บทที่ 248 ข้างๆคูๆ

โอกาสที่เฉียวกังจะได้แก้แค้นก็มาถึง

เมื่อเห็นว่าเฉียวกังทำท่าทางโอหังอย่างเกินการ คนของกองกำลังเทียนเว่ยเองก็ได้โกรธเคืองขึ้นมาในทันที

“เฉียวกัง พวกเรารู้ว่าเจ้านั้นยังแค้นเรื่องที่กัปตันของพวกเรารายงานเรื่องของเจ้าในวันนั้นอยู่นะ”

“ในวันนั้นตัวเจ้าไม่แยแสต่อความปลอดภัยของนักรบเผ่าพันธุ์เดียวกัน แล้วจัดการซื้อกำไลสื่อสารทั้งหมดในเมืองไปพังทิ้งเล่น”

“ในตอนนั้นข้าก็นึกว่าเจ้าได้บทเรียนจากท่านจ้าวไปแล้ว และคิดจะปรับปรุงตัวหลังจากผ่านเหตุการณ์นั้นไป นึกไม่ถึงว่านอกจากเจ้าจะไม่รู้สำนึกแต่ยังมีหน้ามากล่าวหากัปตันของพวกเราอีก”

“ก็ดี ในวันนี้มีผู้อาวุโสฮั่นแห่งสภาสูงภาคกลางอยู่ที่นี่ ข้าหวังว่าผู้อาวุโสฮั่นจะให้โอกาสกัปตันของเราและลงทัณฑ์ไอ้ขยะแห่งเผ่าพันธุ์เช่นเจ้า”

“ถูกต้อง ท่านผู้อาวุโสฮั่น ก่อนที่พวกเราจะเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดินั้น เขาได้สังหารสายลับของมนุษย์กลายพันธุ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์จากหลายสำนักศึกษา ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่าเฉียวกังนั้นจะมากล่าวหาว่ากัปตันของเราราวกับว่าเขาเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ในวันนี้ นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน”

“เฉียวกัง เจ้าคิดจะบอกว่ากัปตันของพวกเราเป็นมนุษย์กลายพันธุ์สินะ ข้าบอกได้เลยว่าเจ้าต่างหากที่เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ โดยเฉพาะไอ้ปากแดงๆและฟันขาวๆนั่นที่พูดกล่าวหาพวกเรา”

“โปรดให้ความเป็นธรรมแก่กัปตันของพวกเราด้วยครับท่านผู้อาวุโสฮั่น หากว่ากัปตันของพวกเราไม่ได้รับความอยุติธรรมโดยไอ้ตัวโสโครกแห่งเผ่าพันธุ์แบบนี้อยู่เรื่อยๆแล้วล่ะก็ พวกเราเองคนไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรอีกต่อไป”

แต่ละคนในกองกำลังเทียนเว่ยนั้นเริ่มออกมาพูดด่าทอเฉียวกังอย่างเป็นทิวแถว นี่ทำให้แม้แต่เว่ยหยวนตี้เองนั้นก็อดไม่ได้ที่จะออกมาพูดด้วยเหมือนกัน “ถูกต้องแล้วท่านผู้อาวุโสฮั่น ไม่ว่ายังไงก็ตาม เฉินเฉียงคือวีรบุรุษแห่งเผ่าพันธุ์ผู้ได้สังหารสายลับของพวกมนุษย์กลายพันธุ์อย่างมากมายหลายครั้งหลายหน แล้วเราจะปล่อยให้ชื่อเสียงของเขาต้องแปดเปื้อนได้ยังไงกัน โดยเฉพาะกับคนเผ่าพันธุ์เดียวกัน”

เว่ยฉิงเชินได้ยืนขึ้นข้างพ่อของตนแล้วชี้ไปยังเฉียวกังอย่างโกรธเคืองราวกับจะลงไม้ลงมือ “เฉียวกัง ในตอนที่อยู่เขตแดนจักรพรรดินั้น เจ้าแค้นเคืองข้าที่ไปร่วมมือเปิดเผยตัวตนของหลินฟานในงานประลองสี่สำนักใช่ไหมล่ะ ทำให้เจ้านั้นไม่ช่วยเหลือพวกข้าเพื่อเป็นการแก้แค้นข้าคืน คนเช่นเจ้านั้นมันเลวร้ายและไร้ค่าเกินกว่าที่จะเรียกว่านักรบของเผ่าพันธุ์”

