บทที่ 246 ปิดตาย
เฉินเฉียงเมื่อได้เห็นการกระทำของเมิ่งน้อยเองก็อดที่จะประหลาดใจอย่างที่สุดเสียมิได้
เขานั้นไม่เคยคิดมาก่อนว่าเมิ่งน้อยนั้นจะเป็นสัตว์ประหลาดสายเลือดอัคคี แถมยังปล่อยเปลวไฟที่สุดจะอลังได้ตั้งแต่ตัวยังจ้อยขนาดนี้ นี่จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะประหลาดใจ
และด้วยการที่เมิ่งน้อยลงมือนี้ การเคลื่อนย้ายพริบตาของเขาแม้จะไม่ได้โจมตีโดนอะไรก็ตาม แต่เขาก็ใช้โอกาสนี้ในการคว้าร่างของหยางเสวี่ยและเมิ่งน้อยที่กำลังตกสู่พื้นกอดไว้แน่น
แต่ด้วยการที่การโจมตีระลอกสองของหลิวเฟิงกำลังมาถึง เฉินเฉียงไม่มีเวลาที่จะหลบไปได้ เขาจึงใช้ตัวบังทั้งสองเอาไว้
ด้วยการที่เฉินเฉียงนั้นมีขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อยู่ในขั้นกลางแล้ว เป็นธรรมดาที่เขานั้นสามารถทนรับการโจมตีทางจิตวิญญาณของหลิวเฟิงไว้ได้ แถมเขายังโจมตีตอบโต้กลับไปได้อีก
หลิวเฟิงที่เห็นฉากนี้ก็รับรู้ได้เหมือนกัน จึงสั่งให้พวกของตนโจมตีระลอกที่สามใส่เฉินเฉียงเพื่อไม่ให้เฉินเฉียงมีโอกาสโจมตีสวนกลับ
แต่ผลลัพธ์นั้นกลับให้หลิวเฟิงและพวกต่างก็ตกตะลึงอย่างหนักเมื่อเห็นว่าการโจมตีของพวกตนนั้นทำอะไรเฉินเฉียงไม่ได้
“พวกเราจะทำยังไงต่อดีครับกัปตัน ไอ้เด็กเวรนี่ไม่เป็นอะไรเลย”
หนึ่งในลูกน้องของหลิวเฟิงเองเมื่อได้เห็นฉากนี้แล้วได้รีบถามออกมา
“ข้าเห็นแล้วโว้ย เจ้าจะพูดออกมาทำซากอะไรกัน”
หลิวเฟิงลนลานขึ้นมาในทันที
ถึงแม้พวกของหลิวเฟิงจะมีการโจมตีทางจิตวิญญาณที่สูงล้ำ แต่พวกมันนั้นมีร่างกายที่อ่อนด้อยแม้แต่นายพลวิญญาณระดับกลางก็ยังบั่นคอพวกมันได้อย่างง่ายดาย
และเมื่อเห็นฉากนี้แล้ว เหล่านายพลทักพิเศษที่ร่วมมือโจมตีเฉินเฉียงนั้นก็แทบอยากจะถอนตัวออกไป
หากไม่ใช่เห็นเพราะว่าหยานเสวี่ยยังสลบอยู่ล่ะก็ พวกมันคงไม่คิดที่จะอยู่ต่อ
ถึงพวกมันไม่คิดจะโจมตี แต่ก็ไม่คิดจะหลบหนี เพราะพวกมันกลัวเฉินเฉียงใช้จังหวะนี้ในการโจมตีใส่พวกมัน
และนี่เองทำให้หลิวเฟิงนั้นทำได้เพียงอยู่เงียบๆเพื่อรอคอยสถานการณ์ให้มีการเปลี่ยนแปลงไปพลางภาวนาว่าไม่ให้หยานเสวี่ยฟื้นขึ้นมาในตอนนี้
อีกฟากฝั่งหนึ่ง ความจริงแล้วเฉินเฉียงนั้นก็รับรู้ได้ถึงสถานการณ์ดีไม่น้อยไปกว่ากัน
ถึงแม้ว่าตอนนี้เขายังไม่สูญเสียอะไรไป แต่ฉากก่อนหน้านี้ หากเมิ่งน้อยไม่ลงมือ เขาบอกได้เลยว่าสถานการณ์จะแย่กว่านี้อย่างมาก
