ภาคที่ 1 บทที่ 179 ใครคนใดคนหนึ่งต้องตกรอบ

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 179 ใครคนใดคนหนึ่งต้องตกรอบ

“สอบรอบเมื่อวานนี้ รุ่นพี่ลู่จวิ้นก็ทำคะแนนมาเป็นอันดับสองเลยนะ แถมยังมีสถานะเป็นหมอฝึกหัดแล้วด้วย”

“แบบนี้ก็หมายความว่า…รุ่นพี่กับซูเย่ จะต้องมีใครคนใดคนหนึ่งตกรอบใช่ไหม?”

เสียงอุทานยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ผู้เข้าสอบจากกลุ่มที่ 31 จะมีคนที่ผ่านเข้ารอบต่อไปแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น!

เมื่อได้ยินเสียงอุทานที่ดังขึ้นรอบกาย ซูเย่ก็หันกลับไปมองหน้าลู่จวิ้นด้วยความพิศวง

“เธออยากเปลี่ยนกลุ่มจริง ๆ เหรอ?” อาจารย์ผู้ควบคุมการจับฉลากถามลู่จวิ้นหน้านิ่วคิ้วขมวด

“หนูอยากเปลี่ยนกลุ่มค่ะ”

ลู่จวิ้นพยักหน้ายืนยันหนักแน่น

“ถ้าอย่างนั้นฉันก็เคารพในการตัดสินใจของเธอ” สุดท้ายอาจารย์ก็พยักหน้ายินยอม เพราะในการสอบครั้งนี้ ไม่มีกฎห้ามนักศึกษาย้ายกลุ่มอยู่แล้ว

หลีซินเอ้อเห็นดังนั้นก็ได้แต่กัดริมฝีปากด้วยความลำบากใจ

“คือว่า…กลุ่มนี้ไม่เหมาะกับรุ่นพี่หรอกค่ะ หนูจะไปแย่งตำแหน่งรุ่นพี่ได้ยังไง ช่างมันเถอะ ถือว่าหนูไม่ได้พูดก็แล้วกัน หนูจะอยู่กลุ่มนี้ต่อไปเอง”

แต่ยังไม่ทันที่หลีซินเอ้อจะพูดจบ ลู่จวิ้นก็เดินมาถึงตรงหน้าเธอแล้ว พร้อมกันนั้น ลู่จวิ้นยังได้ยัดป้ายหมายเลขประจำตัวใส่มือหญิงสาวรุ่นน้องอีกด้วย

“ไม่เป็นไรหรอก”

ลู่จวิ้นพูด

“รุ่นพี่คะ เราอย่าเปลี่ยนกลุ่มกันเลย”

หลีซินเอ้อพยายามจะส่งป้ายหมายเลขคืนไป แต่อีกฝ่ายกลับยกมือห้าม

“ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าซูเย่จะเก่งสักแค่ไหนกันเชียว”

ลู่จวิ้นว่า

“แต่ถ้าเกิดรุ่นพี่ตกรอบขึ้นมา…” หลีซินเอ้อพูดแล้วก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ หญิงสาวรู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนผิดขึ้นมาทันที

“ฉันไม่แพ้หมอนั่นหรอกน่า”

ลู่จวิ้นพูดสวนกลับมาด้วยความมั่นใจ

“เอาล่ะ การแบ่งกลุ่มเสร็จสิ้นแล้ว ขอให้ทุกคนนำแผ่นป้ายประจำตัวเดินไปยังห้องสอบของตัวเองได้เลย”

เมื่อเห็นว่าหมดเวลาแล้ว อาจารย์ผู้คุมการจับฉลากก็ประกาศเสียงดัง

หลีซินเอ้อได้แต่ถอนหายใจขณะเดินเข้าห้องสอบของตัวเอง

ขณะนี้ นักศึกษาผู้เข้าสอบทุกคนต่างเริ่มแยกย้ายเข้าสู่ห้องสอบตามกลุ่มของตนเอง

ไม่ว่าลู่จวิ้นเดินผ่านบริเวณไหน ก็จะมีเสียงดังตามหลังว่า

“สู้ ๆ นะครับ รุ่นพี่!”

