ชุดขาวนวลดุจแสงจันทร์ ร่างสูงใหญ่สง่าผ่าเผย แผ่นหลังยืดตรง บ่ากว้างแข็งแกร่งดูองอาจ ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของคนผู้นี้จะงดงามสูงส่งและเปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดใจชวนให้หลงใหลอยากใกล้ชิด ทว่าบรรยากาศรวมถึงสภาวะพลังอันรุนแรงที่แผ่ออกมาจากร่างของเขากลับทำให้ผู้คนที่เข้าใกล้รู้สึกหวาดหวั่น
คนผู้นี้มิใช่ใครอื่น เขาคือบุรุษน้ำแข็งหานโม่ฉือที่ฉินอวี้โม่ไม่ได้เห็นหน้ามาสามวันแล้ว
ฉินอวี้โม่คาดไม่ถึงว่ามนุษย์น้ำแข็งของนางจะมาที่งานเลี้ยงอาหารค่ำในวันนี้ด้วย ตามความรู้สึกของอดีตสาวนักฆ่า หานโม่ฉือนั้นเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบสมาคมกับคนหมู่มาก และไม่สนใจงานเลี้ยงสังสรรค์ ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ในตอนที่เข้าเรียนในโรงเรียนราชสำนักที่ต้องพบเจอกับนักเรียนร่วมชั้นจำนวนมาก หากไม่นับหลิงจิ้งหงแล้ว คนผู้นี้ก็แทบไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใด ทว่าเขาก็ยังนับเป็นอัจฉริยะหาตัวจับยากที่มีฝีมือสูงส่งเสียยิ่งกว่าบัณฑิตคนไหน ๆ ของสถาบันผลิตยอดฝีมือชื่อดังแห่งนี้
ในคราแรกที่เห็นหานโม่ฉือปรากฏตัว ฉินอวี้โม่ก็นิ่งอึ้ง ทว่าเพียงชั่วอึดใจหลังจากนั้น คุณหนูคนงามแห่งตระกูลฉินก็แย้มรอยยิ้มดีใจ
แท้จริงแล้ว หานโม่ฉือไม่ได้อยากมางานเลี้ยงอาหารค่ำในพระราชวังครั้งนี้ ทว่าหลังจากได้ทราบว่าสตรีในหัวใจของเขาตั้งใจจะเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วย คุณชายน้ำแข็งก็เปลี่ยนใจอย่างฉับพลัน และต่อให้เขาไม่อยากออกงานมากเพียงใด เขาก็ยังคงอุตส่าห์มาจนถึงที่นี่
ในตอนแรกที่เห็นอาภรณ์สีขาวดุจแสงจันทร์ที่หานโม่ฉือส่งมาให้ ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย ทว่าเมื่อได้เห็นอาภรณ์สีเดียวกันบนร่างกายใหญ่โตของเขาในเวลานี้ คุณหนูคนงามก็เข้าใจเรื่องทั้งหมด
“คารวะท่านผู้นำตระกูลฉิน ข้ามิได้เจอหน้าท่านมานานมากแล้ว ไม่ทราบว่าท่านสบายดีหรือไม่ ?”
