ตอนที่ 86 คนจากอาราม (2)

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หานโม่ฉือจับมือบางของฉินอวี้โม่และเดินกลับไปยังที่นั่งของตระกูลฉิน

“ท่านปู่ ท่านอา นี่คือหานโม่ฉือ ว่าที่สามีของข้าเจ้าค่ะ”

เมื่อคู่รักหนุ่มสาวเดินมาถึงตำแหน่งที่ผู้นำตระกูลฉินนั่งอยู่  ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยเรื่องนี้กับฉินเฟินและฉินหยางในทันที นางทราบดีว่าท่านปู่และท่านอาจะต้องมีคำถามมากมายแน่ แต่ถึงอย่างนั้นเวลานี้ก็ยังไม่สมควรที่พวกเขาจะสืบสาวเอาความกับนาง คุณหนูคนงามจึงมั่นใจว่าตอนนี้จะยังไม่ต้องกระอักกระอ่วนตอบคำถามน่าอายบางข้อ

เมื่อได้ยินที่ฉินอวี้โม่กล่าว หานโม่ฉือก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย บุรุษน้ำแข็งส่งสายตามองค้อนนางมารน้อยของเขาพร้อมกับบีบมือบางในมือแน่นขึ้นอย่างคาดโทษ  … ‘นางเป็นสตรีแบบใดถึงได้ใจกล้ากล่าวเช่นนั้นต่อหน้าญาติผู้ใหญ่ กล่าวเรื่องนี้ครั้งแรกก็ควรเป็นบุรุษอย่างเขาเป็นคนเอ่ยปากถึงจะเหมาะสม’

ฉินอวี้โม่เหลือบมองหานโม่ฉือแล้วอดขำใบหน้าคล้ายจะต่อว่านั้นไม่ได้ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยพอใจกับการที่นางแย่งเขาพูดเรื่องนี้เท่าไหร่นัก

ฉินเฟินและฉินหยางพยักหน้า แน่นอนว่าเพียงแค่ดูบรรยากาศอันอบอวลด้วยความอบอุ่นและสนิทสนมกันของสองหนุ่มสาวพวกเขาก็พอจะเข้าใจแล้ว ดังนั้นก็คงไม่ต้องกล่าวสิ่งใดให้มากความ

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟินกับบุตรชายก็หันมามองหน้ากัน พวกเขาตั้งใจไว้ว่าหลังกลับจากงานเลี้ยงพวกเขาคงต้องคุยเรื่องนี้กับหลานสาวตัวน้อยกันเสียหน่อย

แน่นอนว่าภาพที่ฉินเฟินและฉินหยางหันไปมองหน้าและส่งสายตาบางอย่างให้แก่กัน ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเองก็เห็น ทว่าคู่รักหนุ่มสาวก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใด

หานโม่ฉือนั่งลงตรงที่นั่งข้างกายคุณหนูตระกูลฉิน บุรุษมนุษย์น้ำแข็งจับมือว่าที่ภรรยาของเขาไว้ตลอดเวลาเพื่อเป็นการประกาศให้ทุกคนในที่นี้ได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสอง

หานปิ่งเซียนนั้นคิดว่าไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องขัดขวาง และเขาก็ไม่เห็นหนทางที่จะห้ามปรามบุตรชายได้  เมื่อเห็นว่าหานโม่ฉือนั่งอยู่กับฉินอวี้โม่เช่นนั้น เขาก็ทำได้เพียงส่งยิ้มสุภาพเป็นเชิงขออนุญาตไปให้ฉินเฟินและฉินหยาง

ส่วนทางฝั่งตระกูลฉิน เมื่อเห็นว่าทางฝั่งผู้นำขุมกำลังลับที่ทรงอิทธิพลมากในแผ่นดินส่งยิ้มมา ฉินเฟินและฉินหยางเองก็ยิ้มกลับไปอย่างชื่นมื่น

“คุณหนู นี่คือว่าที่สามีของคุณหนูหรือเจ้าคะ ?”

