บทที่ 249 ค้น

ต่อให้เว่ยหยวนตี้ไม่ได้ยินคำพูดนี้ยังไงซะเขาก็อยู่ฝั่งเฉินเฉียงอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือลูกสาวของเขาเองย่อมต้องมีปัญหาแน่ๆหากเขาคิดเป็นอื่น นี่จึงทำให้เขาพูดออกมาในทันที “ข้าคิดว่าควรทำตามที่เฉียวกังพูดซะ เรื่องมันจะได้จบๆไป”

คำพูดของเว่ยหยวนตี้แม้จะน้อยคำแต่ชัดเจนในความคิด เขาไม่เชื่อว่าเฉินเฉียงจะได้เหยียบย่างเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิมาก่อน

เขาเองก็ได้ยินมาตามน้ำเสียงของฮั่นจุยแล้วว่าไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเฉียวกัง ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกเขาก็เห็นกลับตาว่าเฉินเฉียงหายตัวไปในวันนั้นต่อหน้าต่อตาหลังจากเขตแดนได้ปิดตัวลง แล้วเขาจะเข้าไปในขณะที่ราชาทั้งสามแห่งสภาสูงไม่รับรู้ได้ยังไงกัน

ส่วนจ้าวลี่ในตอนนี้นั้นอยากจะหักคอเฉียวกังทิ้งเสียแต่ตรงนี้

อยู่ไอ้หมอนี่ก็ออกมากล่าวหาเฉินเฉียงทั้งๆที่ไม่มีอะไรในมือนอกจากปากเปล่า ไม่เพียงจะเดินเข้าหาความตายด้วยตัวเองแล้ว นี่ไม่ได้ต่างไปจากลากเขาไปตายด้วยเลยสักนิด

อย่างไรก็ตาม นี่เขาจะถือว่าเป็นความเมตตาสุดท้ายของเขาแล้ว หลังจากนี้เขาจะตัดขาดกับเฉียวกังในทันที โดยหวังเพียงว่าฮั่นจุยจะยังไม่รู้สึกแย่ในตัวเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เรียกได้ว่าการกระทำของเฉียวกังในครั้งนี้ไม่ได้ต่างไปจากการลากเขาเข้าไปในกองเพลิงแม้แต่น้อย

เมื่อคิดได้แบบนี้ จ้าวลี่ก็ได้พูดออกมา “ข้าคิดว่าจำเป็นต้องคืนความเป็นธรรมให้เฉินเฉียงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เราควรตรวจสอบกำไลสื่อสารซะ”

“ถูกต้อง ข้า หลิวตันเห็นด้วย”

เมื่อเห็นว่าผู้การร่วมจากสามตึกจอมพลเห็นด้วย ฮั่นจุยก็ได้พูดออกมา “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้า ในนามของผู้อาวุโสแห่งสภาสูงคงต้องขอล่วงเกินผู้การร่วมทั้งสามแล้ว”

เมื่อฮั่นจุยได้พูดจบลงก็พบว่าจางหยวนและพวกได้ส่งกำไลสื่อสารทั้งสิบสองเครื่องให้โดยไม่อิดออดแต่อย่างใด

“เฉียวกัง ในเมื่อเจ้าสงสัยนัก เจ้าก็เข้ามาสุ่มตรวจกำไลสื่อสารนี่ด้วยแล้วกัน ส่วนเครื่องที่เหลือข้าจะให้คนอื่นตรวจสอบ”

“ขอขอบคุณท่านผู้อาวุโสฮั่นที่เชื่อใจข้า”

เฉียวกังได้รับกำไลสื่อสารมาอย่างตื่นเต้นยินดี ก่อนที่จะเปิดกำไลสื่อสารและตรวจเช็กข้อมูลด้วยพลังจิตของตน

ในขณะเดียวกันฮั่นจุยก็ส่งกำไลสื่อสารอีกสิบเอ็ดเครื่องให้กับคนอื่นตรวจ

ผู้คนที่ตรวจสอบนี้ล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูง ถึงแม้ระดับพลังจิตจะไม่ได้ผิดแปลกจนถึงขั้นเฉินเฉียง แต่กับการตรวจสอบข้อมูลเล็กๆน้อยๆแบบนี้ย่อมไม่เกินมือ ถึงแม้ข้อมูลในกำไลสื่อสารนี้จะค่อนข้างเยอะเพราะกินเวลาถึงสามปี แต่พวกเขาก็ใช้เวลาตรวจสอบเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น