เขาเองนั้นในการต่อสู้ครั้งนี้ก็คิดจะฆ่านายพลทักษะพิเศษเหล่านี้สักตนสองตนเหมือนกันเพื่อหวังจะได้ดูดกลืนทักษะความสามารถ
แต่เขาไม่คิดว่าหยานเสวี่ยกลับโดนโจมตีจนสลบไป ทำให้เขาไม่อาจทำอะไรได้
หากเขาไม่ได้ต้องอุ้มหยานเสวี่ยที่หมดสติอยู่แบบนี้ เขานั้นคงใช้ทักษะหลบหนีแสงและเคลื่อนย้ายพริบตา เก็บกวาดนายพลทักษะพิเศษตรงหน้าจนหมดสิ้น และได้รับในสิ่งที่เขาหวังไว้
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าแผนการนั้นก็คงเป็นได้เพียงแผนการเพียงอย่างเดียว เขาคงจะต้องหาโอกาสอื่นในอนาคต
เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉินเฉียงที่อุ้มหยานเสวี่ยและเมิ่งน้อยอยู่ก็ได้สยายปีกออก และบินขึ้นฟ้าลอยสูง แล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากหาสถานที่สงบ เฉินเฉียงก็ได้วางหยานเสวี่ยเอาไว้ ก่อนที่จะค่อยๆยกผ้าคลุมหน้าของเธอขึ้นมา
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง หยานเสวี่ยก็ยังคงปิดตาอยู่ พร้อมใบหน้าที่ซีดเผือด
ดูเหมือนว่าหลิวเฟิงละพวกนั้นต้องการจะจับตัวเขาให้จงได้ ในตอนนี้มันได้รวบรวมนายพลทักษะพิเศษที่มีพลังจิตที่สูงล้ำพอจะจัดการเฉินเฉียงได้
เฉินเฉียงเองก็ได้มองไปในส่วนผสมยาสมุนไพรภายในแหวนของตน ก่อนที่จะเริ่มปรุงยาตรงนั้น
หลังจากขะมักเขม้นในการปรุงยาไปสองชั่วโมง เฉินเฉียงก็ป้อนยากระจ่างจิตให้กับหยานเสวี่ย
ไม่นาน หยานเสวี่ยก็ได้ลืมตาขึ้นมา
“”เฉินเฉียง เป็นอะไรรึเปล่า
เมื่อหยานเสวี่ยลืมตาตื่นขึ้นมานั้นแล้วพบเฉินเฉียง สิ่งแรกที่เธอถามออกมาคือถามเขาว่าเป็นอะไรรึเปล่าโดยไม่ได้สนใจร่างกายตัวเองแม้แต่น้อย นี่ทำให้เฉินเฉียงก็รู้สึกกระดากอายไม่ได้เหมือนกัน
หากไม่ใช่เพราะเขาหลบการโจมตีในตอนนั้น เธอคงไม่ต้องมาบาดเจ็บอย่างหนักในตอนนี้
จะเรียกว่าที่หยานเสวี่ยบาดเจ็บหนักนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากเขาก็ว่าได้
“องครักษ์หยาน ตอนนี้ดูเหมือนอาการของท่านจะดีขึ้นแล้ว การที่ท่านรอดมาได้นี่ต้องยกความดีความชอบให้กับเมิ่งน้อยเลยนะนั่น”
เฉินเฉียงได้เล่าเหตุการณ์ที่ว่าทำไมเขาถึงต้องมอบความดีความชอบให้เมิ่งน้อย พร้อมกับบรรยายถึงความทรงพลังของมัน
“เมิ่งน้อย”
