บทที่ 223: การจู่โจมภายใต้แสงจันทร์สีเงิน

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 223: การจู่โจมภายใต้แสงจันทร์สีเงิน

บนรถม้าโรเอลกำลังนอนอยู่บนเตียงนุ่ม ๆ พลางจ้องมองท้องฟ้าราวกับชายชราผู้โดดเดี่ยว

ชาร์ล็อตได้ดัดแปลงรถม้าสุดหรูให้กับโรเอลเป็นพิเศษสำหรับการเดินทางครั้งนี้ แม้การออกแบบภายนอกของรถม้านั้นจะดูเรียบง่ายเพราะพวกเขาควรจะดูเป็นหน่วยพ่อค้า แต่ภายในนั้นกลับแตกต่างออกไปจากภายนอกโดยสิ้นเชิง เพดานนั้นได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นแบบ ‘ตามรสนิยมของชาวโรซ่า’ ทำให้เขาสามารถควบคุมความทึบหรือความบางของมันได้เหมือนกับหน้าต่างอิเล็กโทรโครมิก ทำให้โรเอลสามารถแหงนมองท้องฟ้ายามค่ำคืนได้อย่างชัดเจน แม้จะอยู่ภายในรถม้า

ที่ชาร์ล็อตออกแบบให้มันเป็นแบบนี้นั้นมีความหมายพิเศษซ่อนอยู่ เหตุผลแรกก็คือเพื่อบรรเทาความเบื่อหน่ายของโรเอล แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เธอหวังว่าท้องฟ้ายามค่ำคืนอันสวยงาม จะช่วยกระตุ้นความทรงจำในช่วงเวลาที่พวกเขาใช้ร่วมกันบนเทือกเขาโวรุน และกระตุ้นความรู้สึกของเขาที่มีต่อเธอ

เด็กสาวโล่งใจมากที่ได้เห็นโรเอลไล่อลิเซียออกไป แม้ชาร์ล็อตจะรู้ดีว่าไม่มีอะไรที่เธอจะทำได้หากโรเอลเริ่มคิดถึงน้องสาวตัวน้อยของเขาก็ตาม มันเป็นเรื่องปกติที่จิตใจของผู้คนจะฟุ้งซ่านเมื่อเดินทางกลางดึกด้วยบรรยากาศอันเงียบสงบ ดังนั้นเธอจึงหวังว่าหน้าต่างและทิวทัศน์บนท้องฟ้าจะช่วยทำให้ความคิดของเขาเอนเอียงไปทางอื่นบ้าง

ทว่าในความเป็นจริงแล้วหน้าต่างดังกล่าวไม่ได้มีผลอะไรมากนัก

แม้ว่าช่วงเวลาของโรเอลในเมืองโรซ่าจะค่อนข้างวุ่นวาย แต่เด็กชายก็สนุกกับช่วงเวลาที่เขาพักอยู่ที่นั่น เขาได้พักในที่พักดี ๆ ได้ทานอาหารอร่อย ๆ อีกทั้งยังได้เป็นนายแบบให้กับเสื้อผ้าใหม่ของชาร์ล็อต นอกจากนี้ เขาได้พบกับนอร่าและคาร์เตอร์ที่ไม่ได้เจอมานาน แม้ว่าโดยรวมแล้วบรรยากาศของคนรอบตัวเขาจะไม่ค่อยปรองดองกันเท่าไหร่ แต่โรเอลก็ยังรู้สึกดีกับมัน

การพบกันอีกครั้งถือเป็นเรื่องน่ายินดี ส่วนการจากลาเองก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้า ความรู้สึกอันว่างเปล่าเริ่มเข้ามาเยือนโรเอลมากขึ้น เมื่อความพลุกพล่านของเมืองค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยถิ่นทุรกันดารอันเงียบสงบ

นี่ก็ผ่านมาเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้วนับจากที่โรเอลเดินทางออกมาจากเมืองโรซ่า และตอนนี้ก็ใกล้จะเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว เหล่าพ่อค้าที่เดินทางมาด้วยจึงแนะนำให้พวกเขาหยุดพักผ่อนกันก่อน เนื่องจากมันอันตรายเกินไปที่จะเดินทางในตอนกลางคืนที่สุ่มเสี่ยงต่อการถูกปล้นสะดมของโจร และการโจมตีของสัตว์อสูร

แน่นอนว่าทั้งพวกพ่อค้าและโรเอลต่างก็ไม่ต้องการพบปัญหาใด ๆ ดังนั้นเขาจึงสั่งให้ขบวนรถหยุดลงที่ถนนสายหลัก เด็กชายมองไปที่ร่างในชุดเสื้อคลุมที่ยืนอยู่ด้านนอกรถม้าพร้อมออกคำสั่ง

