เมล็ดสนเม็ดเล็กๆ ถูกขบเคี้ยวจนแตกละเอียด ปริมาณก็มิได้มากมายเท่าไร แต่กลับมีรสชาติที่หอมหวน สามารถดื่มสุราแกล้มตามไปได้จอกหนึ่ง
เหลียงซิงเฉิงยกจอกสุราขึ้นมา ก่อนจะกระดกจนหมดจอกอย่างออกรสออกชาติ จากนั้นเหลือบมองซือเฟิงเฉินพลางกล่าวว่า “ศิษย์ของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยเจ้าก็ใช้ได้อย่างนั้นหรือ?”
ซือเฟิงเฉินมองดูสีหน้าที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของชายชรา ก่อนจะยิ้มขึ้นมาพลางกล่าวว่า “ข้าไหนเลยจะมีปัญญาทำเช่นนั้น คนของทางนั้นต่างหากที่เป็นคนใช้”
เหลียงซิงเฉิงขมวดคิ้วอย่างรังเกียจ ไม่คิดอยากได้ยินชื่อนั้น ต่อให้ซือเฟิงเฉินจะใช้คำว่าทางนั้นแทนก็ตาม
ซือเฟิงเฉินคล้ายมิได้สังเกตเห็นถึงความรู้สึกรังเกียจของอีกฝ่าย เขายิ้มพลางกล่าวต่อว่า “ขอเพียงลูกค้ามีความต้องการ คนทางนั้นก็สามารถทำให้เป็นจริงได้”
เหลียงซิงเฉิงวางจอกสุราลง มองดูเขาพลางกล่าว “เช่นนั้นความต้องการของเจ้าคือ?”
ซือเฟิงเฉินกล่าวสีหน้าจริงจัง “เพียงต้องการแบ่งเบาภาระให้องค์ชายเท่านั้น”
ภายในเหลาสุราโหวกเหวกวุ่นวาย คนที่ดื่มสุราจนเมามายต่างถกเถียงกันไม่หยุด พูดคุยถึงว่าหมากตานั้นเป็นอย่างไร ตานี้เป็นอย่างไร กลบเสียงของเขาเอาไว้จนหมด
เหลียงซิงเฉิงย่อมไม่เชื่อคำพูดของเขา ตัวซือเฟิงเฉินเองก็ไม่มีทางเชื่อ เพียงแต่พวกเขาต่างทราบดี ในฐานะที่เป็นขุนนาง คำพูดบางคำก็จำเป็นต้องพูดออกไป
เขาจ้องมองดวงตาของซือเฟิงเฉินพลางกล่าวถามว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าเรื่องนี้จะสำเร็จ?”
ซือเฟิงเฉินยิ้มพลางกล่าวว่า “เมื่อเจ้าล่าเยวี่ยตาย ก็ป้ายความผิดไปที่ตัวพระสนม ต่อให้นางจะเป็นที่โปรดปรานแค่ไหน ก็มีแต่ต้องตายสถานเดียว”
เหลียงซิงเฉิงยกจอกสุราขึ้นมา ก่อนจะวางลงไปอีกครั้งแล้วกล่าวว่า “เจ้ามั่นใจขนาดนี้จริงๆ หรือ? พระสนมมิใช่คนธรรมดานะ”
“หากกล่าวอย่างไม่เคารพล่ะก็ ต่อให้นางเป็นฮองเฮาแล้วยังไง? ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็ต้องมีคำอธิบายให้กับทางสำนักชิงซาน”
ซือเฟิงเฉินรู้สึกว่าที่ปรึกษาผู้นี้โง่เง่าคล้ายองค์รัชทาบาท เขากดเสียงให้เบาลง แต่น้ำเสียงกลับหนักแน่นขึ้น
“วันนี้ฝ่าบาทเสด็จไปที่เขาหลีซาน ท่านหนิวและท่านจินต่างมิได้อยู่ข้างกาย แต่พระองค์กลับพาพระสนมไป”
เหลียงซิงเฉิงได้ยินเช่นนี้จึงรู้สึกตกใจอย่างมาก เขาหลีซานอยู่นอกเมืองเจาเกอ แต่ฝ่าบาทกลับไม่พาราชองครักษ์ไปด้วยแม้แต่คนเดียว เช่นนั้นพระองค์เสด็จไปทำอะไรกันแน่? เหตุใดพระองค์กลับพาพระสนมไป?”