แม้ว่าหานโม่ฉือจะดูเป็นบุรุษที่เข้าถึงได้ยากและไม่ว่าผู้ใดต่างก็หวั่นเกรงความเย็นชาและสภาวะพลังอันน่ากลัวในตัวเขา ทว่านั่นเป็นข้อยกเว้นสำหรับสาวใช้คนซื่อ เสี่ยวโร่วน้อยผู้ไม่มีความกลัวใด ๆ เอ่ยปากถามฉินอวี้โม่ออกไปตรง ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“อาจจะนะ”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าและตอบคำถามของเสี่ยวโร่ว แต่ทันใดนั้นคุณหนูโฉมงามก็ได้เห็นสายตาทิ่มแทงระคนเจ็บปวดของบุรุษข้างกาย

“โม่เอ๋อร์ เจ้าไม่มั่นใจในตัวข้าอย่างนั้นหรือ ?”

หานโม่ฉือเอ่ยขึ้น ในน้ำเสียงของเขามีความขมขื่นเจืออยู่เล็กน้อย

ฉินอวี้โม่มองหานโม่ฉืออย่างหมดคำพูด ยิ่งใกล้ชิดกับเขามากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาต่างจากเปลือกนอกที่แสดงให้เห็นมากมายนัก

“อวี้โม่ โม่ฉือ พวกเจ้ามาถึงขั้นนี้กันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่เห็นบอกให้ข้ารู้บ้างเลย”

ในตอนนั้นเอง หลินจิ้งหงก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

หานโม่ฉือถือเป็นสหายรักของเขา ในตอนที่คนผู้นี้รู้จักกับฉินอวี้โม่ พวกเขาก็อยู่ด้วยกันตลอด ที่สำคัญช่วงเวลานั้นหานโม่ฉือไม่มีท่าทีว่าจะสนใจไยดีสตรีตระกูลฉินผู้นี้แม้แต่น้อย

ทว่าเหตุใด จู่ ๆ ตอนนี้พวกเขาถึงได้มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกันถึงเพียงนี้

ต้องกล่าวเลยว่าในเวลานี้หัวใจของหลินจิ้งหงกำลังอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกอันหลากหลายและซับซ้อน ความโกรธเคือง ความเศร้าโศก ความน้อยใจ ความขื่นขม ผสมปนเปและหมุนวนไปในหัวใจของเขาจนยากจะบรรยาย  ก่อนหน้านี้เขายอมรับว่ามีความรู้สึกดี ๆ ให้กับฉินอวี้โม่ เขารู้ดีว่าฉินอวี้โม่เป็นสตรีที่หาได้ยากในโลกใบนี้ หลินจิ้งหงรู้สึกว่าสตรีไม่ธรรมดาผู้นี้คู่ควรที่จะมาเป็นภรรยาของเขาผู้ซึ่งเป็นนายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้างมากที่สุด

ทว่าจู่ๆ วันนี้เขาก็ได้มารับรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสตรีที่เขาหมายปองกับสหายรักของเขาอย่างกะทันหัน แน่นอนว่าหัวใจของคุณชายผู้หยิ่งยโสก็เกิดความเจ็บปวดเป็นธรรมดา

อย่างไรก็ตาม หลินจิ้งหงก็มีความจริงใจกับหานโม่ฉือสหายสนิท

บุรุษน้ำแข็งผู้นี้คือเพื่อนรักของเขา ตั้งแต่รู้จักกันมา หลินจิ้งหงไม่เคยเห็นหานโม่ฉือใกล้ชิดกับสตรีมาก่อน อย่าว่าแต่เหล่าสตรี แม้แต่บุรุษที่เป็นสหายสนิทอย่างเขาบางครั้งก็ยังเข้าไม่ถึงความรู้สึกนึกคิดของคนผู้นี้  เพราะที่ผ่านมา หานโม่ฉือมักจะสวมหน้ากากเย็นชาต่อหน้าผู้คนและสร้างกำแพงหนาคุ้มกันหัวใจเอาไว้เสมอ ฉะนั้น หลินจิ้งหงจึงคิดว่าคงจะไม่มีสตรีคนใดผ่านเข้าไปในหัวใจอันหนาวเหน็บของมนุษย์น้ำแข็งเพื่อนรักได้  ทว่าเขาก็รู้ดีที่สุดว่าลึก ๆ แล้วสหายของเขาโดดเดี่ยวเพียงใด หานโม่ฉือนั้นกำลังแบกรับเรื่องราวที่หนักหนาสาหัสไว้ด้วยตัวคนเดียว ในตอนนี้เมื่อมีฉินอวี้โม่เข้ามาในชีวิตของหานโม่ฉือ เขาก็ควรจะดีใจกับสหายถึงจะถูก

ด้วยเหตุผลนี้ ทำให้หลินจิ้งหงต้องพยายามสยบความปวดร้าวในใจและปั้นยิ้มขี้เล่นส่งให้สหาย

“ข้าขอโทษเจ้าด้วย บอกตอนนี้คงไม่สายไปใช่ไหม ?”

