“ฮ่า ๆ การที่อารามจะส่งคนมาเข้าร่วมการสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนักแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ดีและเป็นเกียรติสำหรับเราอย่างมาก อย่างไรก็ตาม หากว่าคนจากอารามไม่ผ่านการทดสอบ ข้าก็หวังว่าท่านเจ้าอารามจะไม่ขุ่นเคืองในเรื่องนี้”
ทัศนคติและท่าทีวางอำนาจใหญ่โตที่ลิ่วรุ่ยแสดงออกในวันนี้ทำให้ทุกคนในงานเลี้ยงขุ่นเคืองใจไม่น้อย และก็แน่นอนว่าในฐานะของผู้นำแห่งจักรวรรดิ จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยเองก็มีอารมณ์โกรธขึ้นมาบ้างเป็นธรรมดา
แม้ว่าอารามจะเป็นขุมกำลังที่ลึกลับและทรงอำนาจมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดินไป๋อวิ๋นอย่างพวกเขาจะต้องเกรงกลัว
เมื่อครู่ คำกล่าวของจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยนั้นราวกับเป็นตัวแทนความรู้สึกของทุกคน บุรุษสูงศักดิ์ผู้นี้สมแล้วจริง ๆ ที่เป็นถึงจักรพรรดิผู้ปกครองจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่แห่งนี้
สิ่งที่องค์จักรพรรดิตรัสออกไปเมื่อสักครู่ แม้จะไม่ได้กล่าวออกไปตรง ๆ ว่าจะต่อต้านอารามที่ส่งคนมาเข้าร่วมการคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนัก แต่ก็ถือเป็นการแสดงจุดยืนของจักรวรรดิไป๋อวิ๋นได้เป็นอย่างดี
แน่นอนว่าเมื่อได้ยินคำโต้ตอบของฉีเยวี่ยนเวย สีหน้าของลิ่วรุ่ยก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเข้าใจความนัยจากวาจาของบุรุษสูงศักดิ์ผู้นี้ และเขารู้สึกโกรธเคืองที่จักรพรรดิแห่งไป๋อวิ๋นไม่เห็นอารามของพวกเขาอยู่ในสายตา
“ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่พระองค์ไม่ต้องทรงเป็นกังวล ทางฝ่ายพระองค์ควรห่วงเรื่องการจัดการทดสอบดีกว่าว่าจะทำอย่างไรไม่ให้คนของพวกท่านต้องเผชิญหน้ากับคนจากอารามเรามิฉะนั้นแล้วคนจำนวนมากของพวกท่านอาจจะไม่มีโอกาสได้เข้าเรียนในโรงเรียนราชสำนักเลยก็ได้”
ลิ่วรุ่ยกล่าวอย่างเย็นชาก่อนจะหลังกลับออกไปพร้อมกับคนของเขา
“บัดซบ โอหังนัก ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าอารามของพวกมันจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน”
เมื่อได้ยินคำข่มขู่ของลิ่วรุ่ย หลินจิ้งหงก็อดไม่ได้ที่จะสบถออกมา
หากไม่ใช่เพราะหานโม่ฉือกำลังห้ามเอาไว้ เกรงว่านายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้างก็คงจะลุกขึ้นยืนและเข้าไปต่อว่าชายวัยกลางคนนามว่าลิ่วรุ่ยผู้นั้นแล้ว
