ภาค 2 ใต้หล้ายังมีผู้ใดไม่รู้จักท่านอีกหรือ บทที่ 117 ปัญหาที่บิดาสร้างไว้ในอดีต

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

มุมปากเยี่ยนจ้าวเกอกระตุกเล็กน้อย “…ท่านอาจารย์ฟู่ออกจากฌานแล้วหรือขอรับ”

ฟางจุ่นผงกศีรษะ “เพิ่งออกฌานเมื่อไม่กี่วันนี้เอง”

“นางอยู่ที่ทะเลสาบศาลาเมฆของเกาะนภาเหนือ ซึ่งอย่างไรพวกเจ้าก็ต้องผ่านที่นั่นพอดี จากนั้นนางจะเป็นผู้พาพวกเจ้ามุ่งหน้าไปที่ภูผาพิภพเอง”

เยี่ยนจ้าวเกออ้าปากหวอ “…ทางผ่านจริงๆ ด้วย”

พูดกันตามตรง เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกจากใจจริงว่า ให้ฟางจุ่นเป็นผู้นำคณะไปยังจะดีเสียกว่า

‘ราชินีขี่เมฆา’ ฟู่เอินซู ศิษย์น้องฟู่ที่ฟางจุ่นเอ่ยถึงก็เป็นหนึ่งในจอมยุทธ์หญิงระดับปรมาจารย์ ยอดฝีมือของเขากว่างเฉิงคนหนึ่ง นางเป็นศิษย์สืบทอดหลักของหยวนเจิ้งเฟิง เจ้าสำนักรุ่นปัจจุบันแห่งเขากว่างเฉิง เช่นเดียวกันกับสือเถี่ย ฟางจุ่น และเยี่ยนตี๋

ในบรรดายอดฝีมือหญิงในโลกแปดพิภพของปัจจุบัน นางถือได้ว่าเป็นบุคคลระดับต้นๆ

…นอกจากนี้ ในอดีตยังได้ชื่อว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของเขากว่างเฉิงอีกด้วย

บัดนี้หากเทียบเวลากับระดับวรยุทธ์ นางก็ยังคงงดงามดังเดิม เพียงแต่เพราะระดับวรยุทธ์ที่เพิ่มขึ้นของนาง ทำให้คนที่เคยชอบนินทาเรื่องคนอื่นไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์อีก ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่อยากรู้จักมักคุ้นกับอาจารย์ท่านนี้เลยสักนิด

เพราะในอดีตอาจารย์ฟู่ท่านนี้มีใจให้กับศิษย์น้องเล็กของนางเอง เอ่อ…ซึ่งก็คือเยี่ยนตี๋ บิดาของเยี่ยนจ้าวเกอ

น่าเสียดายที่นั่นเป็นรักข้างเดียว

ดอกไม้ร่วงโรยมีความนัย สายน้ำไหลผ่านไปไร้ใจสนอง

ฟู่เอินซูมีอุปนิสัยแข็งกร้าว ทั้งยังจิตใจคับแคบอยู่บ้าง จนท้ายที่สุดก็ดูเหมือนว่าจะเกิดความเกลียดชังเพราะความรักอยู่บ้าง ฉะนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายในขณะนี้จึงน่าอึดอัดใจอย่างมาก แม้แต่เยี่ยนจ้าวเกอที่เป็นบุตร หากเลี่ยงได้เขาก็อยากจะเลี่ยงอาจารย์ฟู่ท่านนี้

“ออกฌานแล้วสินะ…” เยี่ยนจ้าวเกอตบหน้าผากตนเอง แล้วหันศีรษะกลับไปมองเฟิงอวิ๋นเซิง

เฟิงอวิ๋นเซิงเกิดความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกอยู่บ้าง ชื่อเสียงเรียงนามของราชินีขี่เมฆผู้นี้ นางย่อมต้องเคยได้ยินอยู่แล้ว ทว่ารายละเอียดอื่นๆ ไม่รู้เลยสักนิด

เยี่ยนจ้าวเกอประสานมือคารวะฟางจุ่น “หากกล่าวเช่นนี้แล้ว ศิษย์น้องเฟิงก็ต้องฝากตัวเป็นศิษย์ท่านอาจารย์ฟู่ใช่หรือไม่ขอรับ”

