ขณะเล่อเหยาเหยาคิดในใจ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ก็ถอดรองเท้าของเธอออกมา
ชายหนุ่มดูรูปร่างสูงใหญ่ แต่การเคลื่อนไหวของเขากลับอ่อนโยนอย่างที่สุด
ถอดรองเท้าให้เล่อเหยาเหยาอย่างเบามืออ่อนโยน ท่าทางนั้นดุจรักษาของล้ำค่าที่หายาก
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาปวดใจ สายตาอดมองชายหนุ่มที่นั่งคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นตรงหน้าตนไม่ได้
เห็นเพียงใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มนั้น แสดงความจริงจัง สนใจอย่างมากออกมา ขนตาโค้งงอนนั้นทั้งยาวทั้งหนา เป็นครั้งแรกที่เล่อเหยาเหยาเห็นชายหนุ่มที่มีขนตายาวงดงาม ราวกับแปรงขนตาเช่นนี้
ส่วนเงาของขนตาที่ดวงตานั้น ทำให้ดวงตาเย็นชาดุจดวงดาวยามยามราตรีคู่นั้นยิ่งล้ำลึกแคบยาวมากขึ้น ลึกจนมิอาจคาดเดา
ขณะที่สายตาเล่อเหยาเหยาจ้องมองบนใบหน้าชายหนุ่ม กลับเห็นชายหนุ่มพลันขมวดคิ้วชั่วขณะ
ความจริงเพราะให้ความสนใจอยู่กับชายหนุ่ม ดังนั้นเล่อเหยาเหยาเพียงเห็นจึงไม่ค่อยรู้สึกเจ็บปวดที่เท้า ก่อนอดก้มศีรษะมองตามชายหนุ่มไปไม่ได้ ทว่าเมื่อเห็นเท้าที่บาดเจ็บของตนนั้น อดสูดหายใจอย่างหวาดเสียวไม่ได้
สวรรค์!
ร่างนี้ทำมาจากเต้าหู้แน่นอน!
เมื่อครู่เธอเพียงไม่ระวังชนเพียงนิดเดียว แม้จะชนค่อนข้างหนัก แต่ก็ไม่น่าจะบาดเจ็บเช่นนี้
นิ้วเท้าของเธอบวมเป่งขึ้นมา ทำให้คนมองเห็นต่างรู้สึกเจ็บปวด
เมื่อครู่ไม่รู้สึกเช่นไร ตอนนี้เมื่อเห็นบนเท้าบวมเป่งน่าหวาดกลัว ไม่รู้เพราะผลทางจิตวิทยาหรือไม่ เธอจึงรู้สึกเพียงบนปลายนิ้วราวกับถูกคนใช้เข็มเจาะอย่างรุนแรง ความเจ็บทิ่มแทงใจนั้น เจ็บปวดไม่น้อยกว่าแม่นมหรงใช้เข็มแทงจือเว่ย!
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาตกใจ พลันแสบจมูก ดวงตาแวววาวคู่นั้นพลันพร่ามัวขึ้นมา
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นเข้า แววตาเต็มไปด้วยความปวดใจ
จากนั้นยืดกายหยิบตลับยาอันประณีตออกมาจากลิ้นชักอย่างรวดเร็ว
“อดทนไว้ก่อน ยาหลิงหลานนี้ช่วยลดอาการบวมได้ผลที่สุด เจ้าต้องอดทน”
“อืม เช่นนั้นท่านเบามือหน่อยเถิด”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเหยาอดกลั้นน้ำตาไม่ได้ ก่อนสูดน้ำมูกพลางเอ่ยขึ้น
“อืม”
หลังจากนั้น เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงหยิบยา ทาให้แก่เล่อเหยาเหยาอย่างอ่อนโยน
การกระทำของเหลิ่งจวิ้นอวี๋อ่อนโยนอย่างยิ่ง เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงราวกับมีขนนกกวาดผ่านนิ้วเท้าบวมเป่งของเธอไป ตามมาด้วยความรู้สึกเย็นสดชื่น คล้ายกับมีชั้นน้ำแข็งพันรอบนิ้วเท้าที่บวมเป่งของเธอเอาไว้
ผ่านไปไม่นาน เธอรู้สึกว่าความเจ็บบนเท้าค่อยๆ หายไป