จู่ ๆ หานโม่ฉือก็เดินตรงเข้ามายังที่นั่งฝั่งขวาของบัลลังก์อย่างองอาจแล้วหยุดลงที่โต๊ะตัวหน้าสุด ที่ตรงนั้นเป็นที่นั่งของผู้นำตระกูลฉิน บุรุษเย็นชาตระกูลหานเอ่ยคำคารวะฉินเฟินด้วยกิริยาค่อนข้างนอบน้อม
หานโม่ฉือนับฉินอวี้โม่เป็นภรรยาของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงถือว่าตัวเขาควรจะปฏิบัติอย่างให้เกียรติ และให้ความเคารพฉินเฟินผู้ซึ่งเป็นปู่ของนาง
ทว่า การกระทำของหานโม่ฉือเช่นนี้ กลับทำให้ท่านผู้นำตระกูลฉินถึงกับนิ่งค้างไป
ต้องทราบก่อนว่าหานโม่ฉือผู้นี้มีชื่อเสียงด้านความเย็นชาและไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตา ไม่ต้องกล่าวถึงผู้นำตระกูลฉินเลย เพราะแม้แต่ต่อหน้าองค์จักรพรรดิแห่งไป๋อวิ๋น หานโม่ฉือก็ยังมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบเฉย ที่สำคัญบุรุษน้ำแข็งผู้นี้ไม่เคยเข้าไปทักทายผู้ใดอย่างออกหน้าออกตาเช่นที่เขาเพิ่งทำไปเมื่อครู่สักครั้ง และการเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงที่ดูออกจะนอบน้อมของเขาในวันนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีใครเคยพบเห็นมาก่อน
บุรุษอาวุโสฉินเฟินตกตะลึงไม่น้อยที่เห็นว่าจู่ ๆ คุณชายตระกูลหาน อัจฉริยะอายุน้อยแต่ไม่เคยสนใจใครผู้นี้ ก็เดินเข้ามาทักทายเขา อย่างไรก็ตาม คนสูงวัยที่เป็นถึงผู้นำตระกูลเช่นเขาเรื่องการรักษาภาพลักษณ์นั้นไม่ต้องเอ่ยถึง ฉินเฟินผู้เฒ่าดึงสติกลับมาได้ในพริบตาก่อนจะยิ้มแล้วกล่าว “ขอบคุณ คุณชายหานที่เป็นห่วงสุภาพของชายชราผู้นี้ ข้ายังคงแข็งแรงดี”
ฉินเฟินรู้สึกว่าหานโม่ฉือเพียงแค่เข้ามาทักทายและไม่ได้มีความนัยใดอื่นแอบแฝง แต่กระนั้นเขาก็มิวายนึกสงสัยเหลือเกินว่า บุรุษผู้ไม่เคยเห็นผู้ใดในสายตาอย่างคนหนุ่มผู้นี้เหตุใดถึงได้เป็นฝ่ายเดินเข้ามาทักทายเขาได้
อย่างไรก็ตาม ผู้เฒ่าฉินเฟินนั้นอยู่ดูโลกมามากแล้ว จึงเป็นที่แน่นอนว่าตั้งแต่เริ่มต้นที่หานโม่ฉือก้าวเข้ามาจนถึงตอนนี้สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลงเลย ใบหน้าชราที่กำลังยิ้มอ่อน ๆ ยังคงประดับรอยยิ้มน่าเลื่อมใสอย่างเป็นปกติ
เมื่อทักทายผู้นำตระกูลเรียบร้อย หานโม่ฉือก็เข้าไปทักทายบุรุษอาวุโสคนถัดไปแห่งตระกูลฉินนั่นก็คือฉินหยาง การกระทำของเขาราวกับตั้งใจจะสานสัมพันธ์และสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกับตระกูลใหญ่นี้
และนี่เองที่ทำให้ทุกคนในตำหนักจัดเลี้ยงรู้สึกถึงความแปลกประหลาด ในตอนนี้เริ่มมีคนรวมกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันเบา ๆ แล้ว ทุกคนต่างก็เริ่มตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์อย่างลับ ๆ ของตระกูลหานและตระกูลฉินว่าแน่นแฟ้นถึงระดับใด…เป็นไปได้หรือไม่ว่าทั้งสองตระกูลใหญ่นี้วางแผนจะผนึกกำลังลงมือทำบางสิ่งอยู่ ?