“หากว่าเจ้าโกรธนัก เจ้าก็แค่หาทางไม่ให้พวกเขาสอบผ่านเข้าไปเรียนในโรงเรียนราชสำนักก็หมดเรื่อง”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นด้วยเสียงเรียบเฉย นางไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองมากนัก
ในตอนที่อดีตนักฆ่าสาวมองเห็นลิ่วรุ่ยเดินเข้ามา นางก็สัมผัสได้ว่าคนผู้นั้นมีความเป็นปฏิปักษ์ต่อตัวนางอย่างมาก และเพียงแค่เห็นรูปลักษณ์และใบหน้าของเขา ฉินอวี้โม่ก็พอจะคาดเดาเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว
เรื่องที่บุรุษวัยกลางคนจากอารามกล่าวว่านำคนมาเข้าร่วมการคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนักนั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ในความจริงแล้วพวกเขามาเพราะฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ แววตาที่เต็มไปด้วยรังสีสังหารของคนผู้นั้นก็พอจะพิสูจน์ทุกอย่างได้แล้ว จุดประสงค์แท้จริงของคนจากอารามผู้นั้นคือการสังหารฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเพื่อแก้แค้นให้กับบุตรชายของเขา
เนื่องจากครั้งนี้พวกเขามาเพราะนาง นางก็จะไม่แสดงความอ่อนแอหรือเปิดเผยจุดอ่อนให้ผู้ใดเห็น หากต้องการจะฆ่านาง ฉินอวี้โม่ก็อยากจะดูว่าอีกฝ่ายมีความสามารถนั้นหรือไม่
“คนผู้นั้นคือผู้อาวุโสสองของอารามนามว่าลิ่วรุ่ย เขาอยู่ในขอบเขต *‘มายาบรรพชน’*เจ็ดดารา คนผู้นี้ถือว่าแข็งแกร่งพอใช้ได้เลย ที่สำคัญเขาคือบิดาของลิ่วเยว่ เขารักบุตรชายของเขามากและมีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้น ต่อไปเจ้าต้องระวังคนคนนี้ให้ดี ๆ”
หานโม่ฉือกล่าวเสียงนิ่งเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้อาวุโสสองแห่งอารามและยังบอกให้นางระวังตัว ฉินอวี้โม่คาดไว้ไม่มีผิด คนผู้นี้แท้จริงแล้วก็คือบิดาของลิ่วเยว่
อย่างไรก็ตาม จากคำพูดและท่าทีของหานโม่ฉือ มันทำให้นางยิ่งประหลาดใจในความแข็งแกร่งของเขา อีกฝ่ายคือยอดฝีมือขอบเขตมายาบรรพชนเจ็ดดาราซึ่งถือว่าเป็นตัวตนระดับสูงของดินแดนหวนหลิงแล้ว ทว่าหานโม่ฉือกลับกล่าวว่าลิ่วรุ่ยผู้นั้นเพียงแต่*‘แข็งแกร่งพอใช้ได้’*เช่นนั้นก็แสดงว่าความแข็งแกร่งของบุรุษน้ำแข็งผู้นี้คงจะยากเกินกว่าที่จะจินตนาการได้
“โม่ฉือ ตอนนี้เจ้าแข็งแกร่งมากแค่ไหนกัน ?”
