บทที่ 247 คู่กัด

“จริงแท้แน่นอน” เมื่อเห็นว่าหลิวถังรับข้อเสนอของตน หลิวเฟิงรีบให้คำมั่นในทันที

“ฮ่าฮ่าฮ่า….ถ้าอย่างนั้น ต้องขอบคุณกัปตันหลิวเฟิงที่ช่วยเหลือ”

เมื่อพูดจบ หลิวถังและพวกได้ยกมือให้สัญญาณ “พี่น้อง เข้าไปจับตัวไอ้เด็กเวรนี่ซะ”

เมื่อเห็นฉากนี้ เฉินเฉียงหน้าเปลี่ยนสี เขาสะบัดปีกให้ตนเองกลับหลังไป เพียงช่วยพริบตา เขาก็อยู่ห่างจากจุดก่อนหน้านี้ไปสองพันเมตรในทันที

“หลิวเฟิง วันนี้แกโชคดีไปนะ จดจำไว้ว่าหัวของเจ้าเป็นของข้า”

โชคชะตาห่าเหวอะไรกันเนี่ย

เสียดายที่เขานั้นโยนธนูดำทิ้งไปแล้ว ไม่อย่างนั้นล่ะก็เขาคงใช้โอกาสนี้ยังหัวหลิวถังและพวกตกตายโดยทักษะการยิงธนูของโฮวอี้ไปแล้วลากตัวหลิวเฟิงและพวกที่เหลือเอาไว้ในเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้

“เหล่านายพลจงฟัง อีกสิบนาที ประตูเขตแดนจะปิดตัวลง ทุกคนจงออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้ ไม่อย่างนั้นทุกคนต้องรออีกสิบปีถึงจะออกไปได้”

“เหล่านายพลจงฟัง อีกสิบนาที ประตูเขตแดนจะปิดตัวลง ทุกคนจงออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้ ไม่อย่างนั้นทุกคนต้องรออีกสิบปีถึงจะออกไปได้”

….

เหล่านายพลทักษะพิเศษทั้งหลายที่ยังคงอยู่ในเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้ต่างก็กระวีกระวาดในทันทีเมื่อได้ยิน และต่างเร่งฝีเท้าออกจากเขตแดน

ส่วนเฉินเฉียงนั้นนั่งอยู่นิ่ง หาได้แยแสไม่

อีกฟากฝั่งหนึ่ง ที่ทางเหนือของตีนเขาเอเวอเรสต์

มนุษย์กลุ่มสุดท้ายได้ออกมาจากเขตแดนจักรพรรดิ ทางเข้าเขตแดนก็ได้ปิดตัวลง

“ฮ่าฮ๋าฮ่า ขอข้าดูหน่อยเถอะว่านายพลแห่งกองกำลังภาคกลางของข้านั้นเป็นยังไงบ้าง”

คนที่ออกมาต้อนรับนักรบที่เข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิก็คือผู้การร่วมแห่งกองกำลังภาคกลาง จ้าวลี่

“อื้ม ไม่เลว ตอนเข้าไปมีนักรบสี่พันนายแล้วยังเหลือรอดออกมาได้สามพันกว่า สูญเสียน้อยกว่าครั้งก่อนนัก”

“พี่จ้าว คนของกองกำลังท่านแข็งแกร่งนัก ตึกจอมพลเป่ยเฉินของข้าสิประสบปัญหาอย่างหนัก ส่งกลับไปสามพันกว่าเหลือกลับมาเพียงครึ่งเดียว ช่างน่าอนาถนัก”

ผู้การร่วมแห่งตึกจอมพลเป่ยเฉิน หลิวตันได้ส่ายหัวไปมาอย่างปวดร้าว พลางมองไปยังฝั่งของตึกจอมพลแห่งกันหนัน

“พี่เว่ย แล้วสถานการณ์ทางฝั่งท่านล่ะ”