ในตอนนี้ใบหน้าของผู้นำตระกูลเหล่ยบึ้งตึงเป็นอย่างยิ่ง ดูราวกับว่าเขากำลังนึกคิดเรื่องราวอันแสนเลวร้ายอยู่ หากตระกูลฉินและตระกูลหานผนึกกำลังเป็นหนึ่งได้ เห็นทีว่าตระกูลเหล่ยคงต้องจบสิ้นแล้ว
อย่างไรก็ตาม หานโม่ฉือก็ไม่ปล่อยให้ทุกคนสงสัยกันนานนัก
เขาเดินเข้าไปหาฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้มก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยเสียงไม่ดังไม่เบา “อวี้โม่ เจ้าชอบชุดที่ข้าส่งไปให้รึเปล่า ?”
แม้ว่านางจะไม่ทราบว่าวันนี้มนุษย์น้ำแข็งของนางตั้งใจจะทำสิ่งใด ทว่าสาวงามก็ยังลุกขึ้นมาพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เลวเลย”
“ฮ่า ๆ ๆ ”
เมื่อเห็นว่าจู่ ๆ หานโม่ฉือก็หัวเราะออกมาผู้คนในงานเลี้ยงก็ประหลาดใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม ในความคิดของทุกคนหานโม่ฉือเป็นบุรุษที่จริงจังเคร่งเครียดอยู่เสมอ ไม่ใช่แต่เพียงคนทั่วทั้งเมืองไป๋อวิ๋นจะไม่เคยมีใครได้เห็นรอยยิ้มของคนผู้นี้ แต่แม้กระทั่งหานปิ่งเซียนผู้นำตระกูลหานก็ยังไม่เคยเห็นเขาหัวเราะเช่นนี้มาก่อน
ในวันนี้พวกเขาเห็นหานโม่ฉือกำลังยิ้มร่า อีกทั้งยังเป็นรอยยิ้มที่ดูมีความสุขอย่างเปี่ยมล้น แน่นอนว่าทุกคนในงานต่างพากันตกตะลึงและนิ่งอึ้งไปคล้ายทำสิ่งใดไม่ถูก
“เช่นนั้นก็ดี มีเพียงแค่เจ้าเท่านั้นที่เหมาะสมกับชุดนี้”
หานโม่ฉือยิ้มสดใสก่อนจะยื่นมือใหญ่ออกไปตรงหน้าฉินอวี้โม่
เมื่อเห็นเช่นนั้น คุณหนูผู้งดงามก็ยื่นมือบางออกไปวางบนฝ่ามือของเขา ในตอนนี้ฉินอวี้โม่เข้าใจความตั้งใจของคนตรงหน้าแล้ว บุรุษเย็นชาของนางคิดจะใช้งานเลี้ยงใหญ่ในวังหลวงวันนี้เพื่อประกาศให้เหล่าผู้มีอำนาจน้อยใหญ่ทั้งหลายจากทุกขุมกำลังรับรู้ว่า ฉินอวี้โม่–คุณหนูสี่ผู้งดงามแห่งตระกูลฉินเป็นของเขาแล้ว และต่อไปนี้ผู้ใดก็ตามที่คิดจะกระทำการล่วงเกินฉินอวี้โม่ก็เท่ากับตั้งตัวเป็นศัตรูกับหานโม่ฉือด้วย
“อวี้โม่ ข้าอยากจะแนะนำคนในครอบครัวของข้าให้เจ้ารู้จัก”
เมื่อเห็นนางวางมือเล็กลงบนฝ่ามือใหญ่ของเขา หานโม่ฉือก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน เขาจูงมือฉินอวี้โม่เดินตัดผ่านลานหน้าบัลลังก์ไปยังที่นั่งของตระกูลหานในฝั่งตรงข้าม สองหนุ่มสาวหยุดลงตรงหน้าหานปิ่งเซียน
“ท่านพ่อ นี่คืออวี้โม่ ว่าที่ลูกสะใภ้ของท่าน”
