ภาค 2 ใต้หล้ายังมีผู้ใดไม่รู้จักท่านอีกหรือ บทที่ 116 หกล้มที่ไหน ก็ให้ลุกขึ้นที่นั่น

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เมื่อเห็นลู่เวิ่นตกอยู่ในภวังค์ เยี่ยนจ้าวเกอก็ยักไหล่

เจ้าของร่างคนเดิมของตนยังหนุ่มและเลือดร้อน เขาถูกลู่เวิ่นเหน็บแนมจนละทิ้งเพลงกระบี่เจ็ดดาราไม่ฝึกฝนอีกต่อไป เพื่อที่จะพิสูจน์ตนเอง แม้แต่สุดยอดวิชากระบี่อีกวิชา ซึ่งเทียบเคียงกับยอดวิชาแปดพิภพแห่งเขากว่างเฉิงก็ไม่ฝึกฝนแล้ว ทว่ากลับไปทดลองสร้างวิชากระบี่ด้วยตัวเองขึ้นแทน แต่นั่นก็นับเป็นความสำเร็จครั้งหนึ่ง

แท้จริงแล้วเจ้าของร่างเดิมก็มีพรสวรรค์ด้านวิชากระบี่อยู่ไม่น้อย ระดับความรู้ซึ้งในเพลงกระบี่เจ็ดดาราวิชานี้อยู่ในระดับสูง เพียงแต่มีคนบางจำพวกคน ที่ฝึกฝนวรยุทธ์วิชารูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ก็คล่องไปเสียทุกอย่างตั้งแต่กำเนิด ตัวอย่างเช่นเฉาหยวนหลงที่ฝึกวิชาปราณเข็มทองสุริยัน ลู่เวิ่นที่ฝึกวิชาเพลงกระบี่เจ็ดดารา แต่ในภายภาคหน้าเขาจะสามารถประสบความสำเร็จได้ถึงระดับสือเถี่ยหรือไม่ ก็ยังไม่อาจรู้ได้

หากสือเถี่ยไม่ได้ฝึกวิชากายเพชร แต่เลือกฝึกวิชาอื่นในยอดวิชาแปดพิภพ รวมทั้งเพลงกระบี่เจ็ดดารา เขาก็ยังคงเป็นราชสีห์โลหะเพียงหนึ่งเดียวอยู่ดี

หากลู่เวิ่นไม่ฝึกเพลงกระบี่เจ็ดดารา นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถึงกระนั้นเขาสามารถฝึกเพลงกระบี่เจ็ดดาราจนสามารถเย้ยหยันปรมาจารย์ทุกคนได้ด้วยอายุเพียงยี่สิบห้า ยี่สิบหก นั่นไม่ใช่เพราะโชคดีหรือบังเอิญแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเขามีความสามารถจริงๆ

เมื่อเทียบกับเจ้าของร่างเดิมแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอกลับมีความเข้าใจต่อเพลงกระบี่เจ็ดดาราที่ไม่เหมือนกัน

ในความคิดของเยี่ยนจ้าวเกอ วิชากระบี่นี้มีจุดที่เป็นประโยชน์อย่างมาก ขณะเดียวกันก็ยังมีความสามารถอื่นๆ ที่สามารถค้นหาได้

นอกจากนี้ สำหรับเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว การละทิ้งเพลงกระบี่เจ็ดดาราไปไม่ใช่เรื่องที่มีเกียรติศักดิ์ศรีอะไรนัก ทิ้งรอยแผลเป็นเก่าเช่นนี้เอาไว้ ก็ทำให้ตนเองรู้สึกไม่ชอบใจมาก…

วรยุทธ์ที่เจ้าของร่างเดิมฝึกฝน เยี่ยนจ้าวเกอล้วนตั้งใจศึกษาทดลองทั้งหมด ที่ต้องใช้เวลามากที่สุดไม่ใช่วิชาที่คิดขึ้นเอง และวิชาที่เป็นที่รู้จักอย่างวิชามังกรเขียวในชายเสื้อ หรือวิชาฝ่ามือดุสิต