ในตอนนี้เองที่กองกำลังต่างๆก็เริ่มด่าทอเฉียวกังออกมา พวกเขานั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เฉินเฉียงช่วยเอาไว้ในวันที่เกิดเรื่องกำไลสื่อสารและท้ายที่สุดทำให้พวกเขานั้นได้กำไลสื่อสารไปฟรีๆ

ด้วยการที่การทำตัวของเฉียวกังนั้นไม่เป็นที่ต้องตาของใครอยู่แล้ว ในตอนนี้เองก็ทำให้เขานั้นพูดไม่ออกราวกับเป็นคนก่ออาชญากรรมไปเสียอย่างนั้น

“เอาล่ะ”

ในที่สุดฮั่นจุยก็ได้พูดออกมา

ทุกคนต่างเงียบลงในทันทีและรอคอยให้ฮั่นจุยพูดออกมา

ท่าทางของฮั่นจุยยังคงสงบนิ่งในขณะที่มองดูไปยังเฉียวกัง ไม่มีใครบอกได้ว่าเขานั้นกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

อย่างไรก็ตาม เป็นตอนนี้ที่ทุกคนเริ่มจำได้ว่าเฉินเฉียงและฮั่นจุยนั้นมีเรื่องกันต่อหน้าทุกคน

อย่างไรก็ตาม พวกเขานั้นไม่รู้ว่าฮั่นจุยผู้มาจากสภาสูงภาคกลางผู้นี้จะถืองานเป็นสำคัญ หรือแค้นส่วนตัวเป็นที่ตั้ง

แต่เดิม ฮั่นจุยเองนั้นก็เกือบจะลืมเรื่องของชายหนุ่มที่เขาเกลียดชังอย่างหมดใจนี่ไปแล้ว นั่นก็เพราะยังไงซะเขาก็เป็นถึงคนใหญ่คนโตของสภาสูงภาคกลาง

แต่ด้วยการที่เว่ยฉิงเชินนั้นออกหน้ามาปกป้องขนาดนี้ นี่ยิ่งทำให้ฮั่นจุยรู้สึกรำคาญและหมั่นไส้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

กับอีแค่นายพลวิญญาณขั้นกลางคนหนึ่งจะไปเป็นอัจฉริยะแห่งเผ่าพันธุ์ได้ยังไง

หากนับว่านั่นคืออัจฉริยะ เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็คงจะมีอัจฉริยะอย่างมากล้นแล้วกระมัง

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเว่ยฉิงเชินนั้นจะเห็นค่าในตัวไอ้หนุ่มนี่มากนัก ถึงขั้นออกโรงปกป้องอยู่บ่อยครั้ง นี่หมายความว่ายังไงกัน

และนี่ทำให้ฮั่นจุยคิดว่าจะใช้คำพูดของเฉียวกังนี้ในการจัดการเฉินเฉียง นั่นก็เพราะหากเขาไม่อาจจะรินน้ำสกปรกอย่างเฉินเฉียงออกไปได้ เขาก็คงไม่สบายใจอีกต่อไป นี่แสดงให้เห็นว่าฮั่นจุยเองก็แค้นฝังลึกในตัวเฉินเฉียงมากนัก

เมื่อคิดได้แบบนี้แล้ว ฮั่นจุยก็ได้พูดออกมาราวกับไม่แยแสอะไรบางอย่าง “เฉียวกัง เจ้าบอกว่าเฉินเฉียงเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ นี่มันหมายความว่ายังไง”

เพื่อไม่ให้ทุกคนเข้าใจว่าเขานั้นเป็นคนเช่นไร ฮั่นจุยจึงแสร้งไต่ถามออกมาราวกับเป็นคนที่มีความยุติธรรม ก่อนที่จะอธิบายให้ทุกคนฟังเพิ่มเติม “ทุกคน อย่าพึ่งเข้าใจผิดไป ยังไงซะนี่ก็คือเรื่องของสายลับในเผ่าพันธุ์ ไหนจะเรื่องความลับของบันไดสู่สรวงสวรรค์นั่นอีก”

“แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ทุกคนอย่าได้กังวล หากว่าพิสูจน์ได้ว่าเฉียวกังนั้นใส่ร้ายคนดี ข้าให้คำมั่นว่าเฉียวกังจะไม่ได้มีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน”

“แต่…” เว่ยชิงเฉินราวกับจะพูดอะไรบางอย่างแต่ถูกหลู่จี้ห้ามเอาไว้

“ผู้อาวุโสฮั่นเป็นถึงผู้มีตำแหน่งใหญ่โตแห่งสภาสูงภาคกลางอยู่แล้ว พวกเราย่อมเชื่อมั่นในตัวตนและการตัดสินใจของท่านว่าไม่ใช่คนที่เอนเอียงอย่างแน่นอน ผู้อาวุโสฮั่นโปรดสืบสวนเรื่องนี้และนำเกียรติยศกลับคืนมาให้กับกัปตันของพวกเราด้วยเถอะครับ”

เมื่อได้ยินคำกล่าวเยินยอของหลู่จี้แล้ว ฮั่นจุยเองก็พยักหน้าอย่างแข็งขัน ก่อนที่จะหันไปทางเฉียวกังแล้วพูดออกมา “เฉียวกัง บอกข้ามา เจ้ารับรู้สิ่งใด”

เฉียวกังเองนั้นมั่นใจว่าจะจัดการเฉินเฉียงได้จึงได้เดินออกไปตรงหน้าฮั่นจุยในทันที และเขาเชื่อว่าเมื่อฮั่นจุยได้ยินแล้วจะต้องเอนเอียงมาหาตนอย่างแน่นอน

เฉียวกังได้ยืดอกผายแล้วพูดออกมา “ผู้อาวุโสฮั่น ขอบคุณท่านที่ให้โอกาสผู้น้อยได้ทำคุณงามความดี”

“ในวันนั้น กองกำลังของข้าได้ถูกรายล้อมและโจมตีจากเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ ในขณะที่กำลังสับสนอลหม่านอยู่นั้น มีมนุษย์กลายพันธุ์ตนหนึ่งที่มีปีกกว้างเจ็ดไม่ก็แปดเมตรพุ่งตรงเข้ามาโดยไม่พูดพร่ำ มันได้โจมตีและสังหารมนุษย์กลายพันธุ์จนหมดสิ้น”

“ในตอนนั้นข้าเองก็สงสัยอยู่ว่าทำไมมนุษย์กลายพันธุ์ถึงได้มีความขัดแย้งภายในกันในตอนนั้น แต่เป็นตอนนั้นเองที่ข้าสังเกตเห็นว่ามนุษย์กลายพันธุ์นั่นเป็นเฉินเฉียง”

“ในตอนนั้นเองเฉินเฉียงก็เหมือนจะรับรู้การคงอยู่ของตัวข้าและไล่ตามมา ยังดีที่ข้าวิ่งเร็วพอและเฉินเฉียงมันก็ถูกรั้งไว้โดยมนุษย์กลายพันธุ์เช่นเดียวกัน นี่ทำให้ข้ารอดพ้นจากเงื้อมมือมันมาได้”

“ในตอนที่ขึ้นไปบนบันไดแห่งสรวงสวรรค์นั้น ข้านั้นไม่ได้พบเจอเฉินเฉียงที่ข้างบนนั่น ตอนแรกข้าก็เข้าใจว่าเฉินเฉียงมีระดับการบ่มเพาะที่อ่อนด้อยจนไม่อาจขึ้นมาบนปลายบันไดได้ เพราะคนที่ขึ้นมาบนปลายบันไดได้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นนายพลวิญญาณขั้นสูง”

“อย่างไรก็ตาม หลังจากพยายามไขความลับของบันไดสู่สรวงสวรรค์อยู่นานแต่ก็ไม่อาจหาคำตอบได้จนพวกเราถอดใจกันไปหมดแล้ว เป็นตอนนั้นที่มีใครบางคนพบร่องลายว่าเสาทั้งสี่ต้นนั้นมีความเชื่อมโยงกันบางอย่าง ก่อให้เกิดเขตแดนเล็กๆข้างในนั้น และในตอนที่ทุกคนได้พบเรื่องนั้นก็มีคนแปลกหน้ากระเด็นออกมาจากเขตแดนลึกลับนั่น”