หานโม่ฉือมองหลินจิ้งหงก่อนจะเอ่ยขออภัยด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเห็นรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่งของสหายน้ำแข็ง หลินจิ้งหงก็ตระหนักได้ในตอนนั้นว่าคงมีเพียงนาง*–ฉินอวี้โม่*  สตรีผู้กำลังอยู่เคียงข้างหานโม่ฉือผู้นี้คนเดียวเท่านั้น  ที่สามารถเปลี่ยนแปลงเพื่อนรักของเขาได้ ซึ่งยิ่งเมื่อเห็นเช่นนี้ นายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้างก็ยิ่งต้องกดข่มความรู้สึกในหัวใจของตัวเองไว้

หากกล่าวกันตามตรง หลังจากที่กลับมาจากเมืองหลิงซี ทั้งหลินจิ้งหงและหานโม่ฉือก็แทบไม่ได้พบหน้ากันเลย

พวกเขาทั้งสองคนต่างก็มีงานและภารกิจมากมายของตัวเองที่ต้องจัดการ น้อยครั้งเหลือเกินที่พวกเขาจะมีโอกาสได้พบหน้ากัน ในช่วงนี้หานโม่ฉือยุ่งกับงานภายในตระกูลหาน หลินจิ้งหงรู้มาว่าก่อนที่เขาจะไปยังป่าแสงจันทร์ ดูเหมือนว่าสหายมนุษย์น้ำแข็งจะกำลังทำการสืบสวนบางอย่างอยู่

ส่วนหลินจิ้งหงเองก็มีงานมากมายให้จัดการที่สมาคมทหารรับจ้าง

“เอาเถอะ หากว่าเจ้าอยากให้ข้ายกโทษให้ ไว้มีโอกาสเจ้าช่วยเลี้ยงอาหารข้าที่ตึกเต๋อเยว่สักมื้อก็แล้วกัน”

หลินจิ้งหงพยักหน้าและนั่งลงด้วยท่าทางสบาย ๆ ข้างกายฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ

ในตอนนี้สายตาทุกคู่ต่างก็จับจ้องมายังตระกูลฉิน

หานโม่ฉือและหลินจิ้งหงมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด เรื่องนี้ทุกคนในนครไป๋อวิ๋นต่างก็ทราบกันดี แต่เมื่อได้ฟังจากคำพูด ท่าทาง รวมถึงน้ำเสียงของหลินจิ้งหง ทุกคนก็รู้ได้ทันทีว่าหลินจิ้งหงรู้จักคุ้นเคยกับฉินอวี้โม่ไม่น้อย  ยิ่งกว่านั้น บางคนยังคาดเดาได้อีกด้วยว่าคุณชายแห่งสมาคมทหารรับจ้างผู้นี้เองก็คงมีใจให้คุณหนูตระกูลฉินเช่นกัน

ในตอนนี้สายตาทุกคู่ที่มองมายังฉินอวี้โม่เปลี่ยนไปจากเดิม ก่อนหน้านี้พวกเขาทราบเพียงว่าคุณหนูตระกูลฉินผู้นี้มาจากตระกูลสาขาที่ตั้งอยู่ในเมืองเล็กๆ อันแสนห่างไกลอย่างหลิงซี  ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดว่าสตรีจากแดนไกลจะมีสิ่งใดที่พิเศษ และในสายตาของขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายพวกเขายังไม่นับนางเป็นสมาชิกของตระกูลฉินเลยด้วยซ้ำ

ทว่าเวลานี้  ดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องจับตาดูฉินอวี้โม่ผู้นี้เสียแล้ว หากนางสามารถเป็นสหายกับหลินจิ้งหง เยว่ชิงเฉิง โอวหยางชิงเฟิง รวมถึงมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับหานโม่ฉือได้ นั่นแสดงว่าสตรีผู้นี้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน

หลังจากหลินจิ้งหงนั่งลงได้เพียงชั่วครู่เดียว ฉีเยวี่ยนเวย จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นและฮองเฮาเหวินหย่าก็เสด็จมาถึงพื้นที่จัดงาน