ทว่ากลับเป็นเพลงกระบี่เจ็ดดารา วิชาที่คนอื่นๆ ต่างคิดว่าเขาทิ้งมันไปแล้ว

อาศัยพื้นฐานที่เจ้าของร่างกายคนเดิมทิ้งเอาไว้ เชื่อมกับความรู้ความเข้าใจที่สูงกว่าของเยี่ยนจ้าวเกอ ไม่นานนักเขาก็มีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับเพลงกระบี่เจ็ดดาราแล้ว หากต้องการจะทำลายภาพลักษณ์ที่ผนึกอยู่ในความทรงจำของคนอื่น แท้จริงแล้วไม่จำเป็นต้องใช้ลู่เวิ่นลงมือก็ได้ ถึงแม้ว่าให้ลู่เวิ่นเป็นคู่ต่อสู้จะให้ผลดีที่สุดก็ตาม แต่ในเมื่อลู่เวิ่นเป็นฝ่ายมาหาถึงที่ เช่นนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็ต้องยิ้มรับเป็นธรรมดา

ชั้นที่สี่ของหอคัมภีร์ ชายชราคนนั้นมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยแววตามืดมน สีหน้าไร้ความรู้สึกนึกคิด “ความสามารถในการเข้าใจสูงยิ่ง…”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อยพลางประสานมือคำนับไปทางลู่เวิ่น “เจ้าให้ข้าชนะ[1]”

กล่าวจบเขาก็เดินผ่านลู่เวิ่นลงไปยังชั้นล่าง

จ้าวหมิงดึงสติกลับมา สายตาที่มองลู่เวิ่นไม่มีการดูถูกเหยียดหยามแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้นมีความชื่นชมอยู่หลายส่วนด้วยซ้ำ

ลู่เวิ่นก็แข็งแกร่งมากพออยู่แล้ว โดดเด่นในเขากว่างเฉิง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยอัจฉริยะเช่นนี้ อีกทั้งยังเป็นโดดเด่นท่ามกลางรุ่นเยาว์ได้ ลู่เวิ่นเป็นอัจฉริยะท่ามกลางอัจฉริยะอย่างไม่ต้องสงสัย

น่าเสียดายที่เขามาปะเข้ากับเยี่ยนจ้าวเกอที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า

จอมยุทธ์ทั่วทั้งสำนักเขากว่างเฉิงที่อายุรุ่นเดียวกัน และระดับวรยุทธ์เท่ากัน มีผู้ใดกล้ากล่าวว่าตนจะเอาชนะลู่เวิ่นได้บ้าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเอาชนะในด้านที่เขาถนัดที่สุดเลย

ก่อนจะถึงวันนี้ จอมยุทธ์ตั้งแต่ระดับมหาปรมาจารย์ลงไป ลู่เวิ่นเป็นที่หนึ่งในเพลงกระบี่เจ็ดดาราแห่งเขากว่างเฉิง ต่อให้ผ่านวันนี้ไป ลู่เวิ่นก็ยังคงเป็นยอดเพลงกระบี่เจ็ดดาราในระดับปรมาจารย์อยู่ดี ทว่าเหนือเขากลับมีผู้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง

ซึ่งก็คือชายหนุ่มที่ในอดีตโดนเขาบีบคั้นจนละทิ้งเพลงกระบี่เจ็ดดารา และกลับใช้เพลงกระบี่เจ็ดดาราทำให้เขาพ่ายแพ้!