เมื่อเกิดความคิดเช่นนี้ ฉินอวี้โม่ก็ถามหานโม่ฉือออกไปตรง ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“อย่างไรก็ไม่แย่กว่ามายาบรรพชนเจ็ดดารา”
หานโม่ฉือตอบออกมาเพียงเท่านี้ ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าที่ดูไม่พอใจนักของฉินอวี้โม่เขาจึงกล่าวเพิ่ม “ลิ่วรุ่ยผู้นั้นหากจำเป็นต้องรับมือกับเขา ข้าขอไม่เกินสิบกระบวนท่า”
ฉินอวี้โม่ถึงกับนิ่งอึ้งไป มนุษย์น้ำแข็งของนางไม่เคยกล่าวโอ้อวด หากเขากล่าวว่ายอดฝีมือมายาบรรพชนเจ็ดดารายังต้านเขาได้ไม่ถึงสิบกระบวนท่าก็มีความหมายตรงตามนั้น อีกทั้งเขายังกล่าวด้วยเสียงจริงจังถึงเพียงนี้ เช่นนั้นแล้ว*… ‘ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหานโม่ฉือน่ากลัวเพียงใดกัน ?’*
อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งยังอยู่ที่เมืองหลิงซี ฉินอวี้โม่ก็ถามด้วยความสังสัย “จำได้ว่าครั้งก่อนที่เมืองหลิงซี…”
“นั่นเป็นเพราะข้าใช้พลังได้เพียงบางส่วน”
หานโม่ฉือรู้ถึงสิ่งที่ฉินอวี้โม่ต้องการจะถาม เขาจึงตอบกลับไปทันที
เมื่อได้ฟังที่หานโม่ฉือกล่าวฉินอวี้โม่ก็เข้าใจ ในตอนที่พบกันครั้งล่าสุดพลังและความแข็งแกร่งส่วนใหญ่ของหานโม่ฉือถูกใช้ไปกับการควบคุมพิษเย็นในร่างกาย ในตอนนี้พิษเย็นนั้นถูกกายเทพมายาของนางกำจัดออกไปจนหมดสิ้นแล้ว ดังนั้นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาจึงกลับคืนมาอีกครั้ง
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉินอวี้โม่ยังไม่ทราบก็คือกายเทพมายาของนางได้มอบผลประโยชน์บางส่วนให้กับหานโม่ฉือ ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยด้วย
“อวี้โม่ ไม่ต้องไปสนใจโม่ฉือนัก เพราะเจ้านี่เป็นสัตว์ประหลาด พรสวรรค์ของเขาน่าอัศจรรย์ ยิ่งข้าพยายามไล่ตามเขาก็ยิ่งถูกทิ้งห่าง”
เมื่อได้ยินการสนทนาของหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ หลินจิ้งหงก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวแทรกขึ้นมา
“เช่นนี้ก็ดีเลย ถ้าเจ้ากล้ารังแกข้าในอนาคต ข้าจะได้ให้โม่ฉือจัดการกับเจ้า”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม นางอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อสหายคุณชายผู้นี้กลับไป
“ข้าจะไปกล้าได้อย่างไร”
หลังจากเหลือบตามองสหายน้ำแข็งที่กำลังปลดปล่อยรังสีอันเยือกเย็นกดดันตัวเขาอยู่ หลินจิ้งหงก็เลือกตอบอย่างชาญฉลาด ทว่าหลังจากนั้นคุณชายเจ้าสำราญก็ได้แต่ทอดถอนใจอย่างปลงตก …‘วาสนาของเขาก็ได้เท่านี้ มีสหายกับเขาคนหนึ่ง แต่พอได้สาวงามมาเคียงข้าง เจ้าสหายรักก็ลืมเลือนสหายเก่าอย่างเขาไปเสีย~’