ทุกคนในตำหนักจัดงานเลี้ยงต่างก็ลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียง แม้ว่าพลังอำนาจของราชสำนักจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากมายในดินแดนที่มีเหล่าขุมกำลังมหาอำนาจอยู่อย่างชุกชุมเช่นหวนหลิง แต่อย่างไรทุกคนก็ยังให้ความเคารพต่อราชวงศ์ซึ่งเป็นผู้ปกครองแผ่นดินอยู่ดี

“ทุกท่านไม่ต้องเป็นทางการนักก็ได้ โปรดนั่งลงเถิด งานเลี้ยงครั้งนี้เชิญสนุกให้เต็มที่ ขอให้คิดว่ามันไม่ต่างจากงานเลี้ยงธรรมดา ๆ”

จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยตรัสกับแขกผู้มาร่วมงานด้วยรอยยิ้ม พระองค์มีพระพักตร์คล้ายกับองค์ชายฉีอวี้ถึงแปดส่วน พระวรกายผึ่งผายสง่างามดูภูมิฐาน แม้จะมีรัศมีแห่งพระบารมีสูงส่งแต่ก็มีกิริยาท่าทางอบอุ่นอ่อนโยน ดูแล้วคล้ายกับว่าพระองค์จะเป็นจักรพรรดิที่เข้าถึงได้ง่าย

“เสี่ยวอวี้โม่ ไหน ๆ ก็มาถึงนครไป๋อวิ๋นแล้ว เหตุใดไม่แวะมาเยี่ยมป้าเหวินหย่าผู้นี้บ้างเลย ?”

ในตอนนั้นเองที่ฮองเฮาเหวินหย่ามองเห็นฉินอวี้โม่ในตำแหน่งที่นั่งของตระกูลฉิน พระนางเดินเข้ามาหาดรุณีผู้เก่งกล้าที่พบในเมืองเยว่กวางด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงที่ใช้เอ่ยฟังดูคล้ายมีเศษเสี้ยวแห่งความน้อยใจเล็ก ๆ เจืออยู่

ฉินอวี้โม่รีบลุกขึ้นมาต้อนรับ  และเป็นตอนนั้นเองที่ฮองเฮาเหวินหย่าดึงนางเข้ามากอดอย่างอบอุ่น “องค์ฮองเฮา มีเรื่องบางอย่างทำให้หม่อมฉันต้องชักช้าไปบ้าง ขอพระองค์ได้โปรดอย่าถือสาเลยนะเพคะ”

อันที่จริง ฉินอวี้โม่ตั้งใจจะเข้าไปเยี่ยมเยือนฮองเฮาเหวินหย่าตั้งแต่เมื่อครั้งมาถึงนครไป๋อวิ๋นในช่วงแรก ๆ แล้ว  ทว่าเป็นเพราะอดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูมัวแต่คร่ำเคร่งกับการศึกษาวิชาการหลอมและหาหนทางพัฒนาฝีมือ นางวิ่งเข้าวิ่งออกสมาคมช่างหลอมทุกวัน ศึกษาตำราช่างหลอมอย่างหนักหน่วงแทบไม่หยุดพักจนในที่สุดก็ทำให้หลงลืมเรื่องนั้นไป

เวลานี้ เมื่อนึกขึ้นได้ ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกเสียใจและกระอักกระอ่วน

“เด็กโง่ ข้าจะตำหนิเจ้าได้อย่างไร แล้วจำไว้ ต่อไปไม่ต้องเรียกข้าว่าฮองเฮา เรียกว่าป้าเหวินหย่าก็พอ”

เมื่อฮองเฮาเหวินหย่าได้ยินน้ำเสียงที่เสียใจอย่างสุดซึ้งของฉินอวี้โม่ สตรีผู้สูงศักดิ์ก็ลูบหัวสตรีน้อยตรงหน้าอย่างอ่อนโยน

“หยาหย่า นี่คือแม่นางอวี้โม่ที่เจ้าเล่าให้ข้าฟังก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่ ?”