“ซินเทีย เธอไม่จำเป็นต้องคอยระวังภัยให้ฉันแล้ว คืนนี้ไม่น่าจะมีอันตรายอะไร”

“แต่ว่า นายน้อย…”

“ทุกอย่างปกติดี ถนนของโรซ่าขึ้นชื่อในเรื่องความปลอดภัย อีกอย่างพวกเราก็ยังไม่ได้ออกห่างจากเมืองโรซ่าเท่าไหร่ นอกจากนี้เธอก็น่าจะรู้ดีว่าฉันไม่ใช่พวกพ่อค้าที่จะปกป้องตัวเองไม่ได้”

“เข้าใจแล้ว อภัยให้ข้าด้วย ท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์”

ซินเทียพยักหน้าตอบสนองต่อคำพูดของโรเอลอย่างเอาจริงเอาจัง

เมื่อกลุ่มทหารรับจ้างกำแพงเหล็กรู้ว่าโรเอลอยู่ภายใต้การคุ้มครองโดยตรงของเทพธิดาแห่งผืนปฐพีและเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาก็สงสัยเคลือบแคลงใจเกี่ยวกับความถูกต้องของเรื่องนี้ ทว่าความสงสัยของพวกเขาก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว หลังจากซินเทียนำระดับผู้บริหารของกลุ่มทหารรับจ้างสิบคนมาพบกับเด็กชาย

โรเอลไม่ได้บอกให้เปตรามอบพรให้กับพวกเขา เพราะเด็กชายตั้งใจให้พรนั้นเป็นรางวัลแก่พวกเขา ไม่ใช่เป็นสิทธิ์พิเศษ กรณีนี้โรเอลจึงเลือกที่จะแสดงความสามารถของตนให้พวกเขาได้เห็นแทน ที่ลานกว้างภายในสวนร้อยปักษา เขานำไม้เท้าอสรพิษเก้าหัวออกมา สำแดงพลังของเปตรา เพื่อแสดงร่างจำแลงของเธอออกมาสู่ความเป็นจริง ก่อตัวเป็นอสรพิษยักษ์ขนาดมหึมาที่มีความยาวหลายสิบเมตร

ต่อหน้าร่างอวตารสีทองของเทพเจ้า เหล่าทหารรับจ้างต่างคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว ก้มหน้าก้มตา ไม่กล้าแม้แต่จะเพ่งมองตรง ๆ จากข้อมูลของเปตรา นี่ดูเหมือนจะเป็นปฏิกิริยาปกติที่เกิดจากแรงกดดันที่มาจากคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิด มีเพียงซินเทียที่มีระดับแก่นแท้สูงสุดในหน่วยเท่านั้นที่จะสามารถต้านทานมันได้

“เดี๋ยวก่อน แล้วฉันล่ะ”

“จะให้ข้าปฏิบัติกับเจ้าแบบเดียวกันได้อย่างไร?”

เสียงของเปตราเต็มไปด้วยอารมณ์ความรักของผู้เป็นแม่ ทำให้ใบหน้าของโรเอลแดงก่ำด้วยความเขินอาย ตามหลักแล้ว โรเอลเป็นเพียงบุตรศักดิ์สิทธิ์แค่ในนาม แต่ดูเหมือนว่าเปตรานั้นตั้งใจที่จะเป็นแม่ทูนหัวของเขาแล้วจริง ๆ

หลังจากออกคำสั่งสั้น ๆ ร่างจำแลงของเปตราก็หายไปในที่สุด ทำให้เหล่าทหารรับจ้างเปลี่ยนเป้าหมายไปทำความเคารพนับถือโรเอลในทันที เด็กชายรู้สึกอึดอัดเมื่อถูกคนอื่นบูชาแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงรีบบอกซินเทียให้หยุดพวกเขา

สมาชิกระดับสูงเหล่านี้ ยกเว้นซินเทียที่มีความสามารถเกินวัยที่ควรจะเป็น ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุในวัยเจ็ดสิบแปดสิบ สำหรับคนที่มีความทรงจำจากอดีตเกี่ยวกับโลกสมัยใหม่ โรเอลจึงเครียดหนักที่ต้องทำให้ผู้เฒ่าคุกเข่าต่อหน้าเขาเพื่อโค้งคำนับ