หลังจากหยานเสวี่ยได้ยินเรื่องราวแล้วก็อดไม่ได้ที่จะคว้าเมิ่งน้อยมากอด พลองกอดหอมอย่างไม่หยุด
“เมิ่งน้อยช่างดีกับแม่คนนี้มากนัก บอกมาได้เลยว่าเจ้าอยากกินแก่นวิญญาณอีกมากสักเท่าไหร่ เดี๋ยวแม่คนนี้จะจัดให้หนำเลย”
หลังจากตื่นเต้นยินดีได้สักพัก หยานเสวี่ยก็ได้ยืนขึ้นมา แต่ด้วยการที่เธอยังบาดเจ็บอยู่และพึ่งจะดีขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นทำให้เธอเซถลาตกไปอยู่ในอ้อมแขนของเฉินเฉียง
หลังจากจัดผ้าคลุมหน้าใหม่แล้ว หยานเสวี่ยก็ได้รีบพูดออกมา “เฉินเฉียง นี่ผ่านมานานแค่ไหนแล้วกัน พวกเราต้องรีบออกไปจากที่นี่ ไม่งั้นเราต้องติดอยู่ที่นี่แน่ๆ”
“องครักษ์หยาน ฟังข้านะ”
เฉินเฉียงได้จับไหล่ของหยานเสวี่ยแล้วกดลงแน่นแล้วพูดออกมาด้วยท่าทางจริงจัง “องครักษ์หยาน ท่านก็รับรู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้แล้วนี่ ด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นที่บันไดสู่สรวงสวรรค์แล้ว ในตอนนี้ทั้งสามเผ่าพันธุ์ต่างก็จับจ้องมาที่ข้า พวกมันต่างก็คิดว่าข้าไม่ได้ต่างจากสัตว์ทดลอง คิดจะจับข้าไปชำแหละศึกษาให้จงได้”
“หากข้ากลับออกไปในตอนนี้ ไม่เพียงท่านจะปกป้องข้าไม่ได้แล้ว ข้าจะกลายเป็นตัวปัญหาตัวเขื่องให้กับราชาสวรรค์ของท่าน”
“ดังนั้น ในตอนนี้ท่านต้องออกไปจากที่นี่คนเดียวเพียงเท่านั้น หลังจากผ่านไปสักพักข้าจึงจะออกไป”
“ไม่มีทาง เจ้าเป็นคนของท่านราชาสวรรค์ ท่านราชาสวรรค์ต้องหาทางช่วยเจ้าได้อย่างแน่นอน”
“คนของราชาสวรรค์รึ ฮ่าฮ่าฮ่า”
เฉินเฉียงส่ายหัวไปมาพลางหัวเราะไปด้วย “องครักษ์หยาน หากเป็นในเกาะเทียนลี่นั้น ข้ายอมรับว่าราชาสวรรค์คือเจ้าชีวิต แต่เท่าที่ข้ารู้มา ทั้งสามเผ่าพันธุ์นั้นมีผู้อยู่ในระดับราชาของตนเอง แถมยังหลายคนหลายผู้อีก แล้วราชาสวรรค์ของท่านจะปกป้องข้าได้อย่างไร”
“จะดีกว่าถ้าท่านไม่มัวหลอกตัวเองอยู่แบบนี้”
“ไหนจะไอ้คนของหลินไฮ่หวังนั่นอีก ข้าคิดว่าป่านนี้มันคงรายงานเรื่องของเราแก่หลินไฮ่หวังในทันทียามที่มันได้ออกไป”
“หากข้าไม่ออกไปข้างนอก คนพวกนั้นก็ไม่อาจจะทำอะไรได้”
“แล้ว แล้วถ้าเขตแดนจักรพรรดิปิดตัวลงแล้วเจ้าจะออกไปได้ยังไง”
“ท่านไม่ต้องกังวลในเรื่องนั้นหรอก หรือท่านห่วงข้าจริงๆกันเนี่ย ท่านลืมอะไรรึเปล่าว่าข้าเองยังเป็นกัปตันของกองกำลังเทียนเว่ยน่ะ ต่อให้ข้าไม่คิดถึงตัวเอง แต่ข้าก็ไม่มีทางที่จะปล่อยให้คนกองกำลังของข้าเผชิญหน้าโลกภายนอกตามลำพังหรอกนะ ท่านไม่คิดอย่างนั้นรึ”