“ในตอนนั้นไม่มีใครเลยรู้จักคนคนนั้น แต่ก็มีอย่างหนึ่งที่ข้าจดจำได้”

“นันก็เพราะคนคนนั้นหลังจากกระเด็นออกมาแล้วก็ได้กางปีกที่มีความยาวเจ็ดถึงแปดเมตร”

“และนั่นไม่ได้แตกต่างจากปีกของเฉินเฉียงแม้แต่น้อย”

“ด้วยปีกที่ผิดแผกนั่น ข้ามั่นใจว่านั่นต้องเป็นเฉินเฉียง”

“เดี๋ยวนะ” เมื่อได้ยินแบบนั้นแล้ว ฮั่นจุยก็อดที่จะขัดขึ้นมาเสียไม่ได้ “เฉียวกัง เจ้าหมายความว่าคนที่กระเด็นออกมาจากเขตแดนลึกลับนั่นได้รู้ความลับของบันไดสู่สรวงสวรรค์งั้นเหรอ”

“ถูกต้องแล้วครับท่านผู้อาวุโสฮั่น ในตอนนั้นพวกเราที่อยู่บนปลายบันไดนั้นไล่ตามมันไป แล้วไอ้ตัวน่ารังเกียจนั่นได้กางปีกที่ทรงพลังแบบเดียวกับเฉินเฉียงและหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย”

ฮั่นจุยได้หันไปมองหลู่ฟาง จางหยวนและพวกก่อนที่จะถามออกมา “สิ่งที่เฉียวกังพูดออกมาเป็นเรื่องจริงรึ”

จางหยวนได้ยืดอกตรงแล้วพูดออกมา “ผู้อาวุโสฮั่น ในส่วนของเรื่องที่เฉียวกังถูกช่วยด้วยกัปตันที่มันกล่าวอ้างนั้นพวกเราไม่ได้รับรู้ในเรื่องนั้นแต่อย่างใด แต่ในส่วนเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนปลายบันไดสู่สรวงสวรรค์นั้น พวกเราเห็นกับตาว่ามนุษย์กลายพันธุ์นั่นได้กางปีกที่มีความยาวกว่าเจ็ดถึงแปดเมตรนั่นจริง”

“แต่ที่เฉียวกังนั้นกล่าวอ้างว่าเป็นกัปตันของพวกข้านั้นไร้สาระอย่างที่สุด”

“หากว่าเป็นกัปตันจริง ทำไมพวกข้าจะไม่รู้”

“แล้วหากว่าเป็นเขาจริง ทำไมเขาถึงไม่ยอมติดต่อกับพวกเรา”

เป็นตอนนี้ที่เม่ยหลัวหลันได้ก้าวขึ้นหน้าแล้วพูดออกมา “เฉียวกัง นี่มันกล่าวหาพวกเราชัดๆ”

“ในตอนนั้นที่เราเห็นกันนั้นมองยังไงก็เป็นพวกมนุษย์กลายพันธุ์ แถมกัปตันของพวกเรานั้นยังเป็นเพียงแค่นายพลวิญญาณขั้นกลางเพียงเท่านั้น อย่าว่าแต่ข้าเลย แม้แต่นักรบคนอื่นก็เห็นว่ามนุษย์กลายพันธุ์ตนนั้นมีลิ้นทีแหลมคม หน้าอย่างกับลิง แถมยังมีหนึ่งในพวกมันเรียกมันว่าหลิวหลางอีก แล้วจะเป็นกัปตันของพวกเราได้อย่างไร”

“ยิ่งไปกว่านั้นคือข้าจดจำได้ว่ามีไอ้พวกมนุษย์กลายพันธุ์ที่มีพลังเหนือมนุษย์ที่เรียกว่าแปลงโฉมพันหน้าอยู่ในหมู่พวกมัน”

“โฮ่ ไม่เลว นี่เจ้ารู้จักมนุษย์กลายพันธุ์ประเภทนั้นด้วยรึนี่ ดูเหมือนว่าเฉียวกังเองต่างหากที่เป็นฝ่ายถูกหลอกสินะ”