ต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ ๆ กว่าทุกคนจะสงบลง… แต่ทันทีที่พวกเขาได้ยินว่าโรเอลตั้งใจจะพาพวกเขากลับไปที่เขตการปกครองแอสคาร์ด พวกเขาก็น้ำตาไหลด้วยความปลาบปลื้มกันอีกครั้ง ซึ่งมันก็ไม่แปลกเท่าไหร่ที่พวกเขาจะรู้สึกซาบซึ้งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องจากผู้นับถือลัทธินอกรีตส่วนใหญ่มักจะต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนไปทั่วทั้งทวีป ปราศจากสถานที่ที่พวกเขาสามารถเรียกว่าบ้าน

หากไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดียวกันกับพวกเขาแล้วล่ะก็ คงไม่มีทางที่จะเข้าใจความรู้สึกนี้ได้เลยว่าพวกเขาต้องการหาสถานที่ที่จะปักหลักมากแค่ไหน คำพูดของโรเอลจึงมีความหมายมากสำหรับพวกเขา

เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายก้มคุกเข่าแสดงความเคารพ จากนั้นก็ร้องไห้ด้วยความซาบซึ้ง ความโกลาหลนั้นมากเกินกว่าที่โรเอลและซินเทียจะรับมือได้ แม้สำหรับโรเอลแล้วเขาจะไม่ได้ลำบากเท่าไหร่ แต่สำหรับซินเทียผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้าง เริ่มกระวนกระวายกับท่าทีที่พวกเขาแสดงต่อหน้าบุตรผู้ศักดิ์สิทธิ์ โชคดีที่เด็กชายได้ให้ความช่วยเหลือเธอโดยการเปลี่ยนหัวข้อไปพูดถึงเรื่องอื่น และยกเรื่องที่เขาต้องการองครักษ์สำหรับการเดินทางขึ้นมา

ซึ่งมันก็สามารถหยุดการร้องไห้ของเหล่าผู้อาวุโสได้เป็นอย่างดี

เหล่าผู้อาวุโสเช็ดน้ำตาของพวกเขาในทันที และดำเนินการได้สมกับที่เป็นมืออาชีพ เพื่อจัดการหน่วยของพวกเขา โดยหวังว่าจะได้มีโอกาสเดินทางไปด้วย ในไม่ช้ามันก็กลายเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับความภักดี อุปกรณ์ ความแข็งแกร่งของสมาชิกในหน่วย และปัจจัยอื่น ๆ

ความประทับใจครั้งแรกนั้นสำคัญที่สุดเสมอ มนุษย์มักจะต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ซึ่งก็รวมถึงเหล่าทหารรับจ้างด้วยเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงมักจะติดอยู่กับวิธีที่ได้ผล ชายชราเจ้าเล่ห์เหล่านี้เข้าใจตรรกะนี้ดี จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงโต้เถียงกันอย่างดุเดือด ไม่ยอมถอยอ่อนข้อให้กัน

หากพวกเขามีโอกาสได้ร่วมการเดินทางนี้และทำงานได้ดี พวกเขาก็อาจจะได้เป็นผู้ช่วยใกล้ชิดของบุตรศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งถือเป็นเกียรติอันใหญ่หลวงในชีวิต และที่สำคัญกว่านั้นก็คือพวกเขาอาจจะได้รับประโยชน์มากมายจากงานนี้ ยกตัวอย่างเช่นสิ่งที่เกิดขึ้นกับซินเทีย

นับตั้งแต่ที่ซินเทียได้รับการรักษาอาการบาดเจ็บทางร่างกายจากพรของเทพธิดาแห่งปฐพี เธอก็ดูมีพละกำลังกระตือรือร้นมากกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้นความเร็วในการไหลเวียนพลังเวทของเธอยังเพิ่มขึ้นมากด้วย ซึ่งอาจจะส่งผลต่อพัฒนาการด้านพลังเหนือธรรมชาติ ด้วยอายุที่ยังน้อยของหญิงสาว มีโอกาสมากเลยทีเดียวที่เธอจะสามารถก้าวข้ามระดับแก่นแท้ขึ้นสู่การเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 2!

ใครเล่าจะไม่ถูกกระตุ้นด้วยแรงจูงใจอันยิ่งใหญ่เช่นนี้!

ด้วยที่ความแตกต่างด้านความสามารถของแต่ละหน่วยไม่ได้ห่างกันมากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถสรุปได้ว่าหน่วยไหนดีที่สุด ทว่าโรเอลไม่สามารถทนฟังการโต้แย้งได้อีกต่อไป เขาจึงเลือกทหารรับจ้างที่แข็งแกร่งที่สุดมารวม ๆ กัน ก่อให้เกิดเป็นกลุ่มทหารรับจ้างระดับสุดยอด 30 คน

หน่วยนี้ประกอบไปด้วย ระดับแก่นแท้ 3 1 คน ระดับแก่นแท้ 4 20 คน และ ระดับแก่นแท้ 5 9 คน โดยผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 5 นั้นมีพลังทางสายเลือด หรือไม่ก็ทักษะพิเศษ… เช่นทักษะการทำอาหาร

ใช่แล้ว! แม้แต่พ่อครัวของหน่วยนี้ก็เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 5 นั่นเอง!