เสียงโหวกเหวกโวยวายในเหลาสุรายังคงดำเนินต่อไป เหล้าขุ่นๆ ที่ส่งกลิ่นเปรี้ยวกลับไม่มีรสชาติแล้ว บนใบหน้าที่ซูบผอมของเขาเผยให้เห็นสีหน้าดุร้าย ก่อนกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ทำให้ดี”
……
……
เหลียงไท่ฟู่และเหลียงซิงเฉิงที่เป็นญาติห่างๆ ของตนมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกัน เพียงแต่มีรูปร่างที่สูงผอมมากกว่า ดูไม่เหมือนขุนนาง หากแต่คล้ายอาจารย์เซียนที่บำเพ็ญพรตจนสำเร็จมากกว่า
เขามองดูชายหนุ่มที่ยืนอยู่ริมรั้วผู้นั้นอย่างอดทน ถึงแม้นเขาจะเป็นอาจารย์ของอีกฝ่าย แต่ศักดิ์ความสูงต่ำกลับมิอาจนำมาใช้ได้
“ข้ารู้สึกว่ามันเสี่ยงเกินไป”
ชายหนุ่มโยนอาหารปลาที่อยู่ในมือลงไปในบ่อน้ำที่อยู่ด้านล่างรั้ว ปลาจำนวนนับไม่ถ้วนแห่กันเข้ามา ผิวน้ำแตกกระเซ็น
เหลียงไท่ฟู่ย่อมต้องรู้ว่าแผนการนี้ไม่ปลอดภัย จึงกล่าวเสียงแหบแห้งว่า “แต่ข่าวนั้นได้รับการยืนยันแล้วพ่ะย่ะค่ะ ยาต้วนหลี…ได้หยุดมานานหลายวันแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ชายหนุ่มหมุนตัวกลับมา เขาก็คือชายหนุ่มชุดแพรที่หลายวันก่อนได้เจอกับจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยในสวนดอกเหมยเก่า
เพียงแต่เมื่อเทียบกับเมื่อหลายวันก่อน อารมณ์เฉยชาในดวงตาเขายิ่งดูเย็นยะเยือก
เขาคือพระโอรสพระองค์เดียวของฝ่าบาทเสินหวง องค์ชายจิ่งซิน
ขุนนางจำนวนมาก ปราชาชน สำนักบำเพ็ญพรตต่างมองว่าเขาจะกลายเป็นเสินหวงองค์ต่อไป บางครั้งถึงขนาดขานเรียกอีกฝ่ายอย่างลับๆ ว่าองค์รัชทายาท
ตัวจิ่งซินเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน จนกระทั่งหลายวันมานี้ทราบข่าวนั้น เขาถึงได้พบว่าที่แท้ตำแหน่งรัชทายาทของตัวเองนั้นมิได้มั่นคง
เพราะเสด็จพ่อ…คล้ายเตรียมจะมีลูกอีกคนหนึ่ง
เขามองเหลียงไท่ฟู่พลางกล่าวเสียงเย็นยะเยือกว่า “ต่อให้พระสนมหูตาย เสด็จพ่อก็สามารถมีลูกใหม่ได้เช่นกัน”
เหลียงไท่ฟู่กล่าว “แต่บางทีอาจเป็นเพราะพระสนมหู ฝ่าบาทเลยทรงคิดอยากจะมีพระโอรสอีกพระองค์หนึ่งนะพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งซินนิ่งเงียบไป ความจริงแล้วเขารู้ว่าปัญหานี้ของตน ถึงกังวลไปก็ไม่มีความหมาย เพราะไม่ว่าจะเป็นลูกที่พระสนมคนไหนให้กำเนิดก็ล้วนแต่เป็นภัยคุกคามต่อเขา
เพราะนี่แสดงถึงท่าทีของเสด็จพ่อ
ความหมายของไท่ฟู่เองก็ชัดเจนอย่างมาก เมื่ออยู่ต่อหน้าตำแหน่งฮ่องเต้ ความเสี่ยงใดๆ ล้วนแต่คุ้มค่า
“เช่นนั้นข้าล่ะ? ข้าต้องทำยังไงถึงจะทำให้เรื่องนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับข้า? ข้าต้องการมั่นใจว่าทั้งหนิวจินและชิงซานจะสืบไม่เจออะไร”
“ง่ายมากพ่ะย่ะค่ะ เพราะเดิมเรื่องนี้ก็มิได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระองค์อยู่แล้ว”
“เจ้าเชื่อคนที่ชื่อซือเฟิงเฉิน?”