เหมือนเห็นสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ยิ่งปล่อยให้ผ่านเลยไปก็ยิ่งเสียเปรียบมากขึ้น นี่ทำให้เฉียวกังนั้นหน้าซีดราวกับไก่ต้มแล้วพูดออกมา “เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้ ข้ามองอย่างกระจ่างชัดว่าเป็นเฉินเฉียงอย่างแน่นอน ข้ามองมันในวันนั้นข้าเองยังจดจำสายตาที่เกลียดชังของมันได้อยู่เลย”

“พูดบ้าอะไรของเจ้าเนี่ย เฉียวกัง เจ้าจะบอกว่าเมื่อมนุษย์กลายพันธุ์ทั่วไปแล้วเจ้าจะบอกว่าพวกมันยิ้มให้เจ้ารึไงกัน นี่เจ้าคิดว่าเจ้ามีเสน่ห์เหนือความเกลียดชังรึไง หรือว่าเจ้าเองต่างหากที่เป็นพวกเดียวกับมัน”

“จริงด้วย เฉียวกัง เจ้าต้องการฆ่ากัปตันของพวกเราให้จงได้สินะ ใครจะรู้ ดีไม่ดีเป็นเจ้าต่างหากที่ต้องการสร้างผลงานให้กับไอ้พวกนั้น”

“ไม่จริง” เฉียวกังตอบปฏิเสธทันควันแล้วพูดออกมา ก่อนที่จะชี้หน้าจางหยวนแล้วพูดออกมา “จางหยวน เจ้าบอกว่ากัปตันของเจ้าไม่ได้เข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิ แล้วตอนนี้กัปตันของพวกเจ้าไปอยู่ไหนกัน”

จางหยวนและพวกมองหน้ากันในทันทีเมื่อได้ยิน นี่ทำให้เฉียวกังนึกว่าตนชนะจึงได้แสดงออกมาด้วยท่าทางมีความสุข

“ฮ่าฮ่าฮ่า จางหยวน พวกเจ้าพูดกันไม่ออกล่ะซี่”

ฮั่นจุยในตอนนี้ได้เดินตรงไปยังจางหยวนแล้วพูดออกมา “จางหยวน ในเมื่อพวกเจ้าออกมาแล้วทำไมไม่เรียกกัปตันของเจ้าให้มาพบกันล่ะ หากเป็นแบบนั้นจะได้รู้กันไปเลย”

ความจริงก็คือเขานั้นต้องการจะรู้ว่าเฉินเฉียงหลุดรอดพ้นไปจากมือของเขาในตอนนั้นได้ยังไง จึงได้ถามออกมา

จางหยวนเมื่อได้ยินก็ทำได้เพียงเปิดกำไลสื่อสารแล้วส่งข้อความออกไป หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็ส่ายหัวและพูดออกมา “ขออภัยด้วยท่านผู้อาวุโสฮั่น กัปตันของพวกเราปิดกำไลสื่อสาร”

“ไม่ใช้กำไลสื่อสาร จางหยวน เจ้าหลอกพวกเราด้วยเรื่องนี้อ่ะนะ ในเมื่อกัปตันของพวกเจ้าไม่ได้เข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิแล้วมันจะปิดเครื่องไปทำหอกอะไร เป็นพวกเจ้าต่างหากที่โกหกอ้างไปเพื่อช่วยมัน”

“โกหกรึ” เจิ้งยี่ได้ยืดอกจ้องมองไปยังเฉียวกังแล้วพูดออกมา “ก่อนที่พวกเราจะเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิ กัปตันบอกกับข้าด้วยตัวเองว่าอาจารย์ของเขาไม่ยอมให้เขาเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิ นั่นทำให้เขาจำเป็นต้องปล่อยให้พวกเราเข้าไปในเขตแดนกันเองในวินาทีสุดท้าย กัปตันของข้าตอนนี้อาจจะยังบ่มเพาะกับอาจารย์ของเขาอยู่ก็ได้ถึงไม่เปิดเครื่องน่ะ”

“โอ้ ถ้าอย่างนั้นก็ง่ายเลย เว่ยหยวนตี้ ไม่ใช่ว่าเจ้าเฉินเฉียงนั่นเป็นศิษย์สำนักเต่าดำหรอกรึ งั้นก็ติดต่อไปยังสำนักเต่าดำแล้วบอกเฉียนฝู่ให้นำตัวเฉินเฉียงมาให้ข้าเดี๋ยวนี้”