หานโม่ฉือเอ่ยแนะนำว่าที่ภรรยากับหานปิ่งเซียนที่กำลังทอแววตาประหลาดใจ ก่อนจะหันมากล่าวกับสตรีข้างกายต่อ “อวี้โม่ นี่คือท่านพ่อของข้า หานปิ่งเซียน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและโค้งตัวลง “คารวะท่านลุงหานเจ้าค่ะ”
“ยินดีต้อนรับเสี่ยวอวี้โม่”
ด้วยตำแหน่งผู้นำสูงสุดของตระกูล หานปิ่งเซียนเองก็ดึงสติกลับมาและตอบสนองกลับได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ตั้งแต่ตอนที่เขาเห็นบุตรชายจับจูงมือสตรีน้อยแสนงดงามผู้นี้แน่นและพาเดินมาด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นสุข ผู้เป็นบิดาอย่างเขาก็พอจะคาดเดาได้บ้างแล้ว
ในหัวใจของหานปิ่งเซียน เขารู้สึกติดค้างบุตรชายคนนี้มาก ที่หานโม่ฉือเป็นคนเย็นชาเหมือนเช่นทุกวันนี้ก็ล้วนแต่เป็นความผิดของเขา
แม้ว่าหานโม่ฉือจะไม่เคยตำหนิเขาหรือไม่เคยกล่าวสิ่งใดออกมา แต่หานปิ่งเซียนนั้นรู้ดีว่าหานโม่ฉือต้องทนทุกข์ทรมานและทำงานอย่างหนักหน่วงมานานหลายปีแล้ว
ในตอนนี้เมื่อเห็นบุตรชายกุมมือของหญิงสาวผู้หนึ่งแน่น อีกทั้งใบหน้ายังประดับรอยยิ้มมีความสุข หานปิ่งเซียนเองก็รู้สึกมีความสุขไปกับผู้เป็นลูกด้วย ชีวิตนี้ของเขานับว่าไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว ฉะนั้นแล้วเขาจึงยอมรับคุณหนูตระกูลฉินผู้นี้อย่างไร้เงื่อนไข
เมื่อได้ยินวาจาสั้น ๆ ของหานปิ่งเซียน หานโม่ฉือก็เข้าใจในความหมายของบิดา เขายิ้มขอบคุณให้หานปิ่งเซียนจากหัวใจ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นรอยยิ้มอย่างเป็นสุขครั้งแรกของบุตรชายผู้นี้ที่ผู้เป็นพ่อได้สัมผัสตรง ๆ ต่อหน้า และมันก็ทำให้หัวใจของผู้นำตระกูลหานพองโตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบหลายปี
หลังจากแนะนำว่าที่ภรรยาให้บิดารู้จัก บุรุษน้ำแข็งก็หันไปมองหานโม่หยวนน้องชายต่างมารดาของตน
ตั้งแต่ตอนที่เข้ามา หานโม่หยวนก็จับตามองฉินอวี้โม่มาตลอด ความโกรธของเขายังสุมอยู่ในหัวใจไม่จางหาย เมื่อนึกถึงเรื่องที่สตรีจองหองผู้นี้เพิ่งจะระเบิดรถม้าต่อหน้าเขา หานโม่หยวนก็ตัดสินใจไว้แล้วว่าหลังจบงานเลี้ยงเขาจะคิดบัญชีแค้นนี้กับนาง
ทว่าเมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่หานโม่ฉือก้าวเข้ามาในงานเลี้ยง คุณชายรองตระกูลหานก็ต้องนั่งนิ่งตกตะลึงอย่างโง่งมไปพักใหญ่กว่าจะดึงสติกลับคืนมาเช่นเดิมได้ และในตอนที่หานโม่ฉือจับจูงมือฉินอวี้โม่เดินเข้ามาเขาก็ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเคียดแค้น