“เรียนแขกทุกท่าน วันนี้ทุกท่านคงได้เห็นความโอหังของอารามแล้วใช่หรือไม่ แม้ว่าอารามจะเป็นขุมกำลังใหญ่ก็จริง แต่พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวพวกเขา ดังนั้นแล้วข้าขอเสนอว่า ให้ทุกฝ่ายลืมความขัดแย้งที่มีมาและผนึกกำลังกันรับมือกับเหล่าศิษย์ของอารามที่ถูกส่งมาเข้าร่วมการคัดเลือก เพื่อป้องกันไม่ให้คนจากอารามเข้ามาในโรงเรียนราชสำนักของจักรวรรดิเราได้”
*เหล่ยหลิน–*ผู้นำแห่งตระกูลเหล่ย ตระกูลคู่อริตลอดกาลของตระกูลฉินและตระกูลโอวหยางเป็นบุคคลแรกที่ออกปากกล่าวเรื่องนี้ขึ้นมา เขาเองก็ทนไม่ได้ที่เห็นพฤติกรรมของคนจากอารามในวันนี้ แม้ว่าที่ผ่านมาขุมกำลังทั้งหลายภายในไป๋อวิ๋นจะไม่ได้สมัครสมานสามัคคีกันนัก และหลาย ๆ ขุมกำลังก็มีเรื่องบาดหมางกระทบกระทั่งกันเสมอ ทว่านั่นเป็นปัญหาภายในที่พวกเขาต้องสะสางกันเอง ในตอนนี้ เมื่อเป็นเรื่องที่มีคนภายนอกเข้ามายั่วยุ พวกเขาก็ควรจะผนึกกำลังกันรับมือกับศัตรูก่อน
“ข้าเห็นด้วย พวกอารามไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไม่เกรงใจฝ่าบาทซึ่งเป็นเจ้าเหนือหัวผู้ปกครองแผ่นดินไป๋อวิ๋นของพวกเรา อีกทั้งยังกล้ากล่าววาจาข่มขู่ ทำเหมือนไม่เห็นตระกูลใหญ่อย่างพวกเราอยู่ในสายตา เช่นนี้เราก็ควรจะแสดงให้พวกมันได้เห็นว่าพวกเราแข็งแกร่งแค่ไหน อารามจะต้องสำนึกว่าอย่าคิดจะลองดีกับขุมกำลังแห่งนครไป๋อวิ๋น”
โอวหยางเจวี๋ยตัวแทนของผู้นำตระกูลโอวหยางกล่าวด้วยเสียงอันดังก้อง แม้ว่าตระกูลของพวกเขาจะไม่เคยเป็นมิตรกับตระกูลเหล่ย ทว่าสำหรับผู้ประกาศตนเป็นศัตรูของจักรวรรดิไป๋อวิ๋นแล้ว พวกเขาก็มีความคิดเห็นตรงกัน !
“ผู้เฒ่าอย่างข้าไม่มีความเห็นอื่น ข้ายินดีให้การสนับสนุนเพื่อต่อต้านคนจากอาราม”
ผู้เฒ่าฉินเฟินผู้นำตระกูลฉินก็พยักหน้าเห็นด้วย
ในตอนนี้จุดยืนของสามตระกูลใหญ่ตรงกันอย่างน่าประหลาด ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะความหยิ่งยโสไม่เห็นหัวผู้ใดของอาราม จึงทำให้มีภาคีต่อต้านอารามเกิดขึ้นแล้ว
“เช่นนี้ก็ขอขอบคุณทุกท่านมาก ทางราชวงศ์เราก็จะร่วมมือกับทั้งสามตระกูลอีกแรง การคัดเลือกครั้งนี้จะต้องเป็นความล้มเหลวของอาราม”
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะพฤติกรรมและทัศนคติของอารามทำให้อารมณ์ของจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยเต็มไปด้วยความหดหู่เศร้าหมอง ตอนนี้เมื่อได้เห็นการแสดงจุดยืนของสามตระกูลใหญ่ก็ทำให้องค์จักรพรรดิมีกำลังใจและโล่งอกขึ้น
ครานี้ นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับจักรวรรดิไป๋อวิ๋นเป็นอย่างมาก ที่ตระกูลใหญ่ทั้งสามสามารถผนึกกำลังอย่างกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวเพื่อร่วมกันต่อต้านอาราม
“ด้วยความยินดี ฝ่าบาท จักรวรรดิไป๋อวิ๋นคือบ้านของพวกเรา ไม่ว่าใครก็ตามที่มาเหยียดหยามเราก็จะไม่เกรงใจ”
เหล่ยหลินผู้นำตระกูลเหล่ยเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง วาจาของเขาทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยในงานเลี้ยงรู้สึกฮึกเหิม พวกเขามีความคิดเห็นตรงกันกับผู้นำของตระกูลใหญ่ทั้งสาม