“พ่ะย่ะค่ะ เพราะกระหม่อมรู้ว่าความเคียดแค้นของเขามาจากไหน”
เหลียงไท่ฟู่กล่าวทอดถอนใจ “ความเคียดแค้นนั้นเป็นพลังที่น่ากลัว แต่มันช่วยให้เขารักษาความลับทุกอย่างได้ ถึงแม้นจะต้องเผชิญหน้ากับสำนักชิงซานก็ตาม”
……
……
ในเมืองเจาเกอมีเหลาสุราเล็กๆ อยู่มากมาย
ซือเฟิงเฉินออกมาจากเหลาสุราเล็กๆ แห่งนั้น เดินวนไปวนมาอยู่ในตรอกซอกซอยที่เป็นเหมือนไยแมงมุมอยู่ครึ่งชั่วยาม ก่อนจะเดินเข้าไปในเหลาสุราเล็กๆ อีกแห่งหนึ่ง
เหล่าแขกที่กำลังเมามายในเหลาสุรายังคงพูดคุยถึงเรื่องงานชุมนุมเหมยฮุ่ย พูดให้ถูกคือยังคงพูดคุยถึงหมากกระดานนั้น
ซือเฟิงเฉินขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ เดินเข้าไปในเหลาสุรา พยักหน้าทักทายเถ้าแก่เหลาสุรา ก่อนจะเดินตามเขาเข้าไปในห้องเก็บของที่เงียบเชียบ
“เรื่องที่คุยกันครั้งที่แล้ว เป็นอย่างไร?”
เขามองดูเจ้าของร้านที่มีศีรษะกลม ใบหูใหญ่ผู้นั้นพลางกล่าว สีหน้าดูเรียบเฉย แต่ภายในใจกลับรู้สึกแปลกๆ
ในฐานะที่เป็นรองผู้ตรวจการณ์ของกรมชิงเทียน เมื่อได้เจอผู้ดูแลของปู้เหล่าหลิน เรื่องที่เขาควรทำมากที่สุดก็คือจับกุมอีกฝ่าย มิใช่พูดคุย
เถ้าแก่เหลาสุราผู้นั้นยิ้มๆ มองดูเขา มิได้กล่าวกระไร
ความอดทนในช่วงนี้ของซือเฟิงเฉินมิค่อยดีเท่าไร เขากล่าวเสียงต่ำว่า “ข้าสามารถหาเจ้าเจอครั้งหนึ่ง ข้าก็ย่อมสามารถทำให้เจ้าออกไปจากเมืองเจาเกอไม่ได้อีก”
“พวกข้าซึ่งทำการค้า เดิมก็ต้องคอยติดต่อกับคนอยู่แล้ว การที่กรมชิงเทียนหาข้าเจอก็มิใช่เรื่องแปลกอะไร ก็เหมือนกับที่ใครๆ ต่างก็รู้ว่าโรงหมอที่อยู่ริมทะเลสาบไป๋หม่าแห่งนั้นคือสถานที่ใด”
เถ้าแก่เหลาสุรายังคงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ยิ่งไปกว่านั้นพวกข้าก็ได้พิสูจน์ความจริงใจและความสามารถของตัวเองแล้ว ปัญหาคือท่านยังมิเคยบอกเลยว่ายินดีที่จะจ่ายอะไร”
นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การจ้างนักฆ่ามาฆ่าคนล้วนแต่ต้องจ่ายเงิน สิ่งที่ปู้เหล่าหลินทำก็คือธุรกิจนี้ ดังนั้นซือเฟิงเฉินก็ย่อมไม่มีข้อยกเว้น
ซือเฟิงเฉินสีหน้าผ่อนคลาย กล่าวว่า “คิดไม่ถึงพวกเจ้าจะสามารถใช้งานศิษย์ของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยได้ เพียงแต่ทำไมพวกเจ้าถึงเชื่อว่าเจ้าล่าเยวี่ยจะไปที่นั่นตัวคนเดียว?”
ชายอ้วนผู้เป็นเถ้าแก่ของเหลาสุราส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “เรื่องนี้มิสะดวกบอก พวกเรากลับมาพูดเรื่องการแลกเปลี่ยนนี้ดีกว่า เจ้าสามารถจ่ายอะไรให้พวกข้าได้?”