เมื่อหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่อยู่เคียงคู่กันเช่นนี้ พวกเขาก็ดูราวกับมังกรคู่ที่เหมาะสมกันอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นในวันนี้สองหนุ่มสาวยังสวมใส่ชุดสีขาวแสงจันทร์ที่เข้าคู่กันอย่างลงตัว ซึ่งนั่นก็ทำให้ทั้งคู่ยิ่งดูกลมกลืนกันเป็นหนึ่ง ผู้คนในงานที่เฝ้าดูอยู่ได้แต่คิดว่าพวกเขาเป็นคู่ที่เกิดมาเพื่อเคียงข้างกันโดยแท้
หานโม่หยวนไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดตั้งแต่เล็กจนโต หานโม่ฉือผู้นี้ถึงได้ดิบได้ดีมากกว่าเขาไปเสียทุกอย่าง ตอนนี้แม้แต่เรื่องสตรี อีกฝ่ายก็ยังได้ดีกว่าเขาอีก และที่สำคัญที่สุดสตรีผู้นั้นยังเป็นยอดฝีมือจองหองที่ถึงกับกล้าทำลายรถม้าของพวกเขาไปอย่างไม่ไว้หน้า*…นี่เท่ากับว่านางได้ประกาศความเป็นศัตรูกับเขาแล้วใช่หรือไม่ ?!*
“อวี้โม่ นี่หานโม่หยวน น้องชายต่างมารดาของข้า”
หานโม่ฉือแนะนำเพียงสั้น ๆ เพราะรู้ดีว่าฉินอวี้โม่เข้าใจความหมายของเขาดี
“ฮ่า ๆ ไม่คิดเลยว่าแม่นางอวี้โม่จะเป็นผู้หญิงของพี่ใหญ่ ข้าทำเรื่องล่วงเกินท่านไปแล้วจริง ๆ ต้องขออภัยด้วย”
หานโม่หยวนพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสงบอารมณ์ไว้ เขายืนขึ้นและกล่าว
“ข้าเองก็ต้องขออภัย ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นน้องชายของโม่ฉือ ที่ทำลายรถม้าของเจ้าไปตอนอยู่นอกวังข้าเสียใจจริง ๆ หากว่าข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนตระกูลหาน ข้าเองคงไม่ทำเช่นนั้นแน่”
ฉินอวี้โม่แสร้งทำราวกับเพิ่งทราบว่า หานโม่หยวนคือน้องชายของหานโม่ฉือ แล้วเอ่ยคำขอโทษที่ไม่ได้แฝงเจตนาขอโทษแม้แต่น้อยออกไป
“ว่าอย่างไรนะ ?! ตอนอยู่นอกวังมันเกิดอะไรขึ้น ?”
เมื่อได้ยินถ้อยคำที่ฉินอวี้โม่กล่าว หานโม่ฉือก็เกิดความสงสัย ทว่าเขายังไม่ทันได้เปิดปาก หานปิ่งเซียนผู้เป็นบิดาและผู้นำตระกูลก็ชิงถามขึ้นมาก่อน
“ท่านลุงหาน วันนี้แค่มีเรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพลางเล่าเรื่องที่เกิดในระหว่างที่เดินทางมาร่วมงานเลี้ยงในพระราชวังให้หานปิ่งเซียนฟังอย่างคร่าว ๆ ซึ่งก็แน่นอนว่ามีเรื่องราวและคำพูดบางช่วงที่นางตัดออกไป อดีตนักฆ่าสาวจงใจเอ่ยเล่าโดยเน้นกล่าวถึงเพียงช่วงที่หานโม่หยวนตวาดวาจาข่มขู่พวกเขาเท่านั้น
“เจ้าเด็กสารเลว ยังไม่รีบขอโทษอวี้โม่อีก !”