และผลก็คือ ไม่ได้มีข้อมูลเกี่ยวกับเฉินเฉียงเลยสักนิด

“เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้”

เฉียวกังในตอนนี้ได้แสดงออกราวกับคนบ้าเมื่อได้ตรวจสอบข้อมูลในกำไลสื่อสาร

ใบหน้าของเฉียวกังในตอนนี้ลนลานอย่างที่สุดในระหว่างการตรวจสอบกำไลสื่อสารอย่างบ้าคลั่ง

นี่เขาเห็นคนผิดจริงๆงั้นรึ

ต้องไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน

ท่าทางของเฉินเฉียงที่เขาได้พบเจอ มันทำแม้กระทั่งเรียกชื่อเขาออกมา ยังไงคนคนนั้นก็ต้องเป็นเฉินเฉียง

ต้องมีอะไรบางอย่างผิดพลาดแน่ๆ

เฉียวกังได้คิดอีกพักหนึ่งก่อนที่จะจ้องเขม็งไปที่จางหยวนและพวก

ในตอนนี้เฉียวกังก็ได้เหลือบไปมองแหวนเก็บของของจางหยวนด้วยแววตาที่ส่องประกาย

“ข้าเข้าใจแล้ว”

เฉียวกังลุกพรวดขึ้นจากพื้น ก่อนที่จะชี้ไปที่จางหยวนและตะโกนโหวกเหวกออกมา “ผู้อาวุโสฮั่น ข้ารู้แล้วว่าทำไมพวกมันถึงไม่ได้มีข้อมูลของเฉินเฉียงในกำไลสื่อสาร พวกมันต้องมีกำไลสื่อสารเฉพาะสำหรับสื่อสารกับเฉินเฉียงเป็นแน่”

ตราบใดที่ท่านค้นแหวนของจางหยวนและพวก ข้าเชื่อว่าต้องพบร่องรอยของเฉินเฉียงอย่างแน่นอน

เมื่อกองกำลังเทียนเว่ยทั้งกองกำลังได้ยินคำพูดนี้ ทุกคนต่างก็แสดงสีหน้าที่เหี้ยมเกรียมและเดินเข้าหาเฉียวกังด้วยท่าทางเอาเรื่อง

นี่ทำให้เฉียวกังนั้นมั่นใจอย่างที่สุดว่าสิ่งที่ตนคิดนั้นถูกต้องแล้ว

“ผู้อาวุโสฮั่น ท่านเห็นรึเปล่า จางหยวนและพวกมันกลัวจนลนลานไปหมดแล้ว มันต้องมีอะไรปิดบังเป็นแน่”

ฮั่นจุยและเว่ยหยวนตี้เองเมื่อเห็นท่าทางนี้แล้วก็อดเข้าใจผิดไม่ได้เช่นเดียวกัน อย่างน้อยๆพวกเขาต่างก็รู้แน่ว่าจางหยวนปิดบังอะไรบางอย่าง

หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย ฮั่นจุยก็ได้ยกมือให้สัญญาณแล้วพูดออกมา “ก็ได้ ค้นแหวนของกองกำลังเทียนเว่ยซะ”

“หยุดก่อน”

ในครั้งนี้จางหยวนได้ร้องห้ามปรามอย่างไม่ไยดี

ฮั่นจุยถึงกับขมวดคิ้วในทันทีเมื่อได้ยินแล้วถามออกมา “จางหยวน นี่เจ้ากล้าขัดขืนการตัดสินใจของข้ารึ”

“ผู้น้อยไม่กล้า”

จางหยวนได้พูดออกมาโดยไม่ได้มีท่าทียโสแต่อย่างใด “ข้าเองก็ต้องการหาความยุติธรรมให้กับพวกข้าเช่นเดียวกัน”

“แต่ท่านก็เห็นว่าในตอนนี้กองกำลังเทียนเว่ยที่ไม่มีเฉินเฉียงเป็นกัปตันนั้นได้อยู่ภายใต้การนำของข้าในฐานะรองกัปตัน”

