่วมิได้พูดถึงประเด็นนี้ต่อ หากแต่ถามไปตรงๆ ว่า “ในการประลองวิถีพรต เจ้าเตรียมจะสู้อย่างไร?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ก็แค่สู้ไป หรือเจ้ามีประสบการณ์อะไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าไม่ถนัดเรื่องเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้นข้าเชื่อว่าเจ้าน่าจะแข็งแกร่งกว่าข้า”
……
……
จิ๋งจิ่วจากไปโดนไม่กินข้าวเย็น
เจ้าล่าเยวี่ยไม่แปลกใจ เดิมเขาก็ไม่ค่อยได้กินอะไรอยู่แล้ว
บนการเดินทางนับหมื่นลี้มีหม้อไฟจำนวนมากมายขนาดนั้น เขายังแค่ใช้น้ำแกงใสต้มผักแค่ไม่กี่ใบมากิน ยิ่งไปกว่านั้นในหลายๆ ครั้งยังใช้แค่ดูด้วย
สิ่งที่นางแปลกใจก็คือจิ๋งจิ่วบอกว่าต้องกลับไปทำธุระ — คนที่เกียจคร้านอย่างเขาจะมีธุระอะไรได้?
ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่ได้บอกนางด้วยว่าเป็นธุระอะไร
แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เจ้าล่าเยวี่ยเองก็มีธุระต้องทำ ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่อยากให้เขารู้ด้วยเช่นกัน
“เชิญเข้ามา”
นางหันหน้าไปทางศาลาที่อยู่กลางทะเลสาบพลางกล่าว
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง สตรีในชุดสีขาวนางหนึ่งปรากฏกายขึ้นในศาลากลางทะเลสาบ ก่อนทำการคารวะนางพลางกล่าว “มั่วซีแห่งสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย คารวะท่านเจ้ายอดเขา”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูหญิงสาวที่เคยเจอหน้ากันมาแล้วครั้งหนึ่งคนนี้ กล่าวว่า “มีธุระอะไร?”
มั่วซีก้มหน้าเล็กน้อย มองเห็นสีหน้าไม่ชัด นางกล่าวเสียงเบาๆ ว่า” ศิษย์พี่กั้วตงนัดพบท่านที่หุบเขาหมิงชุ่ยหลังจากนี้อีกสามวัน”
เจ้าล่าเยวี่ยเลิกคิ้ว
เห็นได้ชัดว่ากั้วตงอยากเจอนางเป็นการส่วนตัว
สำหรับเรื่องนี้ นางมิแปลกใจอะไร เพราะตอนอยู่บนลานเหมันต์ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยและเขาฉีผาน นางล้วนแต่รับรู้ได้ถึงสายตาของอีกฝ่ายที่มองมา
อารมณ์ในสายตาเหล่านั้นน่าสนใจเป็นอย่างมาก มีทั้งเป็นห่วง สงสัยใคร่รู้ ตรวจสอบ แต่ไม่มีความเป็นศัตรู
“好。”
“ได้”
เจ้าล่าเยวี่ยรับปากอีกฝ่าย
นางไม่อยากให้จิ๋งจิ่วรู้เรื่องนี้
เพราะกั้วตงเป็นศิษย์ของเหลียนซานเยวี่ย
……
……
ในเหลาสุราเล็กๆ ที่ไม่เป็นที่สังเกตแห่งหนึ่งในเมืองเจาเกอ
บรรดาแขกที่มาดื่มสุรายังคงพูดคุยถึงการประลองหมากล้อมบนเขาฉีผานเมื่อหลายวันก่อน
ซือเฟิงเฉินจิบสุราเหลืองที่เปรี้ยวเล็กน้อย กล่าวว่า “หลังจากนี้อีกสามวันจะเป็นวันตายของเจ้าล่าเยวี่ย”
ชายชรารูปร่างผอมแห้งผู้หนึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามเขา คีบเมล็ดสนเม็ดหนึ่งส่งเข้าไปในปากด้วยสีหน้าเฉยชา มิได้มีปฏิกิริยาใดๆ
ชายชราผู้นี้มีนามว่าเหลียงซิงเฉิง เป็นเจ้าหน้าที่ธรรมดาผู้หนึ่งในเมืองเจาเกอที่มิได้มีอะไรสะดุดตา น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขาคือพี่น้องห่างๆ ของเหลียงไท่ฟู่ อีกทั้งความสัมพันธ์ยังค่อนข้างใกล้ชิดด้วย
ส่วนเหลียงไท่ฟู่นั้นคืออาจารย์ขององค์รัชทายาท
……………………………………………