และน้ำตาเอ่อคลอเบ้าที่พยายามอดกลั้นมาตลอด ก็เหือดหายไปอย่างช้าๆ
“ตอนนี้รู้สึกเช่นไร” เหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยถามอย่างอ่อนโยน
“ดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณท่านมากอวี๋”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยเบาๆ ด้วยใบหน้าแดงก่ำ
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ได้ยินจึงโล่งใจ ก่อนลุกขึ้นไปนั่งข้างกายเล่อเหยาเหยา แล้วรวบตัวเธอเข้าสู่อ้อมกอด
เมื่อถูกชายหนุ่มกอด เล่อเหยาเหยาที่เคยชินค่อยๆ ขยับตัวหาตำแหน่งที่สบายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนนอนลงบนเตียงอย่างเกียจคร้าน ใช้ศีรษะหนุนบนหน้าอกกว้างของชายหนุ่ม
สำหรับท่าทางเกียจคร้านอย่างที่สุดของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพลิดเพลินยิ่งนัก
มือใหญ่ลูบไล้ผมยาวนุ่มลื่นของเล่อเหยาเหยา ก่อนเอ่ยเบาๆ ว่า
“ต่อไปห้ามทำเรื่องที่ทำให้เปิ่นหวางกังวลอีก เจ้าทราบดีว่าหากเจ้าบาดเจ็บ เปิ่นหวางแทบอยากจะนำบาดแผลพวกนั้นมาอยู่ที่ตัวเปิ่นหวาง”
“อืม ข้ารู้ อวี๋ข้าขออภัยที่ทำให้ท่านกังวล”
เมื่อนึกถึงท่าทางทำอะไรไม่ถูกของเหลิ่งจวิ้นอวี๋เมื่อครู่ เล่อเหยาเหยารู้สึกอบอุ่นในใจ จนอดรู้สึกเสียใจไม่ได้
เพราะชายหนุ่มผู้นี้รักตนอย่างแท้จริง หากตนไม่ดูแลตนเองให้ดี ต้องทำให้เขาไม่วางใจแน่
ดังนั้นเล่อเหยาเหยาจึงบอกกับตนเองในใจ วันหน้าต้องปกป้องดูแลตนเองให้ดี เพราะตอนนี้ตนไม่ได้อยู่เพียงลำพังคนเดียว
เมื่อนึกย้อนไปถึงครั้งแรกที่ตนมาถึงยุคสมัยนี้ ไม่รู้เรื่องราวสิ่งใดเลย รู้สึกว่าโลกใบนี้ทุกคนต่างเป็นคนแปลกหน้า ที่นี่เธอไม่มีครอบครัวเพื่อนสนิทมิตรสหาย จึงโดดเดี่ยวเช่นนั้น
แต่ตอนนี้กลับไม่เหมือนกัน
ไม่นานเธอจะแต่งงาน มีครอบครัวของตนเอง มีสามีที่รักตน และหลังจากนี้ไม่นานมีเด็กน้อยลืมตาขึ้นมาบนโลกใบนี้
ต่อไปพวกเขาจะกลายเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ จากนั้นจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ยิ่งคิด ภายในสมองเล่อเหยาเหยาเกิดภาพอันสวยงามออกมา
ภายในภาพนั้น เวลาเที่ยงวันแสงอาทิตย์สดใส ใต้ต้นดอกท้อหลากหลายสีสันสวยงาม พวกเขาสองคนนั่งอยู่ตรงนั้น ชื่นชมดอกไม้ ปลา และทิวทัศน์ ตรงกลางของพวกเขายังมีเด็กน้อยน่ารักคนหนึ่ง ใบหน้าขาวอมชมพู ยิ้มราวกับเทพบุตร
ยิ่งคิด มือของเล่อเหยาเหยาอดเริ่มลูบไล้ที่หน้าท้องที่นูนขึ้นมาของตนไม่ได้
ช่วงก่อนหน้านี้ท้องเธอยังเรียบแบน แต่หลายวันนี้ไม่รู้เธอทานมากเกินไปหรือเพราะเหตุใด หน้าท้องเธอจึงเริ่มนูนขึ้นอย่างช้าๆ
แม้จะดูไม่ชัดเจนมากนัก แต่เล่อเหยาเหยากลับเริ่มรู้สึกว่าเด็กน้อยในท้องเธอเริ่มเติบโตขึ้น
อยากให้เขาออกมาเร็วๆ เสียจริง ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง เธอต่างชื่นชอบ เพราะนี่คือลูกของเธอและเหลิ่งจวิ้นอวี๋
พอคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เล่อเหยาเหยาเองไม่รู้ตัว ร่างกายตนกระจายประกายแห่งความเป็นมารดาออกมาได้น่าหลงใหลมากเพียงใด
และรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ งดงามมากเพียงใด
ทันใดนั้น เหลิ่งจวิ้นอวี๋มองอย่างตกตะลึง
เห็นเพียงหญิงสาวในอ้อมกอด ใช้มือลูบไล้ที่หน้าท้องตนอย่างเบามือ ท่าทางนั้นงดงาม น่ามองอย่างยิ่ง
และรอยยิ้มดุจบุปผา แววตาอ่อนโยนบนใบหน้าโดดเด่นนั้น เป็นสิ่งที่หญิงสาวที่กำลังจะกลายเป็นมารดาเท่านั้น จึงจะกระจายรอยยิ้มเปี่ยมด้วยความรักของมารดาเช่นนี้ออกมาได้
เมื่อเห็นหญิงสาวที่อุ้มท้องลูกของตนผู้นี้ ใจของเหลิ่งจวิ้นอวี๋อดพรั่งพรูความซาบซึ้งขึ้นมาไม่ได้
เพราะตั้งแต่เด็กเขาไม่เคยได้รับความรักจากมารดาแท้ๆ ดังนั้นเหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงหวังว่า หากตนมีลูก ต้องรักใคร่ทะนุถนอมเขาให้เป็นอย่างดี อาจเป็นการทดแทนสิ่งที่ตนไม่ได้รับในวัยเด็ก!
ตอนนี้เมื่อเห็นหญิงสาวในอ้อมกอดใบหน้าปกคลุมด้วยความรักของมารดา ทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋มั่นใจว่าวันหน้าลูกของพวกเขาต้องมีความสุขอย่างยิ่งแน่นอน
เพราะมีมารดาที่รักทะนุถนอมเขา
พอคิดถึงตรงนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋นำมือใหญ่เกาะกุมบนมือเล็กเรียวยาวของเล่อเหยาเหยาไว้
เล่อเหยาเหยาเห็นอดเงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อยไม่ได้
ทันใดนั้น เมื่อสบสายตากัน แววตาของทั้งสองคนจึงเปี่ยมไปด้วยความรักที่ไม่เสื่อมคลาย
มีความรักที่มีให้แก่กัน และความรักที่มีต่อลูกของพวกเขา
“อวี๋ ท่านว่าลูกของเราจะเป็นชายหรือหญิงกัน”
เมื่อทั้งสองมองตากันอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดเล่อเหยาเหยาจึงค่อยๆ เอ่ยปากถามขึ้น
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ได้ยิน ยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนกล่าวเพียงยิ้มๆ ว่า
“แม้เปิ่นหวางจะไม่รู้ว่าในท้องของเจ้าเป็นเด็กผู้ชายหรือผู้หญิง แต่ไม่ว่าเพศใด เปิ่นหวางชื่นชอบทั้งนั้น”
“ฮ่า ๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเหยารู้สึกโล่งอก
เพราะเธอรับได้ทั้งหมด ไม่ว่าชายหรือหญิง เพราะต่างคือเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอ ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร เธอล้วนชื่นชอบ และไม่ได้มีความคิดว่าชายจะสำคัญกว่าหญิงดังเช่นในอดีต
และครอบครัวของเธอเองก็มีเพียงเธอเป็นบุตรสาวคนเดียว บิดามารดาเธอยังรักใคร่ดูแลเธอเช่นเดิมมิใช่หรือ