เมื่อเว่ยหยวนตี้ได้ยิน เขาก็ค่อยๆเดินตรงไปหาฮั่นจุยแล้วพูดออกมา “ผู้อาวุโสฮั่น เข้าว่าอาจารย์ที่เจิ้งยี่กล่าวอ้างนั้นคงไม่ใช่อาจารย์ที่สำนักเต่าดำหรอก ไม่งั้นเขาคงถึงไม่ขนาดต้องปล่อยกองกำลังของตนเข้าไปเผชิญหน้าในเขตแดนโดยไม่มีเขาหรอกครับ”

“นี่เจ้าหมายความว่าเฉินเฉียงมีอาจารย์คนอื่นรึ มันเป็นใครมาจากไหนก็ช่าง ไปลากคอมันมาให้ได้” ฮั่นจุยขมวดคิ้วแน่นและตะคอกออกมา

“เรื่องนี้….”

เว่ยหยวนตี้ลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะลอบส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณคุยกับฮั่นจุย -ผู้อาวุโสฮั่น ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าอาจารย์ของเฉินเฉียงจะเป็นใคร แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าแน่ใจคือเขาน่าจะเป็นคนของฮุยตู๋-

-ห้ะ ฮุยตู๋-

เมื่อฮั่นจุยได้ยินแล้วนั้น จากความโกรธเกรี้ยวก่อนหน้านี้ก็เปลี่ยนเป็นใบหน้าที่ซีดเผือดในทันทีเมื่อได้ยิน

เขาไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเฉินเฉียงยังคงสงบอยู่ได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสจากสภาสูงภาคกลางแบบเขา

เป็นเพราะไอ้เด็กเวรนั่นมีเบื้องหลังที่หนักแน่น

สำหรับคนระดับเขาแล้วนั้นย่อมรู้ดีว่าคนของฮุยตู๋นั้นมีความแข็งแกร่งขนาดไหน ต่อให้ไม่ต้องบอกซ้ำ แต่ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสแห่งสภาสูงภาคกลางนั้น ต่อให้เข้าต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์ก็ที่อยู่ในระดับเดียวกันก็ยังไม่อาจเทียบได้กับคนของฮุยตู๋

เมื่อคิดได้แบบนี้ ฮั่นจุยก็ได้หันไปสบถใส่เฉียวกังในทันใด “เฉียวกัง จากความเห็นของข้านั้นเจ้าโกหกอย่างข้างๆคูๆ เจ้าใส่ร้ายคนดีโดยไม่มีแม้แต่หลักฐาน ดูเหมือนว่าการลงทัณฑ์เจ้าน่าจะยังไม่สาสมในสิ่งที่เจ้ากระทำด้วยซ้ำ”

เฉียวกังที่แต่เดิมคิดว่าจะได้เห็นฉากดีๆตรงหน้า เมื่อเห็นว่าฮั่นจุยนั้นกลับแสดงออกมาว่าเกลียดชังอย่างที่สุดราวกับพลิกฝ่าเท้าอย่างคาดไม่ถึง นี่ทำให้เขานั้นต้องคิดหาทางเล่นงานเฉินเฉียงในทางอื่นขึ้นมาในทันที และเพียงชั่วพริบตา เขาก็คิดออกมาได้

“เดี๋ยวก่อน ท่านผู้อาวุโสฮั่น ข้ายังมีหลักฐาน”

“หลักฐานรึ” ฮั่นจุยไม่ต้องการที่จะตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับองค์กรที่ทรงพลังอย่างฮุ่ยตู๋เพียงเพราะความแค้นส่วนตัวระหว่างเฉินเฉียงและเฉียวกังอีกต่อไป แต่เดิม เขาคิดว่าจะรีบๆลงเฉียวกังให้มันจบๆเรื่องไป นึกไม่ถึงว่าเฉียวกังจะยังไม่ยอมแพ้ แถมยังคิดจะนำหลักฐานอื่นออกมาต่อหน้าทุกคนอีก

“ใช่แล้วครับ ท่านผู้อาวุโสฮั่น” ข้าคิดว่าเฉินเฉียง จางหยวนและคนในกองกำลังนั้นคิดแก้ต่างเอาไว้แล้ว แต่ยังไงซะความจริงนั้นพวกมันต้องมีการติดต่อกันเมื่ออยู่ในเขตแดนจักรพรรดิอย่างแน่นอน