“ข้า ในเมื่อเข้ามาที่นี่ได้เองก็ย่อมต้องออกไปได้เอง แต่นี่มันเป็นเคล็ดลับเฉพาะของข้า โปรดอภัยให้ข้าที่ไม่อาจบอกท่านได้ในตอนนี้”
“แต่…”
“ไม่มีแต่ องครักษ์หยาน ท่านพึ่งจะกินยาลงไปและยังไม่ฟื้นตัวดี ข้าจะส่งท่านออกไปก่อน ไม่อย่างนั้นท่านจะไม่อาจออกไปได้ไปอีกนานแสนนาน”
เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงได้อุ้มหยานเสวี่ยแล้วทะยานขึ้นฟ้าไป
“เฉินเฉียง วางข้าลงนะ ข้าไปเองได้”
หยานเสวี่ยรู้สึกกระอักกระอ่วนในทันทีที่ตกอยู่ในอ้อมกอดของเฉินเฉียง หลังจากขัดขืนพักหนึ่ง เธอก็รู้สึกได้ว่าเฉินเฉียงกลับอุ้มเธอไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม
“เลิกดิ้นได้แล้วน่า ยืนยังยืนไม่อยู่แล้วนับอะไรกับการบิน ฟังข้าซะ”
หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้สยายปีกของตนและกระพือไปหนึ่งที ก่อนที่จะพุ่งผ่านไปสิบกว่ากิโลเมตรในชั่วพริบตา
ถ้าจะให้พูดจริงๆล่ะก็ ความเร็วของเขาในตอนนี้แม้แต่ผู้ที่อยู่เทียบเคียงในระดับราชานักรบก็ไม่อาจเทียบเขาได้
สองวันให้หลัง เฉินเฉียงได้พุ่งผ่านการลาดตระเวนของหลิวเฟิงและพวกมาได้จนมาถึงทางออกของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์
แต่ที่ทางออกนี้เองก็มีพวกเดียวกับหลิวเฟิงอยู่ เพียงพวกเขามาถึง นายพลทักษะพิเศษห้าตนก็ได้พุ่งตรงมาที่เขา
เฉินเฉียงได้วางหยานเสวี่ยลงกับพื้น แล้วผลักเธอไปด้านหลัง
“เฉินเฉียง ทำไมเจ้าไม่ไปกับข้า เจ้าเองก็ใช้พลังเหนือมนุษย์พันหน้าได้ ไม่มีใครจำเจ้าได้หรอก”
เฉินเฉียงส่ายหัวไปมาในทันทีและตอบกลับไป “องครักษ์หยาน ฟังข้า ท่านต้องออกไปก่อน”
“ยังไงซะท่านกับราชาสวรรค์นั้นได้วางตัวติดตามไว้ในดาบของข้าแล้ว เมื่อใดที่ข้าออกไปได้ ยังไงซะท่านก็หาข้าพบได้อยู่ดี”
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะรออยู่ในนี้สักเดือนนึง หลังจากนั้นข้าจะไปเขตทะเลใต้แล้วรอท่านที่ปลายแหลม นั่นก็คงจะมากพอที่ท่านจะหาข้าพบอย่างง่ายดาย ถูกไหมล่ะ”
เมื่อรับรู้ว่าหลิวเฟิงและพวกมาถึง เฉินเฉียงได้สยายปีกของตนออกแล้วบินขึ้นฟ้าไปอีกครั้ง
“ฮ้ะ นั่นมันไอ้คนที่ถูกดีดออกมาจากบันไดสู่สรวงสวรรค์ไม่ใช่รึไงกัน”