องค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยเดินตรงเข้ามาและมองสำรวจใบหน้าของฉินอวี้โม่ก่อนจะพยักหน้าอย่างนุ่มนวลแล้วกล่าวต่อ

“เหมือนกันจริง ๆ”

ฉินอวี้โม่ตกตะลึงเมื่อได้ยินคำกล่าวขององค์จักรพรรดิ

“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าก็เรียกข้าว่าท่านลุงเถอะนะ”

จักรพรรดิผู้ปกครองจักรวรรดิไป๋อวิ๋นผู้นี้ใจดีเป็นอย่างมาก น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมาก็มีแต่ความอบอุ่นและเป็นกันเอง

เขาได้ยินมาจากฮองเฮาเหวินหย่าว่านางได้พบกับเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับสหายเก่าของนางหลายส่วน ตอนนี้เมื่อได้มาเห็นแล้ว บุรุษผู้ปกครองแผ่นดินก็ต้องยอมรับว่าคล้ายกันมากจริง ๆ  ยิ่งกว่านั้น โอรสและธิดาของเขาทั้งคู่ก็ดูจะชื่นชมในตัวฉินอวี้โม่ผู้นี้ไม่น้อย  แน่นอนว่าเขาเองก็ประทับใจในตัวแม่นางน้อยผู้นี้เช่นกัน

ฉินอวี้โม่ก้มหัวคารวะ นางสัมผัสได้ถึงพระเมตตาที่องค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยมีต่อนาง ในเรื่องนี้นางไม่ทราบความใด ๆ จึงไม่สามารถปฏิเสธ ตอนนี้เท่าที่ลองจับความดูแล้ว อดีตนักฆ่าสาวก็เข้าใจว่าฮองเฮาเหวินหย่ากับจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยน่าจะรู้จักใครบางคนที่ดูคล้ายตัวนางมาก  อย่างไรก็ตาม คุณหนูคนงามก็ไม่ค่อยมั่นใจนัก

“เสี่ยวอวี้โม่ หลังจบงานเลี้ยงอย่าเพิ่งออกไปไหน ข้ามีบางอย่างอยากจะพูดคุยกับเจ้า”

ฮองเฮาเหวินหย่าเอ่ยกับฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ทว่าในน้ำเสียงก็แฝงด้วยความจริงจังส่วนหนึ่ง เมื่อเห็นสาวน้อยพยักหน้า พระนางกับองค์จักรพรรดิก็เดินกลับไปนั่งที่บัลลังก์

“ดังเช่นที่ทุกท่านทราบกันดี  ทุก ๆ ปีก่อนที่โรงเรียนราชสำนักจะเปิดภาคการศึกษา พวกเราจะจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำขึ้นในพระราชวังไป๋อวิ๋น เพื่อให้ทุกขุมกำลังของเมืองหลวงได้มาพบปะกัน แลกเปลี่ยนเรื่องราวข่าวสาร รวมถึงทำความรู้จักสนิทสนมก่อนที่เหล่าลูกหลานคนรุ่นใหม่จะเข้าไปศึกษาร่วมกันในโรงเรียนราชสำนัก ซึ่งทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์สร้างความกลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียว  และข้าก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่จะช่วยให้จักรวรรดิไป๋อวิ๋นของเราแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต”

องค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยตรัสแก่ทุกคนในงานเลี้ยงด้วยน้ำเสียงที่ทรงอำนาจและน่ายำเกรง

จักรวรรดิไป๋อวิ๋นจะให้ความสนใจในการพัฒนาผู้มีพรสวรรค์ และจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยก็ชมชอบและชื่นชมในเหล่าผู้มีพรสวรรค์เป็นอย่างมาก  หลายคนที่ได้เข้าเรียนในโรงเรียนราชสำนัก เมื่อจบออกมาพวกเขาก็จะได้ทำงานในพระราชวัง  อย่างไรก็ตามจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยก็ไม่ได้บีบบังคับให้ทุกคนทำงานเพื่อราชสำนัก  แต่เขาจะใช้วิธีจูงใจโดยมอบสิ่งตอบแทนที่แสนคุ้มค่า และให้ผู้ที่เข้าร่วมกับทางจักรวรรดิได้ใช้ทรัพยากรอย่างดีที่สุด  ซึ่งวิธีนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

ในหลายปีที่ผ่านมา วังหลวงใช้งานเลี้ยงอาหารค่ำก่อนการคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนักเพื่อให้ได้พบปะและใกล้ชิดกับขุมกำลังในนครไป๋อวิ๋นทั้งหมด โดยงานเลี้ยงจะจัดขึ้นภายใต้พระนามขององค์จักรพรรดิและฮองเฮา ทางวังหลวงจะดูแลรับผิดชอบการจัดงานในทุกส่วน นอกจากอาหารและเครื่องดื่มจากห้องเครื่องหลวงแล้วก็ยังมีการแจกของกำนัลและของรางวัลภายในงานอีกด้วย งานเลี้ยงในครั้งนี้นับว่าเป็นการซื้อใจเหล่าขุมกำลังน้อยใหญ่ทั้งหลาย ดังนั้นจึงมีความสำคัญต่อจักรวรรดิไป๋อวิ๋นเป็นอย่างมาก

“การสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนักในปีนี้มีความคึกคักกว่าปีก่อนมาก ครั้งนี้เหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์จากทั่วดินแดนมารวมตัวกันเป็นจำนวนมหาศาล และทุกคนที่มุ่งมั่นเดินทางมาที่นี่ก็ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สูงส่งและเป็นความหวังของตระกูล ข้าได้แต่หวังว่าทุกคนจะสามารถเข้าไปศึกษาในโรงเรียนราชสำนักได้อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ หลังจากกลายเป็นนักเรียนของโรงเรียนราชสำนัก พวกท่านก็จะเป็นผู้ที่คนทั่วทั้งแผ่นดินจับตามอง !”

องค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยตรัสต่อ แม้ว่าจะขึ้นชื่อว่าโรงเรียนราชสำนัก แต่จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของที่นี่กลับไม่ได้เห็นประโยชน์ต่อราชสำนักเป็นที่หนึ่ง โรงเรียนราชสำนักภายใต้การปกครองของจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยนั้นเพียงแต่ต้องการจะผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ และสามารถดึงศักยภาพอันเป็นเลิศของนักเรียนทุกคนออกมาได้อย่างเฉิดฉาย  เพราะจักรพรรดิพระองค์นี้ไม่มีความเห็นแก่ตัวอยู่เลยแม้แต่น้อย  ความตั้งใจจริงแท้ของเขาคืออยากให้ทุกคนแข็งแกร่งและประสบความสำเร็จได้

เหล่าผู้ดูแลโรงเรียนราชสำนักก็เช่นกัน พวกเขามีความหวังสูงสุดว่าวันหนึ่งผู้ที่จบการศึกษาจากโรงเรียนราชสำนักแห่งไป๋อวิ๋นจะกลายเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลติดในอันดับต้น ๆ ของหวนหลิง โดยไม่จำเป็นว่าจะเป็นคนในจักรวรรดิไป๋อวิ๋นหรือต้องทำงานให้แก่จักรวรรดิแห่งนี้เท่านั้น

ในดินแดนมายาแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลนัก และหนทางที่จะก้าวไปให้ถึงจุดนั้นก็มิใช่เรื่องง่าย มันทั้งยาวไกลและมีอุปสรรคมากมายให้ข้ามผ่าน  การจบการศึกษาจากโรงเรียนราชสำนักจึงเป็นเพียงความสำเร็จก้าวแรกเท่านั้น

“ฮ่า ๆ ฝ่าบาทก็ช่างจะกล่าวนะ*‘ข้าหวังให้ทุกคนได้เข้าเรียนในโรงเรียนราชสำนักได้ตามที่ตั้งใจไว้’*แต่ถึงอย่างไรจำนวนคนที่ทางราชสำนักเปิดรับก็มีจำกัดอยู่ดี ข้าเกรงว่าคงไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าไปได้แล้วมั้ง”

ทันทีที่เสียงขององค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยสิ้นสุดลง ก็มีวาจาเสียดสีเสียงหนึ่งดังขึ้น

บุรุษจำนวนนับสิบค่อย ๆ ย่างเท้าเข้ามาในพื้นที่จัดงานเลี้ยงและเรียกให้ทุกสายตาหันไปจ้องมองพวกเขา

คนในกลุ่มทุกคนสวมชุดสีขาว ผู้นำของคนกลุ่มนี้เป็นบุรุษวัยกลางคนที่ค่อนไปทางสูงอายุ ทางด้านหลังเขามีคนรุ่นเยาว์กว่าสิบคนติดตามมา ซึ่งเมื่อดูแล้วคนทั้งหมดก็ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งด้วยกันทั้งสิ้น

“ฮ่า ๆ วันนี้แม้จะไม่ได้รับเชิญ แต่ทางอารามของเราก็ตั้งใจมา ขอฝ่าบาทอย่าได้ตำหนิ”