หลังจากได้ยินสิ่งที่ฉินอวี้โม่เล่า หานปิ่งเซียนก็จ้องเขม็งไปที่บุตรชายคนรองด้วยสายตาโกรธเคือง เขารีบบังคับให้บุตรชายตัวดีขอโทษฉินอวี้โม่
“ท่านลุงหานไม่ต้องทำเช่นนั้นหรอกเจ้าค่ะ อีกไม่นานพวกเราก็คงจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว แค่เรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อยเท่านั้น หากโม่หยวนไม่อยากขอโทษ ข้าก็จะไม่ว่าอะไร”
ฉินอวี้โม่แสร้งทำเป็นใจกว้างซึ่งนั่นทำให้ใบหน้าของหานโม่หยวนตอนนี้บูดเบี้ยวจนน่าเกลียดยิ่งขึ้นกว่าเดิม
หานโม่ฉือลอบหยิกเนื้อนวลบนมือบางเบา ๆ มุมปากของบุรุษน้ำแข็งกระตุกเล็กน้อย เขากำลังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่หลุดยิ้ม หานโม่ฉือไม่รู้ดีว่านางมารน้อยของเขาร้ายไม่เบา แต่ไม่คิดเลยว่านางจะมีด้านร้ายกาจในลักษณะเช่นนี้อยู่ด้วย
“แม่นางฉินอวี้โม่ ข้าต้องขอโทษด้วยสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกวัง ทุกอย่างเป็นความผิดของข้าเอง โปรดให้อภัยข้าด้วย”
แม้ว่าจะฝืนใจมากเพียงใด แต่หานโม่หยวนก็พยายามข่มกลั้นอารมณ์แล้วกล่าวขอโทษออกไปอย่างนอบน้อม เขาทำถึงกับยอมคุกเข่าลงไปกับพื้น
ขณะนี้สายตามากมายจากเหล่าผู้มีอำนาจแห่งขุมกำลังทั่วทั้งเมืองกำลังจับจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียว หากว่าเขาไม่ยอมขอโทษ บิดาของเขาก็คงจะไม่ยอมจบเรื่องนี้ง่าย ๆ แน่ อีกทั้งชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของเขาก็จะต้องป่นปี้ไร้ผู้เชื่อถือ
ในเวลานี้หานโม่หยวนทำได้เพียงแค่กัดฟันกดข่มความเกลียดชังของตนเองไว้ ตอนนี้ที่นางยังไม่ได้ตบแต่งเข้าตระกูลหาน สตรีน่ารังเกียจก็ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาแล้ว ทว่าที่สำคัญกว่านั้นคือนางแข็งแกร่งจนนางกลัว เพียงแค่หานโม่ฉือคนเดียวก็รับมือได้ยากมากพอแล้ว หากมีฉินอวี้โม่เพิ่มเข้ามาอีกคนก็คงเป็นหายนะสำหรับเขาแน่
เมื่อใดก็ตามที่สตรีผู้นี้ได้แต่งเข้าตระกูลหาน เมื่อนั้นชีวิตเขาคงจะจบสิ้นอย่างแท้จริง ทันทีที่คิดได้เช่นนี้หานโม่หยวนก็สาบานว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางไม่ให้ฉินอวี้โม่ได้แต่งกับหานโม่ฉือ
“ข้าบอกแล้วว่าเป็นการเข้าใจผิดกันเท่านั้น ข้าไม่ได้โกรธเคืองสิ่งใดเลย”
ฉินอวี้โม่ปั้นยิ้มใจดีพลางมองหานโม่หยวนที่ค่อย ๆ ลุกขึ้น
ในตอนนี้ภายในตำหนักกว้างซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงแห่งนี้กำลังตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงของความเคลื่อนไหวจากทางด้านที่นั่งของตระกูลหานเท่านั้นที่กำลังดังอยู่ และด้วยความเงียบสงัดนี้เสียงของพวกเขาจึงดังก้องจนได้ยินทั่วทั้งงาน
ที่เป็นเช่นนั้น ก็เนื่องมาจากแขกทุกคนในงานเลี้ยงยังคงอยู่ในอาการตกตะลึงเมื่อได้รับรู้ว่า*หานโม่ฉือ–คุณชายผู้ทรงอำนาจแห่งตระกูลลับที่แข็งแกร่งที่สุดกับฉินอวี้โม่–*คุณหนูลึกลับผู้เก่งกาจแห่งหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ อาจจะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน และยิ่งได้เห็นรอยยิ้มเปี่ยมสุขที่หานโม่ฉือมอบให้ฉินอวี้โม่ พวกเขาก็ยิ่งประหลาดใจจนกล่าวสิ่งใดไม่ออก
“เสี่ยวโร่ว เสี่ยวโม่เอ๋อร์ตกลงปลงใจกับหานโม่ฉือไปตั้งแต่เมื่อใดกัน ?”
