ภาคที่ 1 บทที่ 180 ผลการสอบที่สร้างความโกลาหล

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 180 ผลการสอบที่สร้างความโกลาหล

“การสอบในส่วนต่อไป พวกเราจะพูดคุณสมบัติและผลข้างเคียงของตัวยา ส่วนคุณก็ต้องตอบชื่อยาสมุนไพรตัวนั้นมาให้ได้”

เมื่อผู้คุมสอบท่านแรกถามห้าคำถามเสร็จสิ้นลง ผู้คุมสอบท่านที่สองก็รับช่วงต่อทันที

“คำถามข้อแรก มีกลิ่นหอม ช่วยทำให้สดชื่น ช่วยขับเหงื่อ บำรุงธาตุไฟ ช่วยลดอาการปวดบวมและล้างพิษ…”

“ต้นตะไคร้ครับ”

ยังไม่ทันที่ผู้คุมสอบท่านที่สองจะถามจบประโยค ซูเย่ก็ตอบโดยไม่ลังเล

ทำเอาผู้คุมสอบท่านนั้นถึงกับชะงักกึก ยังฟังคำถามไม่จบ ก็ชิงตอบแล้วหรือ?

แถมยังตอบถูกอีกด้วย

คำถามข้อต่อไป

“คำถามข้อที่สอง สามารถนำมาทำเป็นน้ำชา มีรสชาติขม ช่วยแก้ไอขับเสมหะ บรรเทาอาการปวดหัว ขับพิษออกจากร่างกาย รักษาอาการตาแดง…”

“ดอกหอมหมื่นลี้ครับ”

ซูเย่ตอบคำถามอย่างเร็วไวอีกครั้ง

ผู้คุมสอบท่านที่สองเบิกตาโตมองหน้าซูเย่ด้วยความทึ่ง

แต่ก็ยังถามคำถามต่อไป

“สมุนไพรตัวต่อมา ช่วยบำรุงอวัยวะเพศ รสชาติขม บำรุงปอด กระเพาะอาหาร ช่วยปรับสมดุลธาตุในร่างกาย บำรุงเลือด รากสามารถนำมาต้มน้ำกินเพื่อรักษาโรคโลหิตจาง…”

“ต้นกะเม็งครับ”

ซูเย่ตอบอย่างรวดเร็วเป็นครั้งที่สาม

ผู้คุมสอบท่านที่สองหันไปสบตามองผู้คุมสอบท่านแรกเพราะทำอะไรไม่ถูกอีกแล้ว จึงพยักหน้าบอกให้เพื่อนร่วมงานรับช่วงดำเนินการสอบต่อไป

“การสอบในส่วนต่อไปนี้” ผู้คุมสอบท่านแรกหันมาพูดกับซูเย่อีกครั้งด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “คุณช่วยวินิจฉัยผมและเขียนใบสั่งยาให้หน่อย”

“ไม่มีปัญหาครับ”

ซูเย่พยักหน้า

ก่อนลุกขึ้นไปจับชีพจรวินิจฉัยอาการเบื้องต้นของผู้คุมสอบท่านแรก

ไม่ว่าจะเป็นการฟัง การสอบถามอาการ การตรวจดูร่างกาย ทุก ๆ อย่างล้วนทำอย่างรวดเร็วฉับไว

เมื่อวินิจฉัยอาการเบื้องต้นเสร็จสิ้นแล้ว

ซูเย่ก็พบว่าผู้คุมสอบท่านนี้มีปัญหาอยู่ที่ม้ามและกระเพาะอ่อนแอมากเกินไป

ชายหนุ่มรีบหยิบกระดาษกับปากกาที่ผู้คุมสอบท่านที่สองเตรียมเอาไว้ให้ นำมาเขียนรายละเอียดการวินิจฉัยและเขียนใบสั่งยาโดยทันที

แต่ทันใดนั้น

ซูเย่หยุดชะงักเล็กน้อยและถามว่า “ให้ผมเขียนใบสั่งยาได้กี่ประเภทครับ?”