“สู้ ๆ นะคะ รุ่นพี่!”

“รุ่นพี่ต้องเอาชนะหมอนั่นได้อยู่แล้ว!”

หลังจากนั้น คนพูดก็หันไปมองซูเย่ตาขวาง

พวกเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าลู่จวิ้นจะสามารถเอาชนะซูเย่ได้สำเร็จ แต่ตอนนี้ ทุกคนไม่แน่ใจเลยว่าซูเย่มีความสามารถอยู่ในระดับไหนกันแน่

เขาน่ากลัวถึงขนาดที่หลีซินเอ้อไม่กล้าปะทะด้วยเชียวหรือ?

อาจารย์ผู้คุมการจับฉลากกลับเข้าไปในตึกที่ทำการของผู้บริหาร และบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้หลี่เคอหมิงรับฟัง

“ลู่จวิ้น? ยอมสลับตำแหน่งไปอยู่กลุ่มเดียวกับซูเย่?”

หลี่เคอหมิงอุทานด้วยความตกใจ

เขารู้ดีว่าลู่จวิ้นเป็นใคร นอกจากเป็นนักศึกษาแพทย์แผนจีนปีสี่ระดับท็อปของมหาวิทยาลัยแล้ว ลู่จวิ้นยังเป็นแพทย์ฝึกหัดฝีมือเยี่ยมอีกด้วย

แต่หลี่เคอหมิงก็ยังมั่นใจในฝีมือของซูเย่มากกว่าอยู่ดี

“เพื่อความยุติธรรม” หลี่เคอหมิงออกคำสั่ง “เพิ่มผู้คุมสอบอีกคนสำหรับกลุ่มที่ 31 เป็นพิเศษ และให้ถ่ายวิดีโอเอาไว้ตลอดเวลาระหว่างการสอบด้วย”

“ได้เลยครับ”

อาจารย์ผู้คุมการจับฉลากพยักหน้าและรีบออกไปทำตามคำสั่งทันที…

หลังจากอยู่ในห้องทำงานเพียงคนเดียว หลี่เคอหมิงก็ถอนหายใจออกมา

“สู้เขานะ ซูเย่”

เหตุผลที่คณบดีคนใหม่ของคณะแพทย์แผนจีนต้องออกคำสั่งเช่นนี้ ก็เพราะเขาไม่อยากให้ทุกคนสงสัยในชัยชนะของซูเย่อีกต่อไปนั่นเอง

ซูเย่เดินมาถึงห้องสอบหมายเลข 31 และตรงไปยังเก้าอี้ซึ่งอยู่แถวสุดท้ายของห้อง

ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะหลบสายตาผู้คน แต่เป็นเพราะว่านั่นคือเก้าอี้ตัวเดียวที่เหลืออยู่ต่างหาก ขณะนี้ ทุกคนต่างนั่งประจำที่ของตนเอง และไม่มีใครพูดคุยกันสักคำเดียว

หลังจากนั้นไม่กี่นาที

ผู้คุมสอบก็เดินเข้ามาและกล่าวว่า “นี่เป็นเพียงห้องเตรียมตัวของทุกคนเท่านั้น ส่วนห้องสอบของจริงคือห้องข้างๆ ต่างหาก พวกคุณต้องทยอยเข้าห้องสอบทีละคน ส่วนผู้ที่อยู่ในห้องเตรียมสอบก็ห้ามพูดคุยกัน ห้ามถามคำถามเกี่ยวกับการสอบ ห้ามเล่นโทรศัพท์มือถือ หากตรวจพบว่าทำผิดกฎเมื่อไหร่ ก็จะถูกตัดสิทธิ์ออกจากการสอบทันที”

พูดจบแล้ว

“นักศึกษาหมายเลข 991 เชิญเข้าสอบ”