ฉินเฟินและฉินหยางที่ได้สติกลับมาก่อนใครหันหน้าไปมองเสี่ยวโร่วน้อยผู้ใกล้ชิดกับหลานสาวของพวกเขามากที่สุดและเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เสี่ยวโร่วส่ายหน้าอย่างแรง เรื่องนี้นางเคยไม่รู้จริง ๆ อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นถึงความหล่อเหลาและรูปลักษณ์งดงามมีสง่าราศีของหานโม่ฉือ นางก็คิดว่าคุณชายผู้นั้นก็เหมาะสมกับคุณหนูของนางแล้ว
นี่เป็นสิ่งที่สาวใช้น้อยได้แต่คิดในใจ แน่นอนว่านางไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
“นี่มันเรื่องอะไรกัน อวี้โม่รู้จักกับหานโม่ฉือด้วยหรือ แถมยังคบกันด้วย ?!”
เยว่ชิงเฉิงถามด้วยความสับสนอย่างหนัก พวกเขาไม่เคยเห็นฉินอวี้โม่หรือหานโม่ฉืออยู่ด้วยกันมาก่อน ยิ่งกว่านั้นสหายตระกูลฉินก็ยังไม่เคยเอ่ยถึงบุรุษเย็นชาผู้นั้นเลยด้วยซ้ำ
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้”
โอวหยางชิงเฟิงส่ายศีรษะอย่างงุนงงไม่แพ้กัน แม้แต่เขาเองที่อยู่กับนางในป่าแสงจันทร์ถึงครึ่งปียังไม่เคยรับรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย
“อวี้โม่ เจ้าตัวร้าย นางกล้าปิดบังพวกเรา จบงานข้าจะต้องเค้นคอถามนางให้ได้ !”
แม้ว่าเยว่ชิงเฉิงจะกล่าวออกไปเช่นนั้นแต่ใบหน้านางก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อมองเห็นบรรยากาศแห่งความสุขของคนทั้งคู่ คุณหนูช่างหลอมก็รู้สึกยินดีไปกับสหาย
แม้ว่านางจะไม่รู้จักคุ้นเคยกับบุรุษน้ำแข็งหานโม่ฉือผู้นี้ แต่นางก็ได้ยินเรื่องราวของเขามามาก
เขาทั้งแข็งแกร่งจนถึงขั้นเป็นอัจฉริยะ และยังมีรูปโฉมงดงาม แม้จะดูเย็นชา แต่ก็มีสตรีนับไม่ถ้วนตกหลุมรักเขา ทว่าน่าแปลกที่ตัวนางไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าคุณชายตระกูลหานผู้นี้จะสนใจหรือใกล้ชิดกับสตรีคนไหน
ในตอนนี้เมื่อเขาสามารถยิ้มอย่างอบอุ่นถึงเพียงนั้นให้ฉินอวี้โม่ได้ นั่นแสดงให้เห็นว่าต่อไปในอนาคตสหายรักของนางก็คงจะพบเจอแต่ความสุขเป็นแน่
ทางด้านองค์ชายฉีอวี้ เมื่อได้เห็นความสนิทสนมของหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ ใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษสูงศักดิ์ก็มืดมนลงในทันที แววตาของเขามีร่องรอยแห่งความปวดร้าว ทว่าไม่นานนักองค์ชายผู้เก่งกล้าแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นก็ปรับสีหน้าของตน ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างดังเดิม