ผู้คุมสอบทั้งสองท่านถึงกับชะงักงันไปอีกครั้ง

พวกเขาหันไปยิ้มให้กัน

ทั้งสองคนต่างก็คิดอยู่ในใจเช่นเดียวกันว่า : เด็กอัจฉริยะอีกคนแล้วสินะ

เหมือนลู่จวิ้นไม่มีผิด

ผู้คุมสอบท่านแรกตอบว่า “ไม่มีกฎตายตัวหรอก คุณอยากเขียนกี่ประเภทก็ได้”

ซูเย่พยักหน้ารับทราบ

จากนั้นจึงก้มหน้าก้มตาเขียนอีกครั้ง

“ตังเซียม ไป๋เสา ตังกุย พุทราแห้ง ม่ายเหมินตง โกฐขี้แมว…” นี่คือใบสั่งยาใบแรก

หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็เขียนใบสั่งยาอีกใบ

ต่อด้วยใบสั่งยาใบที่สาม

หลังจากใช้ความคิดอยู่เล็กน้อย ซูเย่ก็เขียนใบสั่งยาออกมาเป็นใบที่สี่

เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็เขียนวิธีการรักษาเพิ่มเติมด้วยการฝังเข็ม

ตามด้วยวิธีการรักษาชนิดรมยา

ปิดท้ายด้วยการรักษาโดยการแช่น้ำสมุนไพร

ซูเย่เขียนใบสั่งยาออกมาถึงเจ็ดใบรวด

มีวิธีการรักษาให้เลือกสรรสี่รูปแบบ

ตอนแรก ซูเย่ทำท่าเหมือนอยากจะเขียนต่อ แต่ชายหนุ่มนึกขึ้นมาได้ว่าแค่วิธีการรักษาสี่รูปแบบนี้ก็น่าจะพอแล้ว เขาจึงได้วางปากกาในมือลง

“เสร็จแล้วครับ”

ซูเย่พูด

ผู้คุมสอบรับใบวินิจฉัยอาการและใบสั่งยาของซูเย่ไปตรวจดู

เมื่อตรวจเสร็จแล้ว

พวกเขาก็พยักหน้าด้วยความพอใจ

พร้อมกับคิดอยู่ในใจว่า

“ฝีมือดีมาก มีความรู้ในการรักษาโรคกว้างขวาง วิธีการรักษาโรคสี่รูปแบบ แต่กลับเขียนใบสั่งยาออกมาได้ถึงเจ็ดใบ”

ผู้คุมสอบทั้งสองคนมองหน้าซูเย่ด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะโบกมือส่งสัญญาณพลางกล่าวว่า

“คุณไปได้แล้ว”

ซูเย่ลุกขึ้นยืนและเดินออกไปจากห้องสอบ

ผู้คุมสอบทั้งสองคนหันมามองหน้ากันอีกครั้ง ความประหลาดใจในดวงตายังไม่จางหายไป

“คุณคิดว่าไง?” ผู้คุมสอบท่านแรกถาม

“มีใครบ้างจะมีความรู้ในการรักษาโรคถึงสี่รูปแบบ เด็กคนนี้น่าทึ่งเหลือเกิน!” ผู้คุมสอบท่านที่สองตอบกลับด้วยความตื่นเต้น “นี่ผมสงสัยแล้วนะว่าเขาไม่ได้มาจากคณะแพทย์แผนจีนจริง ๆ เหรอ?”

“ก็จริงน่ะสิ” ผู้คุมสอบท่านแรกยิ้มเฝื่อน “คำถามต่อจากนี้ก็คือ เราควรเลือกใครดี? ลู่จวิ้นหรือว่าหมอนี่?”

เมื่อได้ยินคำถามนั้น ผู้คุมสอบท่านที่สองก็ยิ้มเฝื่อนออกมาเช่นกัน

ตอนแรกพวกเขานึกว่าลู่จวิ้นจะสามารถผ่านเข้ารอบได้อย่างสบาย ๆ คิดไม่ถึงเลยว่ากลับมีซูเย่ปรากฏตัวออกมาอีกคน

ความรู้ความสามารถของชายหนุ่มคนนี้มีมากเกินกว่าที่พวกเขาคาดคิดเอาไว้

เพราะอะไรเด็กจากคณะอื่นถึงได้มีความสามารถเกินหน้าเกินตาเด็กจากคณะแพทย์แผนจีนเสียอีก?

แล้วพวกเขาควรจะเลือกใครดีนะ?

ผู้คุมสอบทั้งสองท่านปรึกษาหารือกันด้วยความเคร่งเครียด และระมัดระวัง

การสอบดำเนินไปจนถึงเวลา 17:00 น.