เว่ยหยวนตี้ได้ส่ายหัวไปมา “เฮ้ออออ ทางข้าน่ะเหรอ ก็ไม่ได้ต่างจากเดิมหรอก เพียงเห็นหน้าข้าก็ไม่กล้าที่จะมองแล้ว”

“ในครั้งนี้ข้าส่งเข้าไปสามพันกว่า กลับมาได้สองพันสี่ร้อย ตกตายไปกว่าแปดร้อย”

หากพูดกันเรื่องจำนวนคนแล้วนั้นถือได้ว่าตึกจอมพลกันหนันไม่ได้เสียหายมากมายอะไรนัก แต่เพียงแค่เสียกองกำลังไปใครจะสนเรื่องตัวเลขกัน

เพราะยังไงซะ ทุกคนคือนักรบผู้ซึ่งมีโอกาสจะขึ้นเป็นระดับราชาได้ทั้งหมดทั้งสิ้น และอาจจะไปถึงระดับราชาจอมพลเลยด้วยซ้ำ

สูญเสียเพียงหนึ่งก็ปวดหัวได้ไม่รู้จบแล้ว

“พ่อคะ”

เว่ยฉิงเชินรีบวิ่งไปหาพ่อของตน เว่ยหยวนตี้ในทันที ตาของเธอแดงก่ำในขณะกระโดดเข้าสู่อ้อมกอดของเขา

หลังจากผ่านไปสามปีที่ไม่อาจเห็นหน้ากัน เว่ยหยวนตี้ก็ได้ถามออกมาในทันที “ฉิงเชิน กองกำลังของเจ้าเป็นยังไงบ้าง”

เว่ยฉิงเชินพูดออกมาอย่างขุ่นเคืองใจ “ท่านพ่อ ไม่นานหลังจากพวกเราได้เข้าไปนั้นก็ถูกแทงข้างหลังจากไอ้พวกมนุษย์กลายพันธุ์”

“ท้ายที่สุดเหลือเพียงค่า ศิษย์พี่หลู่ฟาง และชุยหยานหลันเท่านั้นที่รอดมาได้”

“หากไม่ได้กองกำลังเทียนเว่ยของพี่ใหญ่เฉินเฉียงช่วยเอาไว้ล่ะก็ พวกเราทั้งสามคงตกตายไปนานแล้ว”

“ไอ้พวกสายลับระยำ”

เว่ยหยวนตี้สบถออกมาในทันที “แล้วเจ้าได้ตัวมันหรือไม่”

“ไม่เชิงค่ะ พวกเราร่วมมือกับกองกำลังเทียนเว่ยจัดการพวกมันจนหมดสิ้น และยังฆ่าพวกมันได้อีกหลายตน”

“โอ้ แล้วกองกำลังเทียนเว่ยล่ะ เสียหายมากรึเปล่า”

“ท่านพ่อ ท่านอาจไม่เชื่อในสิ่งที่ข้าจะพูด แต่ทุกคนในกองกำลังเทียนเว่ยล้วนแล้วแต่ปลอดภัยทั้งหมด”

“ห้ะ”

เมื่อได้ยินแบบนี้แม้แต่เว่ยหยวนตี้ก็ยังตกตะลึง

ในตึกจอมพลเหมันต์จันทรานั้น กองกำลังเทียนเว่ยไม่ใช่กองกำลังที่แข็งแกร่งแต่อย่างใด จะบอกว่าเป็นกองกำลังที่อ่อนแอที่สุดเลยก็ว่าได้

แต่เขานั้นไม่คิดมาก่อนว่าจางหยวนและพวกนั้นจะอยู่รอดกลับมาอย่างปลอดภัยครบถ้วนสมบูรณ์ดี นี่เป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อได้

“เร็วเข้า พาพ่อไปหาจางหยวนและพวกเดี๋ยวนี้”