“เหล่ยหลิน แม้ว่าที่ผ่านมาเราจะขัดแย้งกับพวกท่านมาตลอด แต่วันนี้ข้าเห็นด้วยกับท่าน หากมีคนคิดจะข่มเหงคนในบ้านเรา ความขัดแย้งภายในก็ควรจะยุติไว้ก่อน”
ฉินหยางกล่าว ในตอนนี้เขาเองก็คิดว่าความขัดแย้งระหว่างตระกูลฉินและตระกูลเหล่ยถือเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปัญหาจากคนของอาราม และเมื่อได้รับรู้ความคิดเห็นของเหล่ยหลินเช่นนั้น ตระกูลฉินเองก็รู้สึกดีและเบาใจไปได้มาก
“ดี ในเมื่อทุกท่านมีความคิดเช่นนี้ ข้าเชื่อว่าครั้งนี้อารามจะต้องขายหน้ากลับไปอย่างแน่นอน เวลานี้เรามาสนุกกับงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้กันต่อเถิด ถัดจากนี้จะมีการแข่งขันสนุก ๆ ให้ทุกท่านได้มีโอกาสเข้าร่วมระหว่างมื้ออาหาร และพวกเรามีของรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ มอบให้สำหรับท่านที่เข้าร่วม”
องค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยยิ้มและโบกมือเพื่อส่งสัญญาณให้ข้าราชบริพารนำของรางวัลที่เตรียมไว้เข้ามา
รางวัลที่ฉีเยวี่ยนเวยเตรียมไว้ไม่ใช่น้อย ๆ เลย มีทั้งโอสถ อาวุธหรือแม้แต่ตำรานภายุทธ์ ซึ่งแต่ละชิ้นนั้นก็ล้วนแต่มีระดับที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย
แน่นอนว่าหากทางวังหลวงอยากจะให้กิจกรรมที่จัดขึ้นนั้นดูคึกคักและมีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก พวกเขาก็ต้องหารางวัลชั้นเลิศที่สามารถจูงใจยอดฝีมือทั้งหลายได้
ฉินอวี้โม่เองก็เข่าร่วมกับการแข่งขันเล็ก ๆ รอบหนึ่งก่อนจะเป็นผู้ชนะเลิศและได้รับรางวัลเป็นโอสถล้ำค่าเม็ดงามซึ่งเป็นของรางวัลที่นางหมายตาหมายใจไว้ตั้งแต่แรกเห็น
โอสถเม็ดนี้มีชื่อว่า*‘โอสถก่อจิต’*ซึ่งมีสรรพคุณในการฟื้นฟูพลังในร่างกายให้กลับคืนมาได้อย่างรวดเร็ว สำหรับผู้ที่ต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้อยู่บ่อยครั้ง และใช้พลังมายาอย่างมหาศาล โอสถเม็ดนี้ก็ถือเป็นสิ่งของที่จำเป็นต้องมีติดตัวเอาไว้
เมื่อวานนี้ฉินอี้เฟยก็นำโอสถจำนวนมากมามอบให้นางเพื่อเอาไว้ใช้ในการสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนัก โอสถส่วนมากเป็นโอสถรักษาและฟื้นกำลัง เมื่อเห็นโอสถมากมายที่ผู้เป็นพี่ชายนำมามอบให้ คุณหนูคนงามก็คาดเดาได้อย่างเดียวว่าพี่ชายของนางคงจะเป็นผู้หลอมโอสถที่ฝีมือไม่ธรรมดาแน่
เห็นได้ชัดว่าแขกที่มาในงานเลี้ยงวันนี้ต่างก็รู้สึกเต็มอิ่ม ด้วยอาหารและเครื่องดื่มมากมายที่ถูกจัดไว้สำหรับงานเลี้ยงนั้นล้วนแต่เลิศรสถูกปาก บรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรีก็ชวนให้ดื่มด่ำและผ่อนคลาย อีกทั้งกิจกรรมการละเล่นและการแข่งขันที่วังหลวงจัดขึ้นก็เต็มไปด้วยความคึกคักสนุกสนาน งานเลี้ยงอาหารค่ำในวันนี้จึงจบลงด้วยความชื่นมื่น