จ้าวหมิงมองลู่เวิ่นพลางถอนหายใจ แล้วเดินตามหลังเยี่ยนจ้าวเกอลงไปชั้นล่าง “คนที่เอาชนะอัจฉริยะได้ ก็คืออัจฉริยะท่ามกลางอัจฉริยะ”

‘สามารถเอาชนะอัจฉริยะท่ามกลางอัจฉริยะได้ จะเป็นคนอย่างไรอีก’

พอเยี่ยนจ้าวเกอหันศีรษะกลับมา ก็เห็นจ้าวหมิงอยู่ด้านหลังของตน ใบหน้าประหนึ่งกำลังขบคิด จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มพลางกล่าวว่า “วิชาอย่างเพลงกระบี่เจ็ดดารา ไม่ใช่วิชาที่ฝึกแล้วจะสำเร็จได้ในทันที กลับไปค่อยๆ ฝึกอย่างช้าๆ เถอะ”

จ้าวหมิงหลุดออกจากภวังค์ในทันที แล้วจึงผงกศีรษะ “เหตุผลเช่นนี้ข้าเข้าใจดี แต่จะให้เข้าฌานฝึกฝนอย่างเดียวก็คงไม่ได้ อีกไม่นานข้าก็ต้องเดินทางไปที่พรรคสายรุ้งสีชาด ณ เกาะนภาเหนือแล้ว”

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะ “ลูกเขยแต่งเข้าบ้านหรือ”

พรรคสายรุ้งสีชาดเป็นพรรคใหญ่ที่ปักหลักอยู่ในเกาะนภาเหนือ เป็นขุมกำลังคล้ายๆ กับอาณาจักรถังตะวันออก ที่มีดินแดนเป็นของตัวเอง แต่มีเขากว่างเฉิงเป็นแกนกลาง

ถึงแม้ว่าอาณาจักรถังตะวันออกจะอยู่เกาะนภาตะวันออก ส่วนพรรคสายรุ้งสีชาดจะในเกาะนภาเหนือ ทว่าก็มักจะไปมาหาสู่กันบ้างบางเวลา

ในอาณาเขตที่พรรคสายรุ้งสีชาดปกครองอยู่ มีการเพาะปลูกดอกไม้และสมุนไพรวิเศษจำนวนมาก วัตถุดิบส่วนหนึ่งที่อาณาจักรถังตะวันออกใช้กลั่นโอสถล้วนมีแหล่งกำเนิดมาจากพรรคสายรุ้งสีชาด

ในฐานะที่เป็นสำนักวรยุทธ์ พรรคสายรุ้งสีชาดเองก็ต้องการอัจฉริยบุคคลที่มีความสามารถจำนวนมากเช่นกัน แต่ในฐานะที่เป็นขุมกำลังของนภาพิภพ ที่นี่ต้องได้อิทธิพลจากเขากว่างเฉิงอยู่แล้ว

เด็กหนุ่มเด็กสาวที่มีความสามารถในระดับสูงที่สุด ย่อมต้องหวังที่จะได้เข้าสำนักเขากว่างเฉิง และพรรคสายรุ้งสีชาดก็เข้าใจในจุดนี้มานานแล้ว

เพื่อกระชับความสัมพันธ์ของตนเองกับเขากว่างเฉิง พรรคสายรุ้งสีชาดก็จะคัดเลือกคนที่มีความสามารถให้ไปฝึกฝนที่เขากว่างเฉิงด้วย บุตรสาวของประมุขพรรคสายรุ้งสีชาดรุ่นปัจจุบัน จึงได้อยู่ฝึกฝนในเขากว่างเฉิง

เนื่องจากไปมาหาสู่กันแต่อดีตเรื่อยมา จึงมีความมุ่งมาดปรารถนาที่จะเกี่ยวดองสมรสกันอยู่หลายส่วน จ้าวหมิงและอีกฝ่ายก็ค่อยๆ ใกล้ชิดกัน

สำหรับคำหยอกล้อของเยี่ยนจ้าวเกอนั้น จ้าวหมิงสงบนิ่งเป็นอย่างมาก “ยังไม่เคยเข้าเยี่ยมคารวะท่านประมุขพรรคสายรุ้งสีชาดเลย คราวนี้ก็เลยจะไปสักครา”

เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ “ขอให้เจ้าประสบความสำเร็จ หากเวลาตรงกันละก็ ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้ร่วมทางกันก็เป็นได้”