หลิงเฟิงหันมองฉีอวี้ที่อยู่ข้างกายพลางส่ายศีรษะและตบไหล่ของเขาเบา ๆ เป็นเชิงปลอบโยน
เขาผู้เป็นสหายสนิทจะไม่ทราบได้อย่างไรว่าองค์ชายสามมีใจให้ฉินอวี้โม่คุณหนูตระกูลฉินมานานแล้ว อย่างไรก็ตามหลิงเฟิงก็ต้องยอมรับว่าแม้เขาจะคิดว่าฉีอวี้สหายของเขายอดเยี่ยมเพียงใด แต่ก็ยังห่างไกลจากหานโม่ฉือที่ยืนเคียงคู่กับฉินอวี้โม่อยู่ในขณะนี้ พวกเขาดูราวกับเป็นมังกรคู่ที่เกิดมาเพื่อกันและกันโดยแท้ จนเขาที่มองอยู่เองยังอดเพ้อฝันไม่ได้ว่าหากมีวาสนาที่ดีในสักวันหนึ่งก็อาจจะได้พบเจอกับผู้ที่จะมาอยู่เคียงคู่ตนเองเช่นนั้นบ้าง
ภาพความสนิทสนมของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือนั้น ผู้คนที่มาจากขุมกำลังน้อยใหญ่ทั้งหลายทั่วทั้งงานเลี้ยงล้วนได้รับรู้ และต่างคนต่างก็มีความคิดเห็นและความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงมีแต่ผู้ที่ชื่นชมหนุ่มสาวทั้งสอง ผู้ที่รู้สึกชิงชังหรือหวาดหวั่นก็มีไม่น้อยเช่นกัน
แท้จริงแล้ว งานเลี้ยงในคืนนี้หลิวหว่านเยียนคิดว่าตนเองควรจะต้องเป็นผู้ที่เฉิดฉายที่สุด และเป็นจุดสนใจของงาน ที่สำคัญด้วยความสนิทสนมกับคุณชายรองตระกูลหาน สาวงามอันดับแปดยังคาดหวังว่าตนจะได้ขึ้นไปนั่งยังแถวหน้าสุดให้ผู้คนได้ยลโฉมและกล่าวคำชมเชย ทว่าไม่คิดเลยว่าผู้นำตระกูล หานปิ่งเซียนจะไม่ไว้หน้านางเลยเช่นนี้
ซ้ำร้ายในตอนนี้ฉินอวี้โม่สตรีที่นางเกลียดที่สุดกลับมีความสัมพันธ์อันไม่ธรรมดากับหานโม่ฉือบุรุษเพียบพร้อมที่ไม่ต่างจากเทพเซียนมาจุติ ยิ่งไปกว่านั้นรอยยิ้มจริงใจที่เขามีให้ฉินอวี้โม่ นางยังไม่เคยได้รับมันจากหานโม่หยวนเลยสักครั้ง
นี่ทำให้หลิวหว่านเยียนอดไม่ได้ที่จะกัดฟันด้วยความโกรธแค้น ในตอนนี้หากนางมีมีดอยู่ในมือ หลิวหว่านเยียนก็คงจะพุ่งเข้าไปสับสตรีผู้นั้นเป็นชิ้น ๆ อย่างไรก็ตามเมื่อมองดูฉินอวี้โม่ในตอนนี้แล้ว สตรีผู้คิดริษยาก็ไม่มีความกล้าพอจะทำสิ่งใดทั้งสิ้น
ตั้งแต่ได้เห็นนางระเบิดรถม้า หลิวหว่านเยียนก็รู้แล้วว่าฉินอวี้โม่เป็นสตรีที่ไม่สมควรยั่วยุ และตอนนี้เมื่อนางมีหานโม่ฉืออยู่ด้วยแล้ว ผู้ใดที่ขวัญกล้าคิดมีเรื่องกับพวกเขาก็เท่ากับรนหาที่ตาย !