ฟางจุ่นพยักหน้า “เป็นเช่นนั้น”

ศิษย์สืบทอดหลักแห่งเขากว่างเฉิงเฉกเช่นเยี่ยนจ้าวเกอ ลู่เวิ่น หรือสวีเฟย ในตอนที่เลื่อนขั้นจากศิษย์อัจฉริยะ ล้วนต้องฝากตัวเป็นศิษย์กับอาจารย์ท่านใดท่านหนึ่งโดยเฉพาะ

ส่วนของเยี่ยนจ้าวเกอก็เป็นศิษย์ของเยี่ยนตี๋ บิดาของตนเอง ลู่เวิ่นก็เป็นศิษย์สายตรงของฟางจุ่น ส่วนสวีเฟยที่อายุมากกว่าก็เป็นศิษย์สายตรงของสือเถี่ย

ถึงแม้ว่าการที่อาจารย์ชายรับศิษย์หญิง หรืออาจารย์หญิงรับศิษย์ชายใช่ว่าจะไม่มีเลย ถึงกระนั้นโดยปกติแล้ว ในตอนที่ศิษย์อัจฉริยะหญิงเลื่อนขั้นเป็นศิษย์สืบทอดหลัก ก็มักจะฝากตัวเข้าเป็นศิษย์ของอาจารย์หญิงเสมอ

เฟิงอวิ๋นเซิงในฐานะสตรีแห่งจันทรา นอกจากต้องบ่มเพาะพลังแห่งจันทราแล้ว การบำเพ็ญเพียรวรยุทธ์วิชาของตนก็ต้องไม่ล่าช้าด้วยเช่นกัน เพียงแต่ก่อนหน้านี้ฟู่เอินซูเข้าฌานมาโดยตลอด มีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่านางจะออกฌานเมื่อใด เยี่ยนจ้าวเกอจึงไม่ได้รวมนางเข้าไปในแผนการด้วย

ใครจะไปรู้เล่าว่าที่ฟู่เอินซูออกจากฌานในเวลานี้เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่

ในฐานะที่เป็นยอดฝีมือหญิงรุ่นกลางของเขากว่างเฉิง เฟิงอวิ๋นเซิงขอเป็นศิษย์ของฟู่เอินซู ก็เป็นเรื่องที่เหมาะสมอยู่แล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอเคี้ยวฟัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ตนเองที่มีภาระฟื้นฟูจันทรากายของเฟิงอวิ๋นเซิง ก็ต้องมีการติดต่อกับฟู่เอินซูไปโดยปริยาย

การเดินทางสู่ภูผาพิภพครานี้เพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น

ฟางจุ่นกล่าวว่า “ส่วนเรื่องจันทรากาย คนที่เตรียมวิจัยด้านนี้ของสำนักเรามาโดยตลอดก็คือศิษย์น้องฟู่ จ้าวเกอมีความคิดอะไรก็คุยกับนางได้”

ถึงแม้ว่าก่อนที่เยี่ยนจ้าวเกอจะพาเฟิงอวิ๋นเซิงกลับมา เขากว่างเฉิงจะไม่มีสตรีแห่งจันทราเข้าสำนักเลยก็ตาม ทว่าการเตรียมการที่เกี่ยวข้องก็ยังคงดำเนินอยู่มาโดยตลอด รอคอยเพียงแค่คนที่เหมาะสมเข้ามาเท่านั้น

ดังนั้นเขากว่างเฉิงจึงเตรียมพร้อมบ่มเพาะหญิงสาวแห่งจันทราอย่างเต็มที่ สิ่งสำคัญก็คือรอเยี่ยนจ้าวเกอช่วยเฟิงอวิ๋นเซิงฟื้นฟูเท่านั้น

พอเยี่ยนจ้าวเกอได้ยินคำกล่าวของฟางจุ่นแล้ว ดวงตาก็หรี่ลงเล็กน้อย

แม้ว่าถ้อยคำที่ฟางจุ่นใช้จะมีความเกรงใจมาก ทว่าในเรื่องสตรีแห่งจันทรา เขาไม่ได้มองเยี่ยนจ้าวเช่นเดียวกับคนรุ่นหลังธรรมดา แต่กลับเป็นการสนทนาโต้ตอบในฐานะที่เท่าเทียมกัน