ซือเฟิงเฉินกล่าว “ข้าติดต่อกับพวกเจ้า นี่เท่ากับเป็นการเอาตัวข้าไปอยู่ในกำมือพวกเจ้าแล้ว ส่วนพวกเจ้าะหาประโยชน์จากข้าได้เท่าไร นั่นก็ต้องดูว่าต่อไปพวกเจ้าจะใช้งานข้าอย่างไร”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเถ้าแก่อ้วนยิ่งกว้างขึ้น น้ำเสียงเยาะเย้ยที่อยู่ในคำพูดฟังดูชัดเจนอย่างมาก “ขุนนางที่ถูกเขี่ยทิ้งคนหนึ่งของกรมชิงเทียนจะเอาอะไรไปเทียบกับเจ้าแห่งยอดเขาของชิงซาน? นอกเสียจากเจ้าจะเป็นกั๋วกงที่กุมอำนาจอย่างแท้จริง หรือไม่ก็รองผู้บัญชาการของกองทัพเจิ้นเป่ย”
ซือเฟิงเฉินมิได้โกรธ หากแต่มองดูเขา คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มพลางกล่าวว่า “หากข้าบอกว่าข้ามาจัดการเรื่องนี้แทนองค์รัชทายาทล่ะ?”
ชายอ้วนผู้เป็นเถ้าแก่เหลาสุรามิได้มีสีหน้าแปลกใจ ดูเหมือนเขาจะคาดเดาเรื่องนี้ได้แต่แรกแล้ว
“น่าสนใจ น่าสนใจ เพียงแต่เจ้าขายนายตัวเองเช่นนี้ หรือไม่กลัวพระองค์ทรงรู้แล้วจะมาฆ่าเจ้าที่หลัง?
“รัชทายาทเชื่อใจข้า ข้าเองก็เชื่อว่าตนเองจะไม่มีทางเปิดปาก ถึงแม้ต้องเผชิญกับความตายหรือวิชาค้นจิตก็ตาม แต่ถ้าเป็นไปได้ ข้ายังคงไม่อยากจะเผชิญหน้ากับความโกรธเกรี้ยวของชิงซานแบบตรงๆ”
ซือเฟิงเฉินจ้องมองดวงตาที่ดูคล้ายเส้นตรงสองเส้นของเถ้าแก่เหลาสุรา กล่าวว่า “ข้าสามารถเชื่อพวกเจ้าได้ใช่ไหม?”
ชายอ้วนเถ้าแก่เหลาสุรารู้สึกว่าขุนนางผู้นี้น่าสนใจ จึงยิ้มพลางกล่าวว่า “แน่นอน ชื่อเสียงของปู้เหล่าหลินมีค่ามาก ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าไม่ได้มีค่าที่จะให้ขายเลย”
หากปู้เหล่าหลินไม่ขายซือเฟิงเฉิน เช่นนั้นซือเฟิงเฉินย่อมไม่มีโอกาสได้ขายองค์รัชทายาท แล้วเหตุใดองค์รัชทายาทต้องฆ่าเขาล่ะ?”
เมื่อดูผิวเผินแล้วเหมือนจุดสำคัญของบทสนทนาจะอยู่ตรงนี้ แต่ซือเฟิงเฉินและชายอ้วนต่างรู้ว่ามิได้เป็นเช่นนั้น
เถ้าแก่อ้วนกล่าวอย่างชัดเจน ซือเฟิงเฉินมิได้มีค่าอะไรให้เขาขาย แต่องค์รัชทายาทนั้นมี
หลังจบเรื่องนี้แล้ว ปู้เหล่าหลินจะต้องได้รับประโยชน์จากองค์รัชทายาทเป็นอย่างมากแน่นอน นี่คือเหตุผลที่พวกเขายินดีมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้
หมากเพียงตัวเดียวของการแลกเปลี่ยนนี้ก็คือองค์รัชทายาท
……
……
หลังออกมาจากเหลาสุรา กลับมายังบ้านพักที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมือง ซือเฟิงเฉินยืนอยู่ในบ้านที่ค่อนข้างเก่าและวังเวง นิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน
เขาเป็นขุนนางที่สะอาดสุจริต กระทำการใดล้วนเข้มงวดตรงไปตรงหน้า พวกสำนักเล็กๆ ที่เดิมควรจะเอาอกเอาใจเขาก็ขี้เกียจมาสนใจเขาอีกหลังจากที่ถูกเขาตอกกลับไปสองสามครั้ง
ในบ้านแบบนี้ย่อมไม่มีคนรับใช้อะไร แล้วก็ยิ่งไม่มีทางที่จะมีหญิงสาวมานั่งร้องเพลงขับกล่อม
แล้วก็ไม่มีครอบครัว
เขาเคยชินกับความวังเวงเช่นนี้มานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นที่มณฑลหนานเหอหรือที่เมืองเจาเกอ
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อคิดถึงว่าหลังจากนี้อีกสามวันเจ้าล่าเยวี่ยจะต้องตาย เขาพลันรู้สึกเสียใจขึ้นมา
ตายกันหมดแล้ว
ตายซะก็ดี
ไม่มีอะไรกวนใจ
………………………………………………………….