“ข้า ในฐานะผู้นำกองกำลังเทียนเว่ย ถึงแม้พวกข้าจะมีเพียงสิบสามคน แต่ทุกคนนั้นล้วนแล้วตั้งมั่นในการหนุนนำสร้างคุณประโยชน์ให้กับเผ่าพันธุ์ของพวกเรา”

“แต่ด้วยคำพูดของเฉียวกัง ขยะของเผ่าพันธุ์เพียงคนเดียว กลับทำให้พวกเรากดขี่ข่มเหงอย่างมากมายหลายหนติดติดกัน”

“เพียงคำพูดของไอ้ตัวระยำพันธุ์นี้กลับทำให้ชื่อเสียงของกัปตันของพวกข้านั้นต้องมัวหมอง นี่ทำให้พวกข้าปวดใจนัก”

“ข้าขอถามหน่อยเถอะว่านอกจากคำพูดของเฉียวกังแล้วนั้นมีใครคนใดที่ได้พบเจอกัปตันของข้าในเขตแดนจักรพรรดิบ้างหรือไม่”

เมื่อพูดจบ จางหยวนได้กวาดตาดูโดยรอบก็ไม่พบเจอผู้ใดที่จะบอกว่าพวกเขาได้พบเจอเฉินเฉียง นี่ทำให้จางหยวนยืดอกตรงแล้วพูดออกมา “ผู้อาวุโสฮั่น แหวนเก็บของนั้นเป็นสิ่งของส่วนตัวอย่างที่สุดเพื่อเก็บวัตถุบ่มเพาะที่พวกเราได้มาจากเขตแดนจักรพรรดิอย่างถูกต้อง”

“และก่อนที่จะเข้าไป เหล่าผู้การก็ได้ปรารภไว้แล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้จากเขตแดนจักรพรรดินั้นล้วนตกเป็นของผู้ที่เก็บได้”

“แต่ในตอนนี้เฉียวกังกลับกดขี่พวกเราประดุจช้างม้า ไม่เพียงจะใส่ร้าย ยังคิดที่จะให้พวกเราเผยในสิ่งที่ได้รับมาจากเขตแดนจักรพรรดิอีก แล้วพวกเราจะปล่อยให้เป็นไปโดยง่ายได้อย่างไร”

ก่อนที่จางหยวนจะพูดประโยคถัดไป เฉียวกังได้หัวเราะลั่นและชี้ไปที่จางหยวนแล้วพูดออกมา “จางหยวน เจ้าและพวกอีกเพียงแค่สิบสองคนเนี่ยน่ะนะ แต่รอดกลับมาได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ก็บุญหัวแล้ว”

“ด้วยระดับการบ่มเพาะของพวกแกเนี่ยนะว่าทำคุณประโยชน์ให้กับเผ่าพันธุ์ ข้าล่ะอยากจะรู้จริงๆว่าพวกเจ้าได้อะไรกลับมาบ้าง”

“เหอะ ก่อนหน้านี้ข้าก็ได้ยินผู้การร่วมของเจ้านั้นกล่าวเชยชมเจ้านักหนาในความแข็งแกร่งของพวกเจ้า แต่ในมุมมองของข้านั้นพวกเจ้าก็แค่หดหัวหลบซ่อนอยู่ตลอดสามปีที่ผ่านมาเท่านั้นล่ะวะ ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าคงไม่หลงเหลือรอดกลับมาได้ทุกคนเช่นนี้หรอก”

“เหอะ นี่เจ้าคิดจริงๆเหรอว่ากองกำลังอื่นนั้นเทียบเจ้าไม่ได้กัน”

“มีกองกำลังไหนบ้างที่ไม่สูญเสียนักรบไป”

“บางกองกำลังนั้นตกตายยกกองไปเลยด้วยซ้ำ”

“เฉียวกัง แกกล้า….เกียรติยศแห่งกองกำลังเทียนเว่ย ตายได้หยามไม่ได้”

ด้วยการนำของจางหยวนทำให้เหล่าสมาชิกทั้งสิบสองคนก้าวขึ้นมาและตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงจนน่าฉงน