แต่ฟู่เอินซูที่ไม่ชอบใจพวกเขาสองพ่อลูกจะคุยกันง่ายเช่นนี้หรือไม่ นั่นเป็นเรื่องที่พูดยาก…

ครั้นกล่าวลาฟางจุ่นแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็ออกจากตำหนักปฏิบัติกิจพร้อมกับเฟิงอวิ๋นเซิงแล้ว ชายหนุ่มนวดขมับของตนเบาๆ เพราะมีอาการปวดศีรษะอยู่บ้าง

ตามความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม อาจารย์ฟู่ท่านนั้นหากกล่าวในด้านดีก็คือมีนิสัยตรงไปตรงมา วาจาโผงผาง ไม่สนสายตาผู้อื่นนัก

ทว่ากล่าวในด้านแย่ก็คือเอาแต่ใจ ไม่ฟังผู้ใด ชอบทำตามใจตัวเองเท่านั้น

‘เรื่องงานสำคัญกว่า’ เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางตนเอง ‘เรื่องสำคัญในตอนนี้ คงจะไม่มีปัญหาหรอกกระมัง’

อาหู่และเฟิงอวิ๋นเซิงเดินอยู่ข้างๆ เยี่ยนจ้าวเกอ จู่ๆ ชายร่างใหญ่ก็เรียกเสียงเบาว่า “คุณชายขอรับ”

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินเช่นนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะพบว่าบนทางเบื้องหน้าปรากฏหญิงสาวคนหนึ่ง ทั้งกายสวมอาภรณ์สีขาว คลุมด้วยเสื้อนอกสีน้ำเงิน รูปร่างหน้าตาสะสวยทว่าดูเยือกเย็น เป็นซือคงจิงที่ไม่ได้พบเจอมาพักหนึ่งแล้ว

เมื่อซือคงจิงเห็นเยี่ยนจ้าวเกอ นางก็ค้อมกายคำนับ “ศิษย์พี่เยี่ยน”

“ไม่พบกันเสียตั้งนาน…” เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ เขาเพิ่งจะรับการคารวะของนางเสร็จ จู่ๆ เขาก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง “หืม? ลมหายใจไม่มีสิ่งปนเปื้อนเลยสักนิด เจ้าบรรลุถึงระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะกลางแล้วแล้วหรือ”

ลมหายใจและการหมุนเวียนของเลือดของจอมยุทธ์เป็นสิ่งที่คนธรรมดาเทียบไม่ได้แน่นอนอยู่แล้ว ทว่าภายในลมหายใจไม่มีสิ่งปนเปื้อนอยู่เลยแม้แต่น้อย นั่นอธิบายได้ว่าจอมยุทธ์ฝึกฝนร่างกายตนเองจนถึงขั้นใช้ปราณจิตราชำระล้างปอดของตนแล้ว

การใช้ปราณจิตราชำระล้างอวัยวะภายใน เป็นเรื่องที่ปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะกลางถึงจะสามารถทำได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในลักษณะเฉพาะที่สำคัญอีกด้วย

ซือคงจิงผงกศีรษะ “บรรลุไปก่อนหน้านี้แล้วเจ้าค่ะ อวัยวะตันทั้งห้า[1] อวัยวะกลวงทั้งหก[2] บัดนี้เหลือเพียงหัวใจและซานเจียวที่ยังไม่ได้ชำระล้าง”

อยู่เขากว่างเฉิงมาครึ่งปี ถึงแม้เฟิงอวิ๋นเซิงจะรู้จักซือคงจิง กระนั้นก็ไม่ได้รู้เรื่องราวของนางแต่อย่างใด เท่าที่ได้ยินมาก็ไม่ได้เกิดความรู้สึกอะไรมากนัก