เว่ยหยวนตี้ได้พูดออกมาอย่างตื่นเต้นยินดีพลางกึ่งจูงกึ่งลากลูกสาวของตนไปยังกองกำลังเทียนเว่ย แม้แต่จ้าวลี่และหลิวตันเองก็อดที่จะตามไปด้วยเสียมิได้

เมื่อจางหยวนได้เห็นเว่ยหยวนตี้และลูกสาวพร้อมกับผู้การร่วมของสองตึกที่ติดตามมาข้างหลัง ทุกคนจึงรีบกล่าวทักทายในทันที

“สมาชิกกองกำลังเทียนเว่ยแห่งตึกจอมพลเหมันต์จันทรา ทำความเคารพผู้การร่วม นายพลเว่ย นายพลจ้าว นายพลหลิว”

“พอแล้ว ไม่ต้องมากพิธี”

เว่ยหยวนตี้ได้มองไปที่จางหยวนและเจิ้งยี่ พร้อมกับสมาชิกอีกสิบคนที่อยู่ข้างหลัง ก่อนที่จะพยักหน้าขึ้นมาอย่างพึงพอใจ

“ดี ดี ดี สมแล้วที่เป็นกองกำลังเทียนเว่ย”

“ในครั้งนี้ไม่เพียงพวกเจ้าจะกลับมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ดี ดูเหมือนว่าพวกเจ้าทุกคนจะมีระดับการบ่มเพาะที่สูงมากขึ้น”

นั่นก็เพราะ นอกจากเม่ยหลัวหลัน หลู่จี้ และต้าหลู่แล้ว คนที่เหลือต่างก็อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงด้วยกันทั้งหมด

ถึงแม้กองกำลังเทียนเว่ยจะมีคนในกองกำลังไม่เยอะ แต่กับผลลัพธ์ในตอนนี้นั้นกลับเกินกว่ากองกำลังใหญ่ไปเรียบร้อยแล้ว

“ทำได้ดีมาก”

เมื่อได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของคนในกองกำลังเทียนเว่ยแล้ว แม้แต่ผู้การร่วมแห่งกองกำลังภาคกลาง จ้าวลี่ก็ยังนึกอิจฉาเสียไม่ได้

“เจิ้งยี่ ชายแก่คนนี้เองก็เห็นถึงความสามารถของเจ้ามาตั้งแต่สามปีก่อนแล้ว อย่างที่คิดเอาไว้ เจ้าไม่ทำให้ข้าต้องผิดหวัง ในช่วงสามปีมานี้เจ้าเปิดจุดลมปราณได้ถึงสามสิบเอ็ดจุดแล้ว เจ้าช่างเป็นอัจฉริยะที่หาได้อย่างยิ่งจริงๆ”

“ตอนนี้ข้าขอเสนอเรื่องนี้อีกครั้ง ข้าอยากจะให้เจ้านั้นเป็นกัปตันของกองทหารองครักษ์ของข้า หวังว่าเจ้าคงไม่คิดจะปฏิเสธอีกนะ”

“เจ้าควรรู้ไว้ว่าตึกจอมภาคกลางนี้คือสถานที่ที่ดีที่สุดและเหมาะสมกับผู้มีความสามารถเลิศล้ำเช่นเจ้า ด้วยความสามารถที่เลิศล้ำนี้ เจ้าจะกลายเป็นราชาคนใหม่ได้เพียงเวลาไม่กี่ปี”

เมื่อได้ยินจ้าวลี่พูดออกมาแบบนี้ เว่ยหยวนตี้แทบจะทรุดในทันที ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีความสุขเมื่อได้ยิน แต่เขาเองก็ไม่อาจจะทัดทานคำขอนี้ได้ ทำได้เพียงยืนเฉยๆไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้

จางหยวนและคนกองกำลังเทียนเว่ยคนอื่นที่ได้ยินก็อดที่จะมองเจิ้งยี่อย่างอยู่ไม่สุขเสียมิได้