ตอนแรกเธอกังวลว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋จะมีความคิดให้ความสำคัญต่อบุตรชายมากกว่าบุตรสาว เพราะในยุคโบราณที่อนุรักษ์นิยมนี้ บุรุษสูงศักดิ์สตรีด้อยค่า แบ่งชั้นวรรณะอย่างชัดเจน เหลิ่งจวิ้นอวี๋เป็นท่านอ๋องผู้สง่างามแห่งแคว้นเทียนหยวน หากเขาชื่นชอบบุตรชายมากกว่าบุตรสาว ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
แต่ตอนนี้วางใจได้แล้ว เพราะเขาเอ่ยกับปากด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นบุตรชายหรือบุตรสาว เขาล้วนชื่นชอบเช่นเดิม เธอจึงไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเรื่องเพศของลูกในครรภ์หรือรู้สึกกดดัน
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยายิ้มมุมปาก ดวงตาคู่งามเป็นประกายชั่วครู่ ก่อนกล่าวยิ้มๆ กับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ว่า
“อวี๋ มิสู้ตอนนี้พวกเราตั้งชื่อให้ลูกกันเถิด ลูกของพวกเรายังไม่มีชื่อเลย”
แม้ตอนนี้จะเหลืออีกหลายเดือนกว่าจะคลอด แต่เล่อเหยาเหยาอยากตั้งชื่อไว้ให้บุตรเสียก่อน
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ได้ยิน ใช้มือลูบที่คางมน พร้อมขบคิดบางอย่าง เล่อเหยาเหยาก็ไม่เร่งรัดเขา เพียงรอคอยคำตอบของเขาอย่างอดทน
จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง เหลิ่งจวิ้นอวี๋คล้ายฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงเอ่ยปากว่า
“หากเป็นบุตรสาว เรียกว่าเซี่ยวเซวี่ยเถิด”
“เซี่ยวเซวี่ยหรือ!”
เมื่อได้ยินเล่อเหยาเหยาตะลึงเล็กน้อย ก่อนจ้องมองเหลิ่งจวิ้นอวี๋ พลันคล้ายฉุกคิดขึ้นมาได้ พร้อมเอ่ยว่า
“ข้าเข้าใจความหมายของชื่อนี้ ทนทานต่อหิมะและน้ำแข็ง หมายถึงไม่เกรงกลัวสภาพอากาศหนาวเย็น ยิ่งสภาพแวดล้อมภายนอกยากลำบาก ยิ่งมีจิตใจที่เข้มแข็ง ฮ่า ๆ เป็นชื่อที่ไม่เลวจริงๆ”
“ฮ่า ฮ่า ถูกต้อง เมื่อเป็นลูกสาวของพวกเรา ต้องไม่เกรงกลัวความลำบาก เมื่อเผชิญความเย็นชา บีบคั้น หรือถูกโจมตีห้ามอ่อนแอ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเหยายิ้มมุมปากก่อนเอ่ยว่า
“เช่นนั้นหากเป็นลูกชายล่ะ ท่านคิดให้เขาชื่อใดหรือ”
“หากเป็นลูกชาย ให้ชื่ออวี้เซวียน อวี๋หมายถึงความงดงาม เซวียนหมายถึงองอาจผึ่งผาย”
เหลิ่งจวิ้นอวี๋อธิบายขึ้น เมื่อเล่อเหยาเหยาได้ยินอดก้มหน้าพึมพำไม่ได้
“อวี้เซวียน อวี้เซวียน เหลิ่งอวี้เซวียน ฮ่า ๆ เป็นชื่อที่ไม่เลวจริงๆ”
เล่อเหยาเหยาหัวเราะจบ ก็ยื่นมือลูบไล้หน้าท้องของตน ก่อนเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดใสว่า
“ลูกรัก เจ้าได้ยินหรือไม่ พ่อของเจ้าตั้งชื่อให้เจ้าแล้ว สุดท้ายเจ้าจะเป็นเสี่ยวเซี่ยวเซวี่ยหรือเสี่ยวอวี๋เซวียนกัน ฮ่า ๆ แม่อยากให้เจ้าออกมาเร็วๆ ยิ่งนัก เช่นนี้จึงจะโอบกอดเจ้าได้”
“ฮ่า ๆ ยังไม่ได้อภิเษกกับเปิ่นหวาง ก็คิดอยากอุ้มเด็กน้อยเร็วๆ เสียแล้ว”