“ทำไมมันบินกลับเข้าไปข้างในเขตแดนอีกล่ะ”
“อย่าบอกว่ามันไม่คิดจะออกไป”
“ข้าคิดว่าใช่นะ หากตอนนี้มันไม่ยอมออกไปล่ะก็ เกรงว่าเขาคงคิดจะออกไปอีกในสิบปีข้างหน้าเป็นแน่”
“เป็นได้ว่าไอ้เวรนี่จะค้นพบความลับที่ยิ่งใหญ่ของบันไดสู่สรวงสวรรค์เลยต้องการอยู่ต่อ แต่มันคุ้มขนาดที่ว่ายอมอยู่ต่ออีกแปดปี สิบปีเลยงั้นเหรอนั่น”
“หากเป็นแบบนั้นจริง ทำไมเราไม่ลองตามมันไปดูล่ะ ใครจะรู้ พวกเราอาจจะได้อะไรบางอย่างจากมันก็ได้”
“ชิ……..เจ้าอยากอยู่ก็อยู่ไปเถอะ หากให้ข้าอยู่ในดินแดนแห่งนี้อีกสิบปี ข้าคงเบื่อตายกันพอดี”
“จะไปเป็นแบบนั้นได้ยังไงกัน พวกเราก็อยู่ในนี้มาสามปีแล้ว นี่กับอีแค่สิบปีจะสักเท่าไหร่กัน”
“มันจะไปเหมือนกันได้ยังไง สามปีมานี้มีสามเผ่าพันธุ์อยู่ที่นี่นับหมื่น ต่อให้ต้องอยู่ต่อที่นี่อีกสิบปี โดยต้องอยู่คนเดียว ไม่ก็พบเจอคนเพียงคนเดียว ไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีคนคุยด้วยเลย หากว่าเจ้าไม่ถูกมันฆ่าตายก็ต้องเฉาตายอยู่ดี”
“พวกเราควรจะออกไปที่นี่แล้วรายงานเรื่องไอ้เด็กนั้นให้เหล่าราชารับรู้จะดีกว่า ให้พวกท่านเป็นคนจัดการ”
“ไปกันเถอะ”
ไม่ไกลจากที่ทางออกนี้ เฉินเฉียงได้พบเจอหลิวเฟิงและพวก
เมื่อเห็นเฉินเฉียงพุ่งตรงไปที่พวกมัน หลิวเฟิงและพวกตื่นตระหนกในทันทีราวกับได้พบเจอศัตรูตัวฉกาจ พวกมันจ้องมองเฉินเฉียงอยู่เงียบๆพลางคิดคาดการณ์ว่าเฉินเฉียงมีแผนที่จะทำอะไรกับพวกมัน
เฉินเฉียงได้จ้องมองไปที่หลิวเฟิงและพวกอย่างดูแคลน “พวกแกไม่ใช่ว่าอยากจะจับตัวข้านักไม่ใช่รึไง”
“ข้ายืนอยู่นี่แล้วนี่ เก่งจริงก็เข้ามา หรือมีกึ๋นไม่พอ”
เมื่อกล่าวจบ เฉินเฉียงก็นำกระบี่ยาวออกมาจากแหวนเก็บของแล้วตวัดไปมากลางอากาศ
เพียงเท่านี้ก็เพียงพอจะทำให้หลิวเฟิงและพวกตื่นกลัวจนอยากถอยหนี
นั่นก็เพราะคนตรงหน้าพวกมันนั้นไม่ได้เกรงกลัวต่อการโจมตีทางจิตวิญญาณของพวกมันเลยแม้แต่น้อย แถมเฉินเฉียงนั้นยังมีร่างกายที่ทรงพลัง หากต้องสู้กันจริง พวกของมันที่มีกันเจ็ดตนก็ไม่คิดว่าจะมีโอกาสจะชนะ
แต่หากจะยื้อต่อไปก็ไม่เป็นการดีเช่นกัน
นั่นก็เพราะพวกมันได้เห็นแล้วว่ามิติจักรพรรดิใกล้จะปิดตัวลง หากว่ามันยังคงที่จะยืดเยื้อเรื่องนี้ต่อไปก็คงไม่แคล้วต้องอยู่ที่นี่
และแน่นอนว่าเฉินเฉียงย่อมต้องการให้เป็นแบบนั้น