ทว่าจนกระทั่งงานเลี้ยงจบลง ก็ยังไม่มีผู้ใดได้เห็นหลิงซวง หลานสาวคนงามของท่านอ๋องหลิง สาวงามอันดับห้าแห่งแผ่นดิน และเหย่าเซียนเอ๋อร์ โฉมนารีแห่งสมาคมโอสถผู้เป็นสาวงามอันดับสองปรากฏตัวอยู่ภายในงานเลี้ยงเลย
หานโม่ฉือกล่าวลาฉินอวี้โม่สองสามประโยคก่อนจะตามหานปิ่งเซียนผู้เป็นบิดากลับไปยังจวนตระกูลหาน ส่วนหานโม่หยวนก็หันมามองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายก่อนจะกลับออกไปเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แววตาของเขานั้นไม่ได้ดูเป็นมิตรเลยแม้แต่น้อย
หลิวหว่านเยียนเองก็จ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาที่เกลียดชังก่อนจะรีบไล่ตามหานโม่หยวนกลับไป
หวังรั่วอียังคงมีทัศนคติที่ดีต่อฉินอวี้โม่เช่นเดิม ทว่านางก็เพียงแต่ส่งยิ้มให้คุณหนูตระกูลฉินจากที่ไกล ๆ มิกล้าเข้ามากล่าวร่ำลาเป็นส่วนตัว คุณหนูตระกูลหวังหันหลังก่อนจะพาหวังรั่วจวินกลับออกไป
ส่วนหวังรั่วจวินตอนนี้เขารู้สึกกลัวเป็นอย่างมาก เขาเสียขวัญตั้งแต่ตอนที่รถม้าระเบิดและยิ่งเมื่อได้รู้ว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง เขาก็หวาดหวั่นจนทำสิ่งใดไม่ถูก
หากว่าหานโม่ฉืออยากจะเล่นงานเขาจริง ๆ ต่อให้เป็นสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรของเขาก็คงคุ้มกะลาหัวเขาไม่ได้ นั่นเองทำให้ตลอดทั้งงานเลี้ยง คุณชายคึกคะนองที่ไม่รู้จักโตแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรไม่มีความสุขเอาเสียเลย
ในตอนแรก ผู้เฒ่าฉินเฟินและฉินหยางต้องการจะอยู่รอฉินอวี้โม่ก่อน ทว่าเมื่อเห็นว่ามีโอวหยางชิงเฟิงและเยว่ชิงเฉิงสหายทั้งสองของหลานสาวยืนรอนางอยู่แล้ว พวกเขาจึงขอตัวกลับกันก่อน
คนจากตระกูลโอวหยางและตระกูลเหล่ยก็ทยอยกลับออกไปเช่นกัน ผู้นำของแต่ละตระกูลเข้าไปกล่าวลาองค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยและฮองเฮาเหวินหย่าก่อนจะพากันกลับไป
ในตอนนี้ ภายในตำหนักจัดงานเลี้ยงมีเพียงองค์จักรพรรดิ ฮองเฮา ฉินอวี้โม่ องค์หญิงน้อยฉีฉี เสี่ยวโร่ว โอวหยางชิงเฟิง และเยว่ชิงเฉิงเท่านั้นที่ยังอยู่
“ฉีเอ๋อร์ เจ้าพาสหายทั้งสามออกไปเที่ยวชมวังหลวงก่อนเถิด ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากจะคุยกับอวี้โม่และเสด็จแม่ของเจ้า”
ผู้ปกครองแห่งจักรวรรดิกล่าวกับพระธิดาองค์น้อยเสียงอ่อนโยน เรื่องที่พวกเขาจะพูดคุยกันเป็นเรื่องที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและไม่ต้องการให้ผู้อื่นล่วงรู้
“ก็ได้เพคะ ถ้าเช่นนั้นข้าออกไปก่อนก็ได้”
องค์หญิงฉีฉีน้อยพยักหน้าก่อนจะพาเสี่ยวโร่ว เยว่ชิงเฉิง และโอวหยางชิงเฟิงออกไปเที่ยวเล่น
ฉินอวี้โม่ตามฮองเฮาเหวินหย่าและองค์จักรพรรดิเข้าไปยังห้องด้านใน
“เสี่ยวอวี้โม่ ตอนเจ้าออกจากเมืองเยว่กวาง เจ้ายังเก็บสิ่งที่ข้าฝากให้ท่านเจ้าเมืองมอบให้เจ้าเอาไว้อยู่รึเปล่า ?”