บอกตามตรงแล้ว สิ่งที่จ้าวลี่เสนอนี้เป็นสิ่งที่ยั่วยวนจนไม่ว่าใครก็ยากจะปฏิเสธ

อย่างไรก็ตาม จางหยวนนั้นไม่ได้รู้ว่าเจิ้งยี่เองนั้นเป็นคนเช่นไร เขาถึงกับกล่าวคำสัตย์สาบานต่อเฉินเฉียงด้วยซ้ำว่าต่อให้เขาตาย เขาก็จะตายในนามของนักรบแห่งกองกำลังเทียนเว่ย

และเป็นดังที่ว่า เพียงสิ้นเสียงคำพูดของจ้าวลี่ เจิ้งยี่ได้ยืนตัวตรงและโค้งให้อย่างเคารพ “ขอขอบคุณท่านนายพลจ้าว ข้านั้นรู้สึกยินดียิ่งที่ได้รับคำชวนของท่าน แต่ ข้า เจิ้งยี่ ได้ให้สัตย์สาบานไว้แล้วว่าจะเข้าร่วมเพียงกองกำลังเทียนเว่ยเพียงเท่านั้น และไม่คิดแยกจากไปไหน ดังนั้น โปรดให้อภัยคนต่ำต้อยเช่นข้าด้วย”

“ฮี่ฮี่ฮี่ ไม่มีปัญหา ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ต้องกังวลอะไร”

ถึงจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ใบหน้าของจ้าวลี่นั้นบูดบึ้งอย่างที่สุด

หลังจากโดนปฏิเสธถึงสองครั้งสองครา แน่นอนว่าจ้าวลี่ ในฐานะผู้การร่วมแห่งตึกจอมพลภาคกลางย่อมถือได้ว่าเสียหน้าอย่างที่สุด

ในช่วงเวลาที่น่าขื่นขมนี้เอง ตัวแทนสภาสูงภาคกลาง ฮั่นจุยได้เดินเข้ามา

“ผู้การร่วม จำนวนนักรบที่เหลือในแต่ละตึกจอมพลเป็นยังไงบ้าง”

“พวกเรา ทำความเคารพผู้อาวุโสฮั่น”

ภายใต้การนำของเจ้าหลี่ ทุกคนในที่นี้ต่างทำความเคารพฮั่นจุยอย่างแข็งขัน จ้าวลี่ หลิวตัน และเว่ยหยวนตี้เองต่างรายงานการสูญเสียต่อฮั่นจุย

“โห่ ไม่เลว เทียบกับครั้งก่อนแล้วครั้งนี้ยังดีกว่านัก”

เป็นตอนนี้ที่สายตาฮั่นจุยได้เหลือบไปมองที่เว่ยฉิงเชินที่อยู่ข้างหลัง

“ฮื้ม นั่นมันอัจฉริยะแห่งเผ่าพันธุ์ไม่ใช่เหรอ เว่ยฉิงเชินสินะ ออกมาหาข้าหน่อยสิ”

เว่ยฉิงเชินนั้นความจริงแล้วรังเกียจฮั่นจุยด้วยใจจริง แต่เว่ยหยวนตี้นั้นรู้สึกภูมิใจที่ได้ยินจนผลักลูกสาวของตนดันขึ้นหน้าไป

“ผู้อาวุโสฮั่น สวัสดียามเช้าค่ะ”

เว่ยฉิงเชินบังคับตัวเองให้ก้มหัวบังคับพลางถอยหลังกลับมา

ฮั่นจุยได้มองเธออย่างที่ถ้วนก่อนที่จะเอ่ยปากกล่าวคำชมออกมา “ผู้การเว่ย เจ้านั้นให้กำเนิดลูกสาวที่ดียิ่งนัก”

“เพียงแค่สามปีเท่านั้นก็ก้าวเข้าไปอยู่ระดับกึ่งราชาได้แล้ว”

“ในมิติจักรพรรดินั่นคงมีเพียงไม่กี่คนที่เทียบเท่าเจ้าได้ซะกระมัง”