บุรุษวัยกลางคนค่อนสูงอายุที่ดูเหมือนเป็นผู้นำผู้นั้นก้าวออกมาและเอ่ยขออภัยกับองค์จักรพรรดิ แม้จะกล่าววาจาเป็นเชิงขอโทษ ทว่าน้ำเสียง สีหน้า และแววตาของคนผู้นี้กลับไม่มีความรู้สึกผิดหรือขออภัยใด ๆ ทั้งสิ้น

เมื่อได้ยินบุรุษวัยกลางคนผู้มาใหม่กล่าวอ้างว่าตนมาจากอาราม คนจำนวนมากที่อยู่ในงานเลี้ยงต่างก็หยุดชะงักด้วยความตกใจ แต่กระนั้นก็ไม่มีผู้ใดเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมา  อย่างไรก็ตาม ท่าทีของบุรุษวัยใกล้สูงอายุผู้นี้ก็ทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ไม่ใคร่จะชอบใจเท่าไหร่นัก

แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนจากอารามที่แสนภาคภูมิใจในตนเอง… แม้ว่าพวกเขาจะเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งและยากที่จะรับมือ… แต่แล้วอย่างไร ? ที่นี่คือเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋น และนี่คืองานเลี้ยงที่รวมเหล่าขุมกำลังที่มีอำนาจมหาศาลมาจากทั้งจักรวรรดิ ที่แห่งนี้มีผู้มีอำนาจไม่น้อยและที่สำคัญพวกเขาไม่เกรงกลัวคนจากอาราม

“ฮ่า ๆ ท่านก็อย่าล้อเล่นเลย มันเป็นเกียรติของนครไป๋อวิ๋นของเราเสียอีกที่ทางอารามอุตส่าห์มาเยือนเช่นนี้ แต่ที่ข้าไม่ทราบก็คือวันนี้ทางขุมกำลังทรงอำนาจอย่างอารามมาทำสิ่งใดที่นครไป๋อวิ๋นของเรา ?”

องค์ฉีเยวี่ยนเวยนั้น สมแล้วที่เป็นถึงผู้นำแห่งจักรวรรดิ ในตอนนี้สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย วาจาที่เขาเอื้อนเอ่ยออกมา แม้คล้ายจะเกรงใจ แต่ทว่ากลับมีความน่ายำเกรงอยู่อย่างเปี่ยมล้นและไม่มีท่าทีเกรงกลัวอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

“ทางอารามของเราได้ยินมาว่าโรงเรียนราชสำนักของจักรวรรดิไป๋อวิ๋นเป็นเลิศนัก ทางเราเองจึงอยากจะส่งคนมาลองเข้าร่วมการทดสอบเพื่อดูว่าโรงเรียนราชสำนักแห่งนี้จะดีเลิศอย่างที่เล่าลือหรือไม่ ไม่ทราบว่าเรื่องนี้ฝ่าบาทจะขัดข้องสิ่งใดไหม ?”

แท้จริงแล้ว บุรุษวัยกลางคนที่นำกลุ่มคนรุ่นเยาว์จากอารามมามิใช่ใครอื่น เขาคือ*–ลิ่วรุ่ย*บิดาของลิ่วเยว่ที่ทุกคนคิดว่าถูกหานโม่ฉือสังหารไปในป่าแสงจันทร์  เขาคือผู้อาวุโสสองแห่งอาราม และในวันนี้เขาก็มาที่นี่เพื่อหาทางแก้แค้นให้บุตรชายโดยเฉพาะ

แม้ว่าทางเจ้าอารามจะเคยกล่าวไว้ว่าหานโม่ฉือไม่ใช่ผู้ที่ใครจะเข้าไปยั่วยุได้ ทว่าลิ่วรุ่ยก็ไม่สนใจ

วันนี้เขาจะแสดงให้คนรุ่นเยาว์แสนโอหังผู้นั้นได้รู้ว่าความน่ากลัวของขุมกำลังใหญ่อย่างอารามเป็นเช่นไร !

แม้ว่าก่อนเดินทางออกมา เขาจะให้สัญญาว่าจะไม่เข้าไปยุ่งกับหานโม่ฉือและจะจัดการเพียงแค่ฉินอวี้โม่ แต่แท้จริงแล้ว บุรุษผู้คั่งแค้นเพราะสูญเสียบุตรชายวางแผนไว้ว่าจะหาโอกาสสังหารทั้งฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไปพร้อมกัน