ลู่จวิ้นลุกขึ้นยืน

ผู้คุมสอบซึ่งขานชื่อลู่จวิ้นเดินไปส่งเธอถึงหน้าประตูห้องสอบที่อยู่ติดกัน

ลู่จวิ้นหายเข้าไปในห้องสอบสิบนาที

ก่อนจะกลับออกมาแล้วแยกไปนั่งอยู่ในพื้นที่สำหรับนั่งพักเพียงคนเดียว

หลังจากนั้น

นักศึกษาคนต่อไปก็เดินเข้าไปในห้องสอบ

ผู้เข้าสอบคนที่สาม…

หลังจากรอคอยอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็มาถึงคราวของซูเย่แล้ว

ในเวลาเดียวกันนี้

ภายในห้องสอบที่อยู่ด้านข้าง

“เหลือผู้เข้าสอบคนสุดท้ายแล้วสินะ”

“ใช่ ที่ผ่านมายังไม่มีใครสามารถเอาชนะลู่จวิ้นได้เลย”

ผู้คุมสอบทั้งสองคนพูดถึงลู่จวิ้นด้วยสีหน้าพึงพอใจ

“จะว่าไปแล้วนักศึกษากลุ่มนี้โดยรวมฝีมือธรรมดามาก ที่หนึ่งก็คงเป็นลู่จวิ้นอยู่ดีนั่นแหละนะ” หนึ่งในผู้คุมสอบพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง

ทันใดนั้น

ซูเย่เดินเข้ามาในห้องสอบ

“ผู้เข้าสอบซูเย่ครับ”

ซูเย่รีบรายงานตัวอย่างเร็วไว

“นั่งลงก่อนสิ”

ผู้คุมสอบผู้นั่งอยู่หลังโต๊ะพยักหน้าและผายมือเป็นสัญญาณบอกให้ซูเย่นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“มาคุยเรื่องกฎระเบียบกันก่อน” ผู้คุมสอบอีกท่านหนึ่งพูดกับซูเย่ “เราจะแบ่งการสอบเป็นสี่ส่วน แต่รับรองว่าทุกอย่างไม่มีอะไรซับซ้อน มีข้อแม้เพียงอย่างเดียวคือนายต้องกำหนดชุดยาสำหรับการรักษาที่สามารถใช้งานได้จริงเท่านั้น”

“ไม่มีปัญหาครับ”

ซูเย่พยักหน้าตอบรับว่าเข้าใจ

“คำถามแรก ผู้ป่วยมีอาการปอดอักเสบ รู้สึกหนาว มีอาการฉุนเฉียวร่วมด้วยปากแห้ง ควรรักษาอย่างไร” หัวหน้าผู้คุมสอบถาม

“ให้รับประทานยาตำรับต้าชิงหลง [1] ครับ”

ซูเย่ตอบกลับไปโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

“เพราะอะไร?”

ผู้คุมสอบคนที่สองขมวดคิ้วและถามต่อ “ทำไมถึงไม่ใช้สารสกัดจาก [2] กวาวเครือแดง? ในเมื่อมันมีฤทธิ์ช่วยดับพิษไข้ได้ดีเยี่ยม”

“เพราะว่ายาตำรับต้าชิงหลงจะช่วยรักษาอาการฉุนเฉียวง่ายและอาการปากแห้งด้วยครับ ถ้ารับประทานสารสกัดจากกวาวเครือแดงเพียงอย่างเดียว สองอาการนี้ก็จะรักษาไม่หายแน่นอน”

ซูเย่ตอบอย่างฉะฉาน

เมื่อได้ยินคำตอบของชายหนุ่ม

ผู้คุมสอบทั้งสองท่านก็ต้องพยักหน้าด้วยความพอใจ

“คำถามข้อที่สอง คนไข้เพศชาย อายุ 40 ปี มักมีไข้ตอนกลางคืน ป่วยเรื้อรังมาหลายเดือน ตอนไข้ขึ้นมักมีเหงื่อออกร่วมด้วย สภาพร่างกายอ่อนเพลีย ข้อมือซ้ายมีอาการบวมเจ็บ ขาสองข้างมีรอยแดงจ้ำเป็นจุด ๆ สภาพจิตใจตึงเครียด โมโหง่าย ลิ้นเป็นสีแดงซีด มีฝ้าขาวเกาะเล็กน้อย ชีพจรลื่นไหล ใบหน้าเหลืองซีด แต่กลับตรวจไม่พบการทำงานที่ผิดปกติของตับและม้าม ควรรักษาอย่างไร?”