เมื่อทุกคนสอบเสร็จแล้ว ทางโรงเรียนก็ออกประกาศแจ้งเตือนทันทีว่า

“ผลการสอบจะถูกประกาศในเวลา 20:00 น. ของค่ำวันนี้ ขอให้ผู้เข้าสอบทุกคนโปรดติดตามอย่างใกล้ชิด”

เมื่อมีประกาศจากทางมหาวิทยาลัยออกมาเช่นนี้ บรรยากาศในบอร์ดข้อความรวมมิตรมหาลัยก็ร้อนระอุขึ้นมาทันที

“ดูจากจำนวนสมาชิกผู้เข้าสอบแล้ว กลุ่มที่มีแค่สิบคนก็คงคัดเอาแค่คนเดียวเข้ารอบต่อไปสินะ?”

“ก็น่าจะอย่างนั้นมั้ง เพราะกลุ่มอื่น ๆ มีกัน 33 คน แต่กลุ่มสุดท้ายมีแค่สิบคน ก็คงเอาแค่หนึ่งในสิบนั่นแหละ แต่บังเอิญว่าในสิบคนนี้ดันมีลู่จวิ้นอยู่ด้วย แล้วใครจะเป็นคนตกรอบล่ะ? อย่าบอกนะว่าจะเป็นซูเย่? ไอ้หมอนี่มันดูมั่นใจในตัวเองอยู่นา”

“คนที่เข้ารอบของกลุ่มนั้น ยังไง ๆ ก็ต้องเป็นลู่จวิ้นอยู่แล้ว รุ่นพี่เค้าเก่งที่สุด ฉันตอบได้โดยไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยเหอะ!”

“ใช่ รุ่นพี่ลู่จวิ้นต้องได้เข้ารอบอยู่แล้ว ฉันได้ยินมาว่ารุ่นพี่ยอมสลับกลุ่มเพื่อมาสอบกับซูเย่โดยเฉพาะ มีใครรู้รายละเอียดเรื่องนี้บ้างไหม? เรื่องมันเป็นไง มาไงกัน?”

“นายยังไม่เข้าใจอีกเหรอ? รุ่นพี่ลู่จวิ้นคงโมโหแหละที่แพ้ซูเย่ในการสอบข้อเขียนเมื่อวาน วันนี้รุ่นพี่ก็เลยจะแก้แค้นด้วยการเขี่ยเขาให้ตกรอบไง!”

“นั่นสินะ พูดอีกก็ถูกอีก!”

“เดี๋ยวคืนนี้เราก็จะได้รู้แล้วว่าใครกันแน่ที่ต้องตกรอบ!”

“แค่คิดฉันก็ตื่นเต้นแล้วนะเฟ้ย!”

“ในฐานะรุ่นน้องร่วมคณะ การแก้แค้นของรุ่นพี่ลู่จวิ้นในครั้งนี้ ก็ถือเป็นการช่วยรักษาหน้าคณะแพทย์แผนจีนของพวกเราไปในตัว! เพราะฉะนั้น เรามาให้กำลังใจรุ่นพี่ลู่จวิ้นกันเถอะ!”

“รุ่นพี่ลู่จวิ้นต้องได้เข้ารอบแน่นอน ส่วนไอ้ซูเย่จงลงนรกไปซะ!”

เนื้อหาในบอร์ดข้อความขณะนี้มีแต่ผู้ที่รุมโจมตีซูเย่

ซูชือกับจินฟานเข้าไปอ่านก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก

เสี่ยวเย่ของพวกเขาไปทำอะไรให้คนพวกนี้หรือไง?

ทำไมถึงได้จงเกลียดจงชังกันนักนะ?

“รุ่นพี่ลู่จวิ้น? แสดงว่าคนพวกนี้เป็นเด็กจากคณะแพทย์แผนจีนหมดเลยสิ” ซูชืออดพูดออกมาไม่ได้ “ฉันได้ยินมาว่ารุ่นพี่คนนี้ได้ใบประกอบโรคศิลป์แล้วด้วยมั้ง และก็กลายเป็นแพทย์ฝึกหัดชื่อดังอยู่ในโรงพยาบาลมาสักพักใหญ่แล้วด้วย เสี่ยวเย่แบบนี้นายจะไหวไหมวะเนี่ย?”

จินฟานส่ายหน้าด้วยความท้อใจ “ให้แข่งกับหลีซินเอ้อยังพอจะมีหวังมากกว่าซะอีก แต่นี่อีกฝ่ายคือลู่จวิ้นเชียวนะ ทำไมตอนที่พวกเธอขอสลับกลุ่มกัน นายไม่ประท้วงบ้างวะ?”

“ทำไมต้องประท้วงล่ะ?”