เฉียวกังที่พูดจาวางท่าใส่จางหยวนอย่างโอ่อ่าก็ต้องถอยร่นเป็นพัลวันและไม่กล้าจะพูดอะไรออกมาอีก

จางหยวนไม่ได้แยแสแต่เฉียวกังอีกต่อไปแล้วหันไปมองฮั่นจุย

“ผู้อาวุโสฮั่น เพื่อเป็นการพิสูจน์ความบริสุทธิ์และเรียกคืนเกียรติยศของกองกำลังเทียนเว่ย ข้า ในนามตัวแทนแห่งผู้นำ พวกเรายินดีที่จะรับการตรวจสอบแหวนมิติของพวกเรา”

“แต่ก่อนหน้านั้น พวกเราต้องการจะขอตรวจสอบแหวนมิติของผู้ที่จะตรวจสอบก่อนเพื่อเป็นหลักประกันว่าจะไม่มีใครคิดที่จะฉกชิงสิ่งที่กองกำลังของข้าเหนื่อยยากได้รับมา”

ฮั่นจุยพยักหน้ารับในทันที “เฉียวกังเองก็ทำเกินไปจริงๆ แหวนเก็บของนั้นเป็นสิ่งที่ตรวจสอบได้โดยง่ายได้อย่างไร”

“อย่างไรก็ตาม ถือซะว่าเพื่อเป็นการประกาศเกียรติภูมิของกองกำลังเทียนเว่ยก็แล้วกัน ข้าและผู้การร่วมทั้งสามต้องการจะเห็นว่าพวกเจ้านั้นได้รับสิ่งใดมาในช่วงสามปีมานี้”

“แน่นอนว่าพวกเจ้านั้นวางใจได้ ไม่ว่ายังไงก็ตาม สิ่งของที่เจ้านำออกมาจากเขตแดนจักรพรรดินั้นข้าขอออกปากด้วยตัวเองว่าจะไม่มีใครกล้าเข้าไปก้าวก่ายช่วงชิงไปได้อย่างแน่นอน”

“หากมีใครกล้าทำผิดคำพูดนี้ข้าจะเป็นคนฆ่ามันเสียตรงนั้น”

“และเพื่อให้เกิดความยุติธรรม คำพูดที่จางหยวนพูดออกมานั้นถูกต้องแล้ว ข้าว่าหากจะต้องตรวจสอบก็ต้องตรวจสอบมันทั้งหมดเนี่ยแหละ”

“ข้าขอเป็นคนแรก”

กองกำลังของเฉียวกังนั้นในตอนนี้เหลือคนเดียว นี่จึงทำให้ตัวเขานั้นเป็นคนเดียวที่เปิดแหวนมิติออกมา

“ฮื้ม เฉียวกัง เจ้านั้นมีเพียงแก่นคริสตัลในแหวนของเจ้าเล็กน้อยเท่านั้น และพวกมันมีระดับสูงสุดก็เพียงแก่นคริสตัลขุนพลขั้นสูงเพียงสองก้อนเพียงเท่านั้น แถมมันยังเป็นสองก้อนที่ข้าให้เจ้าไปในตอนนั้นถูกรึเปล่า”

เมื่อจ้าวลี่ได้เห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของเฉียวกังแล้ว เขาก็ได้กระแอมออกมาใบๆและพูดไปอีกในทิศทาง

“อ่ะแฮ่ม เอานะ อย่างน้อยๆก็มีแก่นคริสตัลรวมเจ็ดสิบก้อน ไม่เลว ไม่เลว”

“ฮี่ฮี่ฮี่ ขอบคุณท่านจ้าวที่กล่าวชม แก่นคริสตัลพวกนี้มาจากสัตว์ประหลาดที่ข้าได้ฆ่าพวกมันไป”

“ท่านจ้าวลองดูนี่ นี่คือวัตถุดิบบ่มเพาะที่ข้าได้มาจากสัตว์ประหลาดและสมุนไพรบางส่วน พวกมันล้วนแล้วอยู่ในคุณภาพดี”

“แล้วก็ความจริงแล้วข้าเองได้ฆ่ามนุษย์กลายพันธุ์ไปจำนวนมาก แต่ด้วยเวลามีไม่มากจึงไม่อาจจะดูดแผ่นพลังงานออกมาจากหัวของพวกมันได้ จึงไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์”