นี่ถือเป็นความฟุ่มเฟือยอย่างแท้จริง หากพิจารณาว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 5 มักจะได้เป็นถึงผู้นำกองร้อยในกองทัพอื่น ๆ หมวดจึงอยู่เหนือกว่ามาตรฐานที่ผู้คนในโลกนี้เรียกว่า “แข็งแกร่ง” ไปไกล อันที่จริงโรเอลยังแอบคิดเลยว่า แม้แต่หน่วยองครักษ์ส่วนตัวของพ่อเขาก็คงไม่น่ากลัวเท่านี้

การจะเลื่อนขั้นขึ้นไปสู่การเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงนั้นขึ้นอยู่กับโชคและความสามารถจริง ๆ แต่มันก็ยังเป็นไปได้ที่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติส่วนใหญ่จะฝึกฝนให้ตัวเองขึ้นไปถึงระดับแก่นแท้ 4 เนื่องจากธุรกิจของพวกเขา ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งทางกำลังพล กลุ่มทหารรับจ้างกำแพงเหล็กจึงได้ทุ่มเทเวลาเป็นอย่างมากในการพัฒนาตนเองด้วยระบบการฝึกอบรมและการเพิ่มจำนวนสมาชิก ด้วยกำลังพลอันแข็งแกร่งนี้ทำให้ตระกูลโซโรฟาเสนอการเป็นหุ้นส่วนระยะยาวให้แก่พวกเขา

ดังที่เคยกล่าวไปแล้ว คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแน่วแน่ของเทพธิดาแห่งผืนปฐพีเองก็มีจุดอ่อนเช่นกัน นั่นก็คือธรรมชาติของมัน ความสามารถในการป้องกันอันแข็งแกร่งของมันนำมาซึ่งความเสี่ยงที่ลดลง แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ทำให้พวกเขาก้าวข้ามระดับแก่นแท้ไปได้ยากขึ้นมากเช่นกัน หลายปีที่ผ่านมานี้จึงมีซินเทียเพียงคนเดียวที่สามารถเอาชนะกำแพง และกลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูง

แต่ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ กำลังจะเปลี่ยนไปเนื่องจากการกลับมาของเปตรา

โรเอลไม่ได้วิตกกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่ และซินเทียเองก็เช่นกัน ทว่าในช่วงหัวค่ำของค่ำคืนนี้ ทันทีที่ดวงจันทร์สีเงินลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นสัมผัสอันแหลมคมของเธอก็ได้รับกลิ่นของความผิดปกติ หญิงสาวไม่อยากให้โรเอลต้องกังวลโดยไม่มีเหตุผล เธอจึงสั่งให้คนไปตรวจสอบพื้นที่รอบ ๆ ขบวนรถถึงสามครั้ง แต่พวกเขาก็ไม่พบอะไร

เมื่อต้องเผชิญกับท่าทางอันสับสนจากสหายในกลุ่มทหารรับจ้างของเธอ ซินเทียจึงเริ่มสงสัยในความรู้สึกลางสังหรณ์ของตนเองเช่นกัน อย่างไรก็ตามนี่เป็นครั้งแรกที่ได้ทำงานรับใช้บุตรศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เธอรู้สึกประหม่ามากทั้ง ๆ ที่รูปร่างหน้าตาภายนอกนั้นสงบเสงี่ยม นอกจากนี้โรเอลยังคอยเกลี้ยกล่อมให้เธอพักผ่อนด้วยเช่นกัน ดังนั้นหลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเธอก็เดินออกจากประตูรถม้าไปที่กองไฟ เพื่อที่จะสามารถคอยจับตาดูรถม้าอย่างใกล้ชิด

“ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ข้าก็จะไม่ปล่อยให้เกิดเหตุร้ายขึ้นในคืนแรกของการเดินทางเด็ดขาด”

ซินเทียพึมพำในใจ ก่อนจะขอเฝ้าดูลาดเลาในยามดึก

หญิงสาวไม่รู้ตัวเลยสักนิด ว่ามีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นจากแสงจันทร์สีเงินที่สาดส่องลงมาบนรถม้า

“ราตรีสวัสดิ์ ท่านพี่”

ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี เด็กสาวผมสีเงินจ้องมองเด็กชายผมดำที่นอนอยู่บนเตียง พลางพึมพำเบา ๆ ด้วยแววตาอันอ่อนโยน