“ไม่เพียงเท่านั้นผู้อาวุโสฮั่น เมื่อพวกเราขึ้นไปบนบันไดสู่สรวงสวรรค์ในเขตแดนจักรพรรดินั้น เหล่านักรบทั้งหมดของสามเผ่าพันธุ์ที่ขึ้นไปถึงล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับเทียบเคียงกับระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงทั้งหมดทั้งสิ้น มีเพียงคุณหนูเว่ยเท่านั้นที่อยู่ในระดับกึ่งราชา”

หลู่ฟางนั้นอยากจะปกป้องเว่ยฉิงเชินจึงได้ก้าวออกมารายงานและใช้ร่างบังนางเอาไว้

“ถูกต้อง ผู้อาวุโสฮั่น ข้าจดจำได้ว่ายามที่คุณหนูเว่ยขึ้นไปถึงนั้น แม้เธอจะขึ้นไปถึงเป็นอันดับสอง แต่นางกลับทรงพลังเหนือใคร”

กัวเหลียงได้ก้าวขึ้นหน้าออกมาพลางกล่าวเสริม

เว่ยฉิงเชินเองนั้นกลับรู้สึกกระดากอายขึ้นมาหลังจากถูกคนอื่นกล่าวชมตนต่อผู้คน

“นี่แสดงให้เห็นว่าในเหล่านักรบของทั้งสามเผ่าพันธุ์นั้นมีผู้มีความสามารถหลายคน ข้าเองก็เป็นเพียงหนึ่งในนั้นเท่านั้น”

“ฮ่าฮ่าฮ่า เว่ยหยวนตี้ เจ้าไม่เพียงจะมีลูกสาวที่มีความสามารถสูงล้ำ ยังเป็นคนถ่อมตนอีก นี่สิถึงเป็นอนาคตของมนุษยชาติ”

ยิ่งเห็นว่าฮั่นจุยอวยเธอมากเท่าไหร่ นี่ยิ่งทำให้เว่ยฉิงเชินกระดากอายมากขึ้นเท่านั้น

“อ้อ ใช่แล้ว ในครั้งนี้ตอนที่ขึ้นไปยังบันไดสู่สรวงสวรรค์นั่น มีใครที่ได้อะไรมาบ้างรึเปล่า”

ฮั่นจุยถามพลางมองไปที่เว่ยฉิงเชิน

จากมุมมองของฮั่นจุยแล้ว เว่ยชิงเฉินที่มีความสามารถสูงล้ำนี้สมควรจะได้รับอะไรกลับมาบ้าง หรือหากจะมีใครสักคนที่ได้ก็ควรจะไม่พ้นเว่ยฉิงเชิน

อย่างไรก็ตาม เป็นตอนนี้ที่ทุกคน รวมถึงฉิงเชิน จางหยวนและคนในกองกำลังเทียนเว่ยได้ก้มหัวกันหมดเมื่อได้ยินคำถามนี้

เมื่อได้ยินดังนี้ ฮั่นจุยก็ได้ยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ยังไงซะมันก็คือเขตแดนจักรพรรดิ และบันไดสู่สรวงสวรรค์นั่นก็ทำหน้าที่ของมันในการรักษาความลับได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด”

“อัจฉริยะนับไม่ถ้วนได้ขึ้นไปที่นั่นในช่วงหลายร้อยปีนี้ แต่ข้าเองก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครได้รับทรัพยากรที่เลิศล้ำกลับมา กับเรื่องนี้ พวกเจ้าไม่ต้องไปใส่ใจมากนัก”

อย่างไรก็ตาม เพียงสิ้นเสียงของฮั่นจุยที่พยายามปลอบทุกคน เขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นอยู่ไม่ไกล

“รายงานผู้อาวุโสฮั่น ผู้น้อยคนนี้ทราบว่าใครที่สามารถเข้าล้วงความลับของเขตแดนจักรพรรดิออกมาได้ ”