จ้าวลี่พยักหน้ารับอย่างพึงพอใจก่อนที่จะพูดออกมา “เฉียวกัง สิ่งที่เจ้าเก็บเกี่ยวมาได้นั้นไม่เลวเลยทีเดียว อย่างน้อยๆก็ได้รับแก่นวิญญาณมามากพอดู นี่ช่างหาได้ยากยิ่งนัก”

ฮั่นจุยเองก็มีท่าทีผ่อนคลายอย่างที่สุดก่อนที่จะบอกให้เฉียวกังเก็บสิ่งของของตัวเองกลับไปก่อนที่จะเริ่มไปตรวจสอบของนักรบคนอื่น

แหวนเก็บของกว่าหกพันวงนั้นได้ถูกตรวจสอบโดยเขาโดยใช้เวลากว่าครึ่งวัน ผู้ที่หลงเหลือเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ได้มาทั้งมากและน้อยแตกต่างกันไป แต่กระนั้น จางหยวนและพวกต่างก็ไม่ได้มีท่าทีแยแสของจากแหวนเก็บของที่นักรบเหล่านี้ได้รับมาแต่อย่างใด

เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้วนั้น ของของนักรบคนอื่นนั้นเปรียบได้เพียงแค่เศษเสี้ยว

“จางหยวน ถึงเวลาของพวกแกได้แล้วสินะ ไม่ใช่ว่าพวกแกนั้นอยากจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองนักไม่ใช่รึไงกัน”

“ข้า เฉียวกังผู้นี้ล่ะอยากจะรู้จริงๆว่าพวกเจ้าจะมีเกียรติยศให้ปกป้องแค่ไหนกัน”

“มาสิวะ ถึงเวลาพวกเจ้าแล้ว”

เฉียวกังได้ยินต่อหน้าจางหยวนอย่างท้าทาย

จางหยวนได้หรี่ตามองเล็กน้อย ก่อนที่จะเทของในแหวนออกมา

ทั้งหมดในแหวนประกอบด้วยแก่นคริสตัลระดับกลางสองก้อน ระดับสูงสามก้อน กระบี่ยาวสองเล่มและเสื้อผ้าห้าชุด

หลังจากเทออกมาสักพัก จางหยวนก็ได้หยุดมือ

แน่นอนว่าเฉียวกังเองไม่ได้คิดว่าจางหยวนนั้นอ่อนด้อย นั่นก็เพราะจางหยวนในตอนนี้เป็นถึงนายพลวิญญาณขั้นสูงเรียบร้อยแล้ว

“จางหยวน ทำไมไม่เอาออกมาอีกล่ะ เอาออกมาอีกสิวะ”

จางหยวนตอบกลับไปอย่างนุ่มนวล “ไม่ ในแหวนของข้ามีเพียงเท่านี้ แล้วจะให้ข้าเอาอะไรออกมาอีก”

“ห้ะ แค่นี้ เป็นไปไม่ได้ มันต้องมีมากกว่านี้อีกสิวะ”

เมื่อเห็นว่าเฉียวกังนั้นดื้อด้านจนน่ารำคาญ จางหยวนจึงได้ส่งแหวนมิติให้กับผู้การร่วมที่น่าเชื่อถือมากที่สุด นั่นก็คือหลิวตัน “ท่านหลิว ผู้น้อยเชื่อว่าท่านเป็นผู้ยุติธรรมที่สุด โปรดตรวจสอบด้วยตัวเอง”

หลิวตันเองที่มองเหตุการณ์อยู่ไม่ไกลนั้น เขาไม่คิดว่าจางหยวนจะลากเขาเข้าไปเอี่ยวโดยการกล่าวอ้างถึงการที่เขาเป็นผู้มีความยุติธรรมสูงแบบนี้ แม้ว่าเขาจะไม่มีทางเลือกที่จะต้องเอี่ยวแต่ก็สุขใจจนยินดีที่จะทำตาม

“หึหึหึ ก็ได้ ตาแก่คนนี้จะยอมรับคำขอของเจ้าไว้”