“รักษาด้วยยาตํารับเสี่ยวไฉหูทังครับ”

ซูเย่ตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดเช่นเคย

ผู้คุมสอบทั้งสองคนพยักหน้า แต่ยังไม่ทันจะได้ถามคำถามต่อไป พวกเขาก็ได้ยินชายหนุ่มกล่าวเสริมว่า

“หลังจากรับประทานยาตํารับเสี่ยวไฉหูทัง [3] ครบสี่ชุดแล้ว อาการมีไข้เหงื่อออกก็จะหายไป แต่ในส่วนการรักษาข้อมือที่บวมแดงและรอยช้ำบนขาเหล่านั้น จำเป็นต้องใช้ยาตำรับอู๋เว่ยร่วมด้วยครับ”

ผู้คุมสอบทั้งสองคนหันมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ

ดวงตาของซูเย่เป็นประกายระยิบระยับ

เห็นได้ชัดว่าแม้แต่ผู้คุมสอบก็คิดไม่ถึงในคำตอบนี้

นักศึกษาหนุ่มคนนี้เพียงได้ยินอาการคนไข้คร่าว ๆ ก็สามารถคำนวณวิธีการรักษาได้อย่างแม่นยำ

นอกจากลู่จวิ้นแล้ว ก็มีแค่เขานี่แหละที่ทำได้

ผู้คุมสอบกระแอมไอและถามคำถามต่อไป

การสอบในส่วนแรกเป็นการตอบคำถามจำนวนห้าข้อ

ซูเย่สามารถตอบได้อย่างไม่มีปัญหา และคำตอบของเขาก็ยังสามารถนำไปรักษาคนไข้ได้จริง ๆ อย่างไร้ที่ติ

ส่งผลให้ผู้คุมสอบทั้งสองคนต้องประหลาดใจมากกว่าเดิมหลายเท่า

[1] ยาตำรับต้าชิงหลง ตำรับยาต้าชิงหลง ชื่อตำรับยา ประกอบด้วยตัวยาหมาหฺวาง กุ้ยจือ กานฉ่าว ซิ่งเหริน สือเกา เซิงเจียง และต้าจ่าว สรรพคุณ: ขับเหงื่อ ขจัดภาวะโรคภายนอก และดับร้อนภายใน ข้อบ่งใช้: ภาวะโรคภายนอกเหตุลมเย็นร่วมกับมีความร้อนอั้นภายใน

[2] กวาวเครือแดง พบอยู่มากในบริเวณที่ราบเชิงเขา และ เชิงเขาป่าเต็งรัง ภูเขาหินปูน ในบริเวณที่มีต้นไม้ใหญ่ไม่หนาแน่นนัก มักพบอยู่เป็นกลุ่มๆ ภายในป่า อาจเกิดจากสาเหตุ คือ ติดฝักได้น้อย ฝักมีขนาดใหญ่ ทำให้แพร่กระจายตำแหน่งเดิมได้ยาก ต้นกวาวเครือแดง ที่สร้างพุ่มเอง จะมีลักษณะเตี้ย ส่วนต้นที่เกี่ยวพันกับต้นไม้ใหญ่จะแตกกิ่งไปถึงยอดไม้

[3] ยาตํารับเสี่ยวไฉหูทัง ช่วยปรับสมดุลเส้นเส้าหยาง (ถุงน้ำดี) สรรพคุณใช้รักษาโรคที่เกิดจากพิษไข้เข้าสู่เส้นเส้าหยาง (ถุงน้ำดี) ทําให้มีอาการสะบัดร้อนสะบัดหนาว แน่นเสียดทรวงอกและชายโครง เซื่องซึม เบื่ออาหาร หงุดหงิด คลื่นไส้ ปากขม คอแห้ง ตาลาย ลิ้นมีฝ้าขาวบาง ชีพจรตึง หรือสตรีที่เป็นไข้เนื่องจากกระทบความเย็น หรือความร้อนเข้าสู่ระบบเลือด