เมื่อฮั่นจุยได้ยินก็หันไปทางต้นเสียงแล้วถามออกมา “ใครพูด ออกมาที่นี่เดี๋ยวนี้แล้วพูดให้กระจ่างซะ”

ทุกคนต่างก็หลีกทางไปข้างๆ เป็นเฉียวกังที่ตอนนี้ทำตัววางท่าใหญ่โต เขาได้ก้มหัวให้แล้วพูดออกมา “ผู้น้อย เฉียวกัง คนของตึกจอมพลภาคกลาง”

“โอ้…”

ฮั่นจุยหันไปมองจ้าวลี่

จ้างหลี่สับสนในทันใด

ที่ผ่านมานั้น ด้วยการที่เฉียวกังไปหาเรื่องเฉินเฉียงประดุจดั่งคู่แค้นแต่ชาติปางก่อน จ้าวลี่รับรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ในตอนนั้น เพื่อให้เหล่านักรบของกองกำลังอื่นที่โดนหางเลขไปด้วยและโกรธเคืองสงบลง จ้าวลี่ไม่มีทางเลือกจึงต้องปลดเขาออกจากตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์

ไม่คิดว่าในเวลานี้ หลังจากกลับมาจากเขตแดนจักรพรรดิแล้ว ก่อนหน้านี้เฉียวกังเป็นเพียงสมาชิกในกองกำลังองครักษ์ทำให้จ้าวลี่ไม่ได้ใส่ใจอะไร ใครจะไปคิดว่าเฉียวกังนั้นอยู่ๆจะออกมาพูดในสิ่งที่ราวกับจะทำให้ผู้คนสะเทือนเลื่อนลั่นไปได้ในทันที

คนที่เข้าไปในเขตแดนจักรพรรดินั้น เมื่อออกมาแล้วไม่มีใครเลยที่ทำท่าว่าจะได้รับรู้ความลับของเขตแดน มีเพียงคนที่อยู่ในระดับสูงอย่างจ้าวลี่เท่านั้นที่ได้ยินเรื่องนี้

นั่นก็เพราะเรื่องนี้จะทำให้บังเกิดสงครามการต่อสู้ระหว่างสามเผ่าพันธ์ุกันอย่างเป็นบ้าเป็นหลังอย่างแน่นอน

นั่นก็เพราะมีเพียงผู้ชนะเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้ครอบครองความลับนี้

ยิ่งไปกว่านั้นคือ ทุกๆครั้งที่เขตแดนจักรพรรดิได้เปิดออก ทั้งสามเผ่าพันธุ์นั้นจะให้คนของตนขึ้นไปที่นั่นและเมื่อผู้คนของตนออกมา ย่อมต้องสอบถามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบนปลายบันไดสู่สรวงสวรรค์

ดังนั้น เมื่อฮั่นจุยได้เหลือบมองไปที่จ้าวลี่ จ้าวลี่ได้คิดเล็กน้อยก่อนที่จะดึงเฉียวกังออกมาแล้วพูดออกไป “ผู้อาวุโสฮั่น เฉียวกังเป็นหนึ่งในคนของตึกจอมพลภาคกลางของพวกเรา เขารั้งตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์อยู่ ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้หวังไว้กับเด็กหนุ่มคนนี้ไว้สูงมาก และข้าเชื่อว่าในอนาคตเขาจะต้องสร้างคุณประโยชน์ให้กับมนุษยชาติได้อย่างแน่นอน”

ฮั่นจุยเมื่อได้ยินก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เฉียวกังสินะ เจ้า รีบพูดออกมาเร็วๆเข้า เรื่องที่เจ้ารู้ว่าใครกันที่ค้นพบความลับของบันไดสู่สรวงสวรรค์ ใครกัน เผ่าพันธุ์ไหนล่ะ สัตว์ประหลาดหรือมนุษย์กลายพันธุ์”