หลังจากพูดจบ หลิวตันได้ส่งกระแสจิตเข้าไปในแหวนมิติของจางหยวน เพียงไม่นาน เขาก็ส่งแหวนให้กับฮั่นจุยด้วยท่าทางประหลาดใจ “ผู้อาวุโสฮั่น มันว่างเปล่าจริงๆ ไม่มีสิ่งใดอื่นอีก”

ฮั่นจุยไม่แม้แต่จะมอง เขากลับโยนแหวนให้กับเฉียวกัง “เป็นเจ้าที่เริ่มเรื่องก็ตรวจสอบมันด้วยตัวเองแล้วกัน”

เฉียวกังรับแหวนมาโดยไม่ลังเล เขาตรวจสอบแหวนของจางหยวนด้วยกระแสจิตแต่ก็ไม่พบสิ่งใดให้เขาพบเจออีก

“ฮี่ฮี่ฮี่ จางหยวน เกียรติยศของเจ้าที่สู้เพื่อมันนั้นช่างเล็กน้อยนัก แล้วยังมีหน้าจะปกป้องอีก”

จางหยวนเมื่อได้ยินก็ได้สบถออกมาในทันที “เฉียวกัง รู้สึกว่าเจ้านั้นจะยินดีผิดเรื่องไปรึเปล่า”

“ไม่ใช่ว่าตัวเจ้าต้องการหาหลักฐานการติดต่อระหว่างพวกข้ากับกัปตันในแหวนพวกนี้ไม่ใช่รึไง”

“ข้าขอประกาศไว้ตรงนี้เลยนะว่า ด้วยท่าทางของเจ้าในตอนนี้ ข้าล่ะสงสัยจริงๆว่าหากเจ้าไม่เจอหลักฐานที่เจ้าอยากจะเจอนักหนาแล้วเจ้าจะตกตายไปแบบไหนกัน”

เพียงสิ้นคำพูดอันเย็นยะเยือกของจางหยวนนี้ทำให้ความสะพรึงผุดขึ้นมาบนสีหน้าทดแทนความยโสโอหังในทันที

ใช่แล้ว หากว่าเขาไม่พบเจอหลักฐานที่ต้องการแล้วเขาจะยังคงยิ้มอยู่ได้อีกเหรอ

แน่นอนว่าหลังจากตรวจสอบแหวนของจางหยวนไปแล้วก็มั่นใจได้ว่าจางหยวนนั้นยาจกอย่างที่สุด เป็นไปได้ว่าเขานั้นได้คาดการณ์ถูกต้องแล้วว่าตลอดสามปีมานี่ กองกำลังเทียนเว่ยนั้นมัวแต่หลบซ่อนตัวมาโดยตลอด

นี่คือสิ่งที่ทุกคนคิด ไม่เว้นแม้แต่ฮั่นจุยและเว่ยหยวนตี้

ตามมาด้วยการค้นแหวนของกัวเหลียง หนี่เฟิง เจิ้งยี่ หลิวไฮ่ หลู่จี้ เหรินหมิง ม่อโชว หลางซานเอ๋อและหลิวซวนเอ๋อทีละคน ทีละคน ของในแหวนแต่ละวงนั้นไม่ได้แตกต่างไปจากจางหยวนเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่านั่นคือสิ่งของพื้นฐานเพียงเท่านั้น ไม่ได้มีสิ่งใดอย่างอื่นอีก

นี่ยิ่งส่งเสริมข้อสงสัยของเฉียวกังจนทำให้ผู้คนเริ่มกระซิบกันในทันที

“ชิ ตอนที่ได้ยินวาจาห้าวหาญของจางหยวน ข้าก็นึกว่าพวกเขาจะเก็บเกี่ยวได้อย่างมากมายจากเขตแดนจักรพรรดิ ไม่คิดเลยว่าเมื่อเอาของมารวมกันแล้วยังน้อยกว่าข้าตั้งครึ่งค่อน”

“นั่นสิ แต่ก็อีกล่ะนะ ยังไงซะพวกเขาก็มีนายพลวิญญาณขั้นสูงเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ขนาดข้าที่เป็นนายพลวิญญาณขั้นกลางยังได้รับแก่นคริสตัลขั้นสูงมาได้หลายสิบก้อนเลย”