“ตราบใดที่พวกเราตรวจสอบกำไลสื่อสารของจางหยวนและพวกแล้วล่ะก็ พวกเราย่อมเห็นร่องรอยการติดต่อสื่อสารกันในช่วงสามปีนี้อย่างแน่นอน ไม่ว่ายังไงเพียงแค่เห็นพวกเราก็ต้องรู้”

เฉียวกังนึกความคิดนี้ขึ้นมาได้ในทันที และเป็นตอนนี้ที่ผู้คนโดยรอบเริ่มคุยกันในเรื่องนี้

ยังไงซะตลาดสามปีมานี้ หากว่ากองกำลังเทียนเว่ยได้พูดคุยกับหัวหน้าของตนย่อมต้องเหลือร่องรอยในกำไลสื่อสารอยู่บ้าง

เมื่อจางหยวนและพวกได้ยินแล้วใบหน้าก็เปลี่ยนไปในบัดดล นั่นก็เพราะโชคดีที่พวกเขานั้นได้รับการแนะนำจากเฉินเฉียงมาแล้วเกี่ยวกับการลบข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเฉินเฉียง ไม่อย่างนั้นในวันนี้พวกเขาคงยากจะหลุดพ้น

แต่เมื่อเฉียวกังได้เห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของจางหยวนและพวกแล้วนั้นกลับคิดไปอีกทางจนทำให้ใจชื้นขึ้นมา

เมื่อเห็นจางหยวนและพวกใบหน้าสงบนิ่ง นี่แสดงให้เห็นเขานั้นพูดถูกต้องแล้วจนทำให้พวกมันนั้นต้องอยู่กันไม่สุขเป็นแน่

ผู้คนที่อยู่โดยรอบเมื่อเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของสมาชิกกองกำลังเทียนเว่ยแล้วนั้นต่างก็คิดว่าจางหยวนและพวกกำลังเข้าตาจน

“เฉียวกัง…..นี่มันมากเกินไปแล้วนะโว้ย เจ้าสร้างเรื่องวุ่นวายให้พวกข้าอย่างมากมายขนาดนี้นี่มันใส่ความกันเห็นๆ”

“จริงด้วย แกเป็นใครกันทำไมพวกข้าต้องให้แกตรวจสอบข้อมูลปฏิบัติการของพวกเราด้วย ห้ะ”

“เฉียวกัง ไอ้ตัวกะโหลกกะลาอย่างแกเนี่ยนะจะมาขอดูข้อมูลปฏิบัติภารกิจ ฝันไปเถอะโว้ย พวกข้าคือนักรบแห่งเผ่าพันธุ์ที่ทำงานอันทรงเกียรติในฐานะทหารหาญกล้า แล้วคนอย่างเจ้ามีสิทธิอะไรที่จะมาตรวจสอบข้อมูลของพวกเรา”

การแสดงออกของจางหยวนและพวกที่แสดงถึงความขุ่นเคืองใจในตอนนี้นั้นยิ่งทำให้เฉียวกังคิดว่าจางหยวนและพวกจนปัญญาเข้าไปอีก เขาจึงรีบเข้าไปขอร้องฮั่นจุยในทันที “ผู้อาวุโสฮั่น ดู……”

ถึงแม้ว่าฮั่นจุยจะรับรู้แล้วว่าเฉินเฉียงเกี่ยวข้องกับองค์กรฮุยตู๋จนเขาไม่คิดที่จะเข้าไปยุ่งกับเฉินเฉียงเพราะเฉียวกังอีกแล้วก็ตาม แต่ด้วยการที่เฉินเฉียงนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยถึงสามปีแล้วนั้นทำให้เขานั้นอดคิดไม่ได้จริงๆว่าเฉินเฉียงจะมีความสามารถเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิด้วยตัวคนเดียว

อย่างไรก็ตาม เพื่อแสดงให้เห็นถึงความใจกว้างประดุจแม่น้ำและมหาสมุทร เขาได้มองไปยังเว่ยหยวนตี้ หลิวตัน และจ้าวลี่แล้วถามออกมา “พวกเจ้าทั้งสาม พวกเจ้าคิดว่ายังไง”