ทว่าอาหู่กลับเบิกตาโพลง มองซือคงจิงตั้งแต่หัวจรดเท้า

ครึ่งปีก่อนที่ถังตะวันออก ซือคงจิงเพิ่งจะบรรลุระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะแรก ใช้เวลาเพียงครึ่งปีก็บรรลุถึงขั้นจิตราชั้นในระยะกลางแล้ว อีกทั้งนางยังไม่ได้เพิ่งเลื่อนขั้นเท่านั้น อวัยวะตันทั้งห้าและอวัยวะกลวงทั้งหก เหลือเพียงหัวใจและซานเจียวเท่านั้นที่ยังไม่ได้ใช้ปราณจิตราชำระล้าง

เมื่อชำระล้างอวัยวะตันทั้งห้าและอวัยวะกลวงทั้งหกเสร็จสิ้นทั้งหมด รวมถึงหลังจากขั้นพื้นฐานของนางแน่นขนัดดีแล้ว นางก็สามารถเตรียมตัวบรรลุขั้นจิตราชั้นในระยะท้ายได้เลย!

ความเร็วเช่นนี้ทำเอาคนที่ได้ฟังต้องตกตะลึงไปตามๆ กัน

อาหู่เองมีพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์สูงมาก แต่ตอนที่เขาอยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นใน ก็ไม่สามารถพัฒนาได้เร็วขนาดนี้ ไม่ใช่เพียงแต่เขาเท่านั้น เท่าที่อาหู่ทราบ คุณชายของตนเองในตอนที่บรรลุจากขั้นจิตราชั้นในระยะแรก ถึงขั้นจิตราชั้นในระยะกลาง และขั้นจิตราชั้นในระยะท้ายก็ไม่ได้รวดเร็วเช่นนี้

ลู่เวิ่นและคนอื่นๆ ก็ทำไม่ได้เช่นกัน!

ความเร็วในการพัฒนาเช่นนี้ ทำให้อาหู่คล้ายกับเห็นความรวดเร็วในการย่างก้าวเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกของคุณชาย

“เห็นผีกลางวันแสกๆ แล้ว!” ชั่วขณะหนึ่งอาหู่รู้สึกว่าสมองของตนคิดตามไม่ทัน “แม้ว่าระดับการฝึกร่างกายของนางจะเป็นอัจฉริยบุคคลที่หาได้ยากเช่นกัน แต่ก็ไม่น่าจะแก่กล้าถึงเพียงนี้”

แววตาของเยี่ยนจ้าวเกอกระตุกวูบไหวครั้งหนึ่ง ก่อนจะกลับคืนสู่ความนิ่งสงบ สมองของเขาประมวลผลเล็กน้อย และเข้าใจขึ้นมาทันที “เจ้าทำภารกิจฝึกฝนสำเร็จแล้วสินะ ขอเพียงแค่ผ่านการทดสอบครั้งสุดท้าย ก็จะได้เป็นศิษย์สืบทอดหลักแล้วละสิ”

ซือคงจิงพยักหน้า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ”

เยี่ยนจ้าวเกอเบะปากเงียบๆ “เจ้าจะฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ฟู่ ราชินีขี่เมฆหรือ”

นางพยักหน้าอีกครั้ง “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ผู้อาวุโสสำนักให้ข้าติดตามศิษย์พี่เยี่ยนไปยังทะเลสาบศาลาเมฆในเกาะนภาเหนือด้วย เพื่อไปพบเจอท่านผู้อาวุโสฟู่ ครั้งนี้ต้องร่วมเดินทางไปกับศิษย์พี่เยี่ยนอีกครั้ง ขอศิษย์พี่เยี่ยนโปรดชี้แนะด้วย”

………………..

[1] อวัยวะภายในตันทั้ง 5(五脏)ได้แก่ ตับ หัวใจ ม้าม ปอด ไต จัดว่าเป็นหยิน มีหน้าที่สร้างและเก็บสารจำเป็น แต่ไม่ทำหน้าที่กำจัด สะสมสารจำเป็นของชีวิตและควบคุมการไหลเวียนของพลังลมปราณและเลือด

[2] อวัยวะกลวงทั้ง 6 (六腑)ได้แก่ ถุงน้ำดี ลำไส้เล็ก กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่ กระเพาะปัสสาวะ และซานเจียว อวัยวะกลวงทั้งหก จัดว่าเป็นหยาง ทำหน้าที่เกี่ยวกับการย่อย ดูดซึมและขับถ่าย