“นี่แสดงว่าในการเข้าสู่เขตแดนจักรพรรดิในครั้งนี้นั้นพวกเราต้องเสียตำแหน่งให้ตัวไม่ได้ประโยชน์ไปสิบกว่าที่เหรอเนี่ย หาข้าเป็นพวกเขานะ อย่างน้อยๆก็ต้องฆ่าสัตว์ประหลาดไม่ก็มนุษย์กลายพันธุ์ได้อีกสักนิดอีกสักหน่อยก็ยังดี”

“ดูเหมือนว่ากองกำลังเทียนเว่ยนั้นจะกระจอกงอกง่อยเสียมากกว่าล่ะนะ ไอ้คำพูดสวยหรูอันโด่งดังนั่นช่างไม่เหมาะเลยสักนิด มองยังไงก็มีแต่พวกกลัวตายทั้งนั้น”

“เฉียวกังได้คาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว ดูเหมือนว่าเขานั้นจะมีสายตาที่กว้างไกลนัก….แต่ ทำไมข้ายังไม่เห็นของอย่างกำไลสื่อสารที่เขาว่ามาเลยล่ะ”

“นั่นสิ แถมตอนนี้ยังเหลืออีกแค่สองคนเสียด้วย หากว่าเขาไม่พบเจอหลักฐานที่ว่านั่น แต่ให้มองการณ์ไกลขนาดไหนก็ต้องพบเจอปัญหาอย่างแน่นอน”

หลังจากปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผากไปทีหนึ่ง เฉียวกังได้ชี้ไปที่เม่ยหลัวหลันแล้วพูดออกมา “แก เอาแหวนมาดูซะ”

เม่ยหลัวหลันได้เดินขึ้นหน้าอย่างมาดมั่นแล้วพูดออกมา “ถอยออกไป”

“ห้ะ” เฉียวกังอุทานออกมาอย่างสับสน

“ข้าบอกให้แกถอยไปให้พ้นทาง หากเจ้าไม่ถอยแล้วข้าจะเอาของออกมาหมดได้ยังไง”

“ชิ แค่นายพลวิญญาณขั้นกลางแบบเจ้าจะไปมีของมากสักแค่ไหนกัน” เฉียวกังพูดอย่างดูถูกก่อนที่จะก้าวถอยหลังไปสองก้าว

“ไปให้ไกลกว่านั้น” เม่ยหลัวหลันตะคอกออกมาอย่างอารมณ์เสีย

“แก…. ฮึ่ม”

เฉียวกังได้ชี้หน้าเม่ยหลัวหลันจนตัวสั่นด้วยความโกรธ ท้ายที่สุดเขาก็เดินถอยหลังไปอีกสามก้าว

เม่ยหลัวหลันพยักหน้ารับก่อนที่จะเปิดแหวนเก็บของของตน

เธอได้นำแหวนออกมาห้าวง

ฉากนี้นั้นได้ทำให้ผู้คนสนใจในทันทีเพราะต่างก็สงสัยว่าหญิงสาวระดับนายพลวิญญาณผู้นี้จะมีของมากสักเท่าใด

ภายใต้สายของผู้คน เม่ยหลัวหลันได้เปิดแหวนวงแรกออกมา

ด้วยการที่เม่ยหลัวหลันอยู่กลางวงนั้น พื้นที่โดยรอบประมาณห้าเมตรของเธอนั้นเต็มไปด้วยสิ่งของประเภทหนึ่ง มันคือ….เสื้อผ้า

แถมยังเป็นเสื้อผ้าของทั้งผู้ชายและผู้หญิง เต๊นท์ เครื่องครัว มีแม้กระทั่ง….ร่ม

“ฮ่าฮ่าฮ่า….”

เมื่อได้เห็นของของเม่ยหลัวหลันแล้ว เฉียวกังอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับใบหน้าของฮั่นจุยและเหล่าผู้การร่วมที่มืดครึ้ม

“ข้าว่าแล้วว่ากับอีแค่ผู้หญิงที่อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางนั้นจะไปมีดีได้สักเท่าไหร่ ดูสิ มีแต่เสื้อผ้า รองเท้า แม้แต่ร่มก็ยังไม่เว้น ขนไปทำบ้าอะไรกันฟะ”