ฮองเฮาผู้อ่อนโยนเดินจูงมือฉินอวี้โม่เข้ามา พระนางนั่งลงก่อนจะดึงมือของสตรีน้อยที่นางนึกเอ็นดูให้นั่งข้าง ๆ สายตาที่สตรีสูงศักดิ์ใช้มองฉินอวี้โม่นั้นเต็มไปด้วยความเอ็นดูและรักใคร่
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและนำเหรียญตราเหรียญหนึ่งออกมา
นางสงสัยมาตลอดว่าเหตุใดฮองเฮาเหวินหย่าถึงได้มอบของสิ่งนี้ให้นาง วันนี้อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูคิดว่าองค์จักรพรรดิและฮองเฮาคงจะช่วยคลายความสงสัยนั้นให้ได้
ฉินอวี้โม่นำเหรียญนี้ติดตัวไว้ตลอดเวลา และเนื่องจากไม่รู้ว่าเหรียญนี้คืออะไรและจะใช้ประโยชน์ได้อย่างไร คุณหนูคนงามจึงไม่เคยนำมันออกมาเลย
ทว่าในทันทีที่หยิบเหรียญนี้ออกมาอีกครั้ง ฉินอวี้โม่ก็สังเกตเห็นว่าเหรียญตรานี้มีความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง มันต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด !
ก่อนหน้านี้ในตอนที่รับมันมาจากเจ้าเมืองเยว่กวาง ฉินอวี้โม่เห็นว่า มันยังเป็นเพียงเหรียญตราเล็ก ๆ ดูคล้ายกับโลหะแกะสลัก อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้สิ่งที่ปรากฏอยู่ในมือของนางกลับเป็นประกายวาววับดูเรียบลื่น เมื่อคุณหนูตระกูลฉินลองสัมผัสมันจนทั่ว นางก็พบว่าเนื้อของมันเนียนละเอียดคล้ายหยก ที่น่าประหลาดใจกว่านั้นคือ เหรียญหยกนี้ให้ความรู้สึกอุ่นซ่าน
นี่ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกสนใจ ตอนนี้อดีตสาวนักฆ่ากำลังเกิดความสงสัยเกี่ยวกับเหรียญตรานี้เป็นอย่างมาก
ทว่าเมื่อฮองเฮาเหวินหย่ามองเห็นเหรียญตราในมือฉินอวี้โม่ นางกลับดูไม่ประหลาดใจมากนัก มีเพียงรอยยิ้มที่ตื่นเต้นน้อย ๆ ปรากฏอยู่ที่มุมปาก
องค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยรับเหรียญตราจากมือฉินอวี้โม่มาและมองดูมันอย่างละเอียด ในตอนนั้นเอง มุมปากของเขาก็อดจะยกตัวขึ้นเป็นรอยยิ้มไม่ได้
กิริยาของบุรุษสตรีผู้สูงศักดิ์ทั้งสองพระองค์นั้น ราวกับว่าเหรียญตราที่กลายเป็นแผ่นหยกไปแล้วชิ้นนี้ มีความหมายบางอย่างและเป็นความทรงจำลึกซึ้งของพวกเขา