หากเขารั้งนายพลทักษะพิเศษรูปแบบจิตวิญญาณพวกนี้ไว้ได้ การเข้ามาในเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี่จะเรียกได้ว่าได้ประโยชน์อย่างที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทั้งเจ็ดคนนี้ได้ตั้งตนเป็นศัตรูกับเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่มั่นใจว่าจะสามารถจัดการได้ทั้งหมดในคราวเดียว แต่อย่างน้อยๆเขาก็ไม่มีทางเสียท่าให้เจ็ดตนนี้อย่างแน่นอน
ตราบใดที่เขายื้อเวลาต่อไป เมื่อเขตแดนจักรพรรดิปิดตัวลง นายพลทักษะพิเศษเหล่านี้จะตื่นตระหนกและลนลาน เมื่อถึงตอนนั้น เขาก็จะใช้โอกาสนี้ในการจัดการพวกมันให้หมดสิ้น
มันคือการใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่าแรงกดดัน
หลิวเฟิงนั้นในตอนนี้เริ่มรู้สึกสำนึกเสียใจขึ้นมาบ้างที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับเฉินเฉียง
กลับกัน เฉินเฉียงนั้นไม่ได้มีความรู้สึกรู้สาแต่อย่างใด เขาในตอนนี้ราวกับเทพผู้ปิดทางเดินผ่าน หากต้องการจะผ่านไป แม้แต่ฟ้าดินจะสั่งก็ยังยากจะขยับเขยื้อน
ยิ่งไปกว่านั้นคือนักรบมากมายนับพันนับหมื่นจากสามเผ่าพันธุ์นี้ มีเฉินเฉียงเพียงคนเดียวที่ได้เข้าไปในเขตแดนลับที่อยู่บนปลาบันไดแห่งสรวงสวรรค์
หลิวเฟิงนั้นแค่อยากจะได้ข้อมูลความลับนั่นมาไว้กับตัวบ้างเพียงเท่านั้น ไม่ใช่การต้องติดอยู่ที่นี่
เมื่อได้เห็นว่าทางเข้าเขตแดนได้หดเล็กลงเรื่อยๆ นี่ทำให้หลิวเฟิงร้อนรนยิ่งขึ้นไปอีก
“พี่ชายหลิวหลาง เรื่องก่อนหน้านี้เกิดจากความเข้าใจผิดกัน ทำไมเราไม่มาจับมือคืนดีกันในตอนนี้ล่ะ”
“อีกไม่นานทางออกเขตแดนจักรพรรดิก็จะปิดตัวลงแล้ว คงไม่ใช่ว่าพี่ชายหลิวหลางจะไม่อยากออกไปหรอกนะ”
“ไม่ว่าท่านอยากจะพูดอะไรก็ตาม ทำไมเราไม่คุยกันหลังจากที่ออกไปจากที่นี่กันล่ะ”
เฉินเฉียงแสยะยิ้มขึ้นมาในทันทีเมื่อได้ยิน “โอ้ นี่เจ้าอยากจะสงบศึก ดี งั้นเจ้าก็เข้ามาหาข้าสิ แล้วเราจะได้จับมือกัน”
หลิวเฟิงมีใบหน้าที่กระตุกอย่างหนักในทันใด
ใครจะไปกล้าเคลื่อนไหวได้ในตอนนี้กัน เขาแค่พูดเปรียบเปรยหาทางรอดไปเพียงเท่านั้น ใครจะไปคิดว่าเฉินเฉียงจะคิดใช้สิ่งนี้ในการต้อนเขาจนมุม
เมื่อเห็นท่าทางแพ้พ่ายของหลิวเฟิงแล้ว เฉินเฉียงก็ได้หัวเราะออกมาดังลั่น
“หลิวเฟิง เจ้าพร่ำพูดออกมาเสมอว่าเจ้าอยากจะแก้แค้นให้ลูกน้องเจ้าไม่ใช่รึไง ข้าอยู่นี่แล้ว ทำไมไม่เข้ามาอีกล่ะ”
“ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากจะล้วงข้อมูลเกี่ยวกับบันไดสู่สรวงสวรรค์นักไม่ใช่รึไง”
ใช่ หลิวเฟิงอยากได้ข้อมูลนี้ใจจะขาด
แต่ก็ไม่กล้าที่จะขยับตัวในตอนนี้แม้แต่น้อย
หากว่ามันขยับแม้แต่น้อย มันเชื่อว่าจะต้องตกตายในมือเฉินเฉียงในทันที
หากเทียบกันระหว่างโชคลาภและใบหน้าแล้ว ชีวิตน้อยๆของมันเองนั้นย่อมสำคัญที่สุด
“กัปตันหลิวเฟิง ตอนนี้เขตแดนจักรพรรดิกำลังจะปิดตัวลงแล้ว ทำไมท่านยังไม่ออกไปอีก”
ในขณะที่สองฝ่ายกำลังจะจดๆจ้องๆกันอยู่นี้เอง นายพลทักษะพิเศษอีกสี่ตนที่เห็นแต่ไกลว่ามีพวกเดียวกันไม่ยอมออกไปสักที ก็ได้บินเข้ามาก็พบว่าเป็นหลิวเฟิงและพวกทั้งเจ็ดอย่างสงสัย
เมื่อเห็นว่าเป็นคนคุ้นเคย หลิวเฟิงก็ดีใจขึ้นมาอย่างที่สุด
“พี่ชายหลิวถัง ท่านมาได้ถูกเวลานัก”
หลังจากพูดจบ หลิวเฟิงไม่ได้พูดอะไรอีก
แต่เฉินเฉียงเองกลับเป็นฝ่ายร้อนรนขึ้นมาแทน
เขาเชื่อว่าหลิวเฟิงนั้นในตอนนี้ต้องพูดคุยกับนายพลทักษะพิเศษที่มาใหม่ด้วยเสียงผ่านจิตวิญญาณอย่างแน่นอน
ถึงแม้นายพลทักษะพิเศษสี่ตนนี้จะเป็นเพียงขั้นกลาง แถมท่าทางจะไม่รู้จักเขาด้วย นี่ทำให้เขานั้นเชื่อว่าทั้งสี่ตนนี้ไม่ได้รับรู้เรื่องราวของเขาที่เกิดขึ้นบนบันไดสู่สรวงสวรรค์
แต่หากหลิวเฟิงได้บอกหลิวถังและพวกไปล่ะก็ แน่นอนว่าย่อมไม่เป็นการดีกับเขา
ก่อนหน้านี้เฉินเฉียงได้รักษาดุลยภาพทางการสงครามกับหลิวเฟิงและพวกได้เป็นอย่างดี และในช่วงเวลานี้ เฉินเฉียงยังไม่ลงมือเพราะต้องการให้เขตแดนจักรพรรดิปิดตัวลงเพียงเท่านั้น
ใครจะไปคิดว่าหลิวถังจะยกพวกมาสมทบ
ถึงแม้ระดับของทั้งสี่ตนนี้จะไม่ได้เข้าตาของเฉินเฉียง แต่ที่แน่ๆคือดุลยภาพของการต่อสู้นี้ได้เสียไปแล้ว
ตราบใดที่สี่คนนี้เชื่อคำของหลิวเฟิงแล้วเชื่อจนพุ่งเข้ามาโจมตีเขา เพียงเท่านั้นก็เพียงพอที่จะขวางมือขวางเท้าของเฉินเฉียงได้
อย่างไร ด้วยการที่กำลังเสริมนี้เองก็เป็นรูปแบบโจมตีทางจิตวิญญาณเช่นเดียวกัน หากว่าพวกมันพลาดพลั้งแม้เล็กน้อยก็ย่อมต้องตกตาย
และเป็นไปตามที่เฉินเฉียงคาดเอาไว้ หลังจากผ่านไปสักพัก หลิวถังที่เงียบไปก็ได้เบิกตากว้างก่อนที่จะถามออกมา “กัปตันหลิวเฟิง เป็นความจริงรึ”
————————
วันนี้ 2 ตอนค่ะ จะพยายาม เร่งมาเป็น 3ตอนต่อวันให้ได้ ช่วงนี้ เอา 1 เอา 2 ไปก่อน ต้องขออภัยด้วยค่ะ