สำหรับคำพูดของเล่อเหยาเหยา ทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋อดเย้าแหย่ไม่ได้
เล่อเหยาเหยาเห็นท่าทางเย้าแหย่ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ใบหน้าจิ้มลิ้มอดแดงชั่วขณะไม่ได้ ตาถลึงมองเหลิ่งจวิ้นอวี๋อย่างโกรธเคืองแวบหนึ่ง เผยอริมฝีปากแดงเอ่ยอย่างภูมิใจว่า
“ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ข้าอยากให้ลูกคลอดออกมาเร็วๆ เพราะต่อไปท่านจะรังแกข้าไม่ได้ หากท่านรังแกข้า ข้าจะเรียกลูกมาช่วยข้าจัดการท่าน”
“โอ้ หาผู้ช่วยได้เร็วเช่นนั้นเชียว เจ้าช่างดีจริงๆ เปิ่นหวางรังแกเจ้าเมื่อใดกัน”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เหลิ่งจวิ้นอวี๋หรี่ดวงตาเย็นชาลง ใบหน้าหล่อเหลานั้นค่อยๆ เคลื่อนเข้าประชิดใบหน้าของเล่อเหยาเหยา
เล่อเหยาเหยาพอเห็น ใบหน้าก็แดงก่ำ ก่อนรีบยื่นมือไปหยุดยั้งใบหน้าของชายหนุ่มที่เคลื่อนเข้ามา ก่อนเอ่ยอย่างเง้างอนว่า
“ตอนนี้ท่านยังคิดรังแกข้าอีกแล้วหรือ”
“ฮ่า ๆ ที่แท้เพียงจุมพิตก็คือการรังแกเจ้าหรอกหรือ เช่นนั้นข้าจะรังแกเจ้าไปตลอดชีวิต”
เอ่ยจบ ริมฝีปากของชายหนุ่มประกบลงบนริมฝีปากเล็กดุจดอกท้อของหญิงสาวอย่างแม่นยำ ขณะหญิงสาวกำลังตกใจลิ้นชุ่มชื้นนั้นก็แงะฟันของเธอออกอย่างชำนาญ ก่อนสอดเข้าไปด้านในกวาดภายในปากของหญิงสาวไม่หยุด สุดท้ายพัวพันกับลิ้นเล็กอ่อนนุ่มนั้น ดูดกลืนน้ำหวานยึดครองพื้นที่ไม่หยุด
จุมพิตนี้ดำเนินต่อไปเป็นเวลานาน
จนกระทั่งเล่อเหยาเหยาถูกจุมพิตจนเวียนศีรษะตาลาย สมองขาวโพลน ร่างกายอ่อนระทวยดุจน้ำ ชายหนุ่มจึงค่อยๆ ผละห่างจากริมฝีปากเธอ จากนั้นหน้าผากอวบอิ่มนั้นประกบลงบนหน้าผากของเธอ ก่อนรับรู้ถึงลมหายใจของกันและกัน
ความรู้สึกบางเบาเช่นนี้ ทำให้คนคล้ายจมดิ่งอยู่ในภวังค์ของความสุข ในสายตาของพวกเขามีเพียงอีกฝ่ายที่อยู่ภายในนั้น
“เสด็จพี่ทรงเลือกวันมงคลให้พวกเราแล้ว กำหนดเป็นวันที่หนึ่งในเดือนหน้า วันนี้ฮ่องเต้ต้าเซี่ยทรงส่งคนมาที่นี่เพื่อยืนยันเรื่องอภิเษกของพวกเรา อาจเป็นเพราะจวิ้นซีเอ่ยเรื่องของพวกเราแก่พระบิดาและเสด็จแม่ของเขาแล้ว”
จู่ๆ เหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยปากขึ้น
เล่อเหยาเหยาได้ยินใบหน้าจิ้มลิ้มตะลึงเล็กน้อย พลันยกริมฝีปากแดง พยักหน้าพลางยิ้มแย้มดุจบุปผา
“อืม”
แต่งงาน ในที่สุดพวกเขาจะแต่งงานกันแล้ว
วันที่หนึ่งเดือนหน้า จากตอนนี้มีเวลาเหลือเพียงอีกครึ่งเดือนมิใช่หรือ
เวลาแม้จะดูเร่งรัด แต่เล่อเหยาเหยาก็รู้ดีว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋ร้อนใจเรื่องลูกในครรภ์ของเธอ ไม่อยากให้ผู้อื่นรู้เรื่องเธอตั้งครรภ์ เพราะอาจทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำที่ไม่ต้องการได้