“รายงานผู้อาวุโสฮั่น คนคนนั้นอยู่ที่นี่ เขาเป็นคนของกองกำลังเทียนเว่ย”

“ว่าไงนะ”

เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว ฮั่นจุย เว่ยหยวนตี้และคนที่อยู่ในตำแหน่งระดับสูงต่างก็หันไปหาเจิ้งยี่ จางหยวน และคนอื่นๆในกองกำลังเทียนเว่ยในทันที

นอกจากเม่ยหลัวหลันและอีกสามคนที่อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางแล้ว คนที่รับรู้ความลับนี้มาควรจะเป็นอีกแปดคนที่เหลือ

เมื่อได้ยินคำพูดของเฉียวกังแล้วนั้น คนในกองกำลังเทียนเว่ยต่างก็มองหน้ากันไปมาในทันที พวกเขาทำท่าราวกับไม่รู้เรื่องนี้แล้วพูดออกมา “ข้าไม่เห็นรู้เลยว่าคนในกองกำลังของข้านั้นมีคนรับรู้ความลับของบันไดแห่งสรวงสวรรค์ นี่เจ้ามั่วรึเปล่า”

เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว ฮั่นจุยก็ทำได้เพียงหันไปมองเฉียวกังแล้วถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “เฉียวกัง อย่าให้ข้าต้องคาดเดา บอกมาว่าคนผู้นั้นเป็นใคร”

“ได้ครับท่าน” เฉียวกังเองก็ได้วางท่าต่อหน้าจางหยวน ก่อนที่จะพูดออกมา “ไม่สิ นายพลของกองกำลังเทียนเว่ยหายไปคนหนึ่ง คนที่พบเป็นมันผู้นั้น กัปตันของพวกมัน เฉินเฉียง”

“คุณหนูเว่ยและจางหยวนเองก็เห็นว่าเป็นเฉินเฉียงที่ได้รับความลับของบันไดสู่สรวงสวรรค์ในตอนนั้น”

“จางหยวน กัปตันของแกเฉินเฉียงมันไปอยู่ที่ไหน”

“เจ้าคิดจะหากัปตันข้าเหรอ” จางหยวนถามออกมา “เฉียวกัง หากเจ้าคิดจะหากัปตันของข้าก็คงต้องลองมองหาดูเองแล้วล่ะ เพราะตั้งแต่พวกข้าเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิ พวกเรานั้นรออยู่ที่ทางเข้าตั้งนานแต่สุดท้ายจนทางเข้าเขตแดนปิดลงไป กัปตันของเราก็ไม่ได้เข้ามา ท้ายที่สุดแล้วเมื่อกัปตันไม่ได้เข้ามา พวกเราจึงต้องเคลื่อนไหวกันเองเพียงเท่านั้น”

“แล้วไอ้เรื่องที่เจ้าบอกว่าเห็นกัปตันของพวกเรานั้นมันจะเป็นไปได้ยังไง”

“หากกัปตันเข้าไปในเขตแดนจริง ทำไมเขาไม่ติดต่อพวกเรา”

“หากเจ้าไม่เชื่อ เจ้าก็ถามคนอื่นในกองกำลังของข้าดูก็ได้”

“แล้วถ้าหากเจ้ายังไม่เชื่ออีก เจ้าสามารถถามศิษย์พี่หลู่และคุณหนูเว่ยก็ได้ พวกเขาเองก็ร่วมเดินทางกับข้านานพอดูอยู่เหมือนกัน”

“ใช่ เฉียวกัง นี่เจ้าเสียสติหรือไง หรือคิดจะหาเรื่องกัปตันของเราอีก”

เมื่อเห็นจางหยวนและคนอื่นปฏิเสธ เฉียวกังได้ตะคอกออกมา “พวกแกโกหก ไม่เพียงข้าจะเห็นเฉินเฉียงในเขตแดนจักรพรรดิแล้ว ข้ายังรู้ความลับที่ใหญ่หลวงของมันอีกด้วย”