ถึงแม้ว่าจ้าวหมิงจะใคร่รู้ว่าเหตุใดเยี่ยนจ้าวเกอถึงจะไปที่เกาะนภาเหนือ ทว่าก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรมาก เพียงแค่พยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “เช่นนั้นก็จะดีไม่น้อย ระหว่างทางข้าจะได้ให้เจ้าช่วยสอนเพลงกระบี่เจ็ดดาราให้ข้า”

กล่าวถึงตรงนี้ จ้าวหมิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนใจ เพราะเมื่อครึ่งปีก่อน เนื่องจากอายุและระดับวรยุทธ์ของเขายังสูงกว่าเยี่ยนจ้าวเกอ แต่ตอนนี้อีกฝ่ายตามทันเสียแล้ว

ไม่อาจเปรียบเทียบได้จริงๆ เทียบไม่ได้

หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอกับจ้าวหมิงกล่าวลากันแล้ว ก็แยกกันกลับที่พักของตนเอง

เมื่อเก็บสัมภาระเรียบร้อย เยี่ยนจ้าวเกอก็เรียกเฟิงอวิ๋นเซิงให้เตรียมตัวออกเดินทางไปภูผาพิภพด้วยกัน

การเดินทางไปคราวนี้ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเขาเมฆนิมิตแห่งภูผาพิภพเท่านั้น ทว่ายังมีปัญหาการฟื้นคืนจันทรากายของเฟิงอวิ๋นเซิงที่จำเป็นต้องจัดการอีกด้วย

ส่วนอาหู่ หลังจากที่เก็บตัวศึกษาในช่วงนี้ เขาก็ก้าวข้ามจุดยากจนบรรลุได้สำเร็จ ย่างก้าวเข้าสู่ชั้นที่สิบของระดับปรมาจารย์ ชั้นฝ่านภา!

เขาที่ดูเหมือนจะทึ่มๆ แต่แท้จริงแล้วพอได้ฝึกวรยุทธ์ ความสามารถในใจการเข้าใจเข้าขั้นยอดเยี่ยมเลยทีเดียว เยี่ยนจ้าวเกอเตือนสติเพียงเล็กน้อย ท้ายที่สุดเขาก็หาทางออกสุดท้ายจนพบ แล้วบรรลุได้สำเร็จ

“ยังดีที่ทันเวลาขอรับ ค่อยยังชั่ว ค่อยยังชั่ว” อาหู่อ้าปากหัวเราะอย่างซื่อบื้อ

เยี่ยนจ้าวเกอตบบ่าเขา “ไป ไปตำหนักปฏิบัติกิจของสำนักกับข้า”

เมื่อถึงตำหนักกิจปฏิบัติแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็พบกับฟางจุ่น ผู้อาวุโสระดับหนึ่งแห่งตำหนักปฏิบัติกิจ อาจารย์ลุงรองของตนอีกครั้ง

ฟางจุ่นกล่าวก่อนว่า “ร่องรอยที่เกี่ยวข้องกับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มังกรน้ำแข็ง เนื่องจากมีความเกี่ยวพันกับการเปลี่ยนแปลงของอเวจี ดังนั้นสำนักจะขอตรวจสอบก่อน แต่สิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับกับอเวจีล้วนจะเป็นของเจ้า”

ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “จะนับว่าเป็นสมบัติที่ข้าร่วมกันค้นพบกับสำนักก็ได้ขอรับ”

“สิ่งที่ควรเป็นของเจ้า สำนักก็จะไม่เอาเปรียบเจ้าอย่างเด็ดขาด” ฟางจุ่นกล่าว “ส่วนรายละเอียดอื่นๆ รอให้ศิษย์พี่ใหญ่กลับมาก่อนค่อยว่ากัน”

เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ เพราะทราบดีถึงความสำคัญของเรื่องนี้ สือเถี่ยออกเดินทางอีกครั้ง โดยที่ถือแผ่นป้ายเหล็กไว้ และมุ่งหน้าไปที่ทะเลเหนือ

ฟางจุ่นกล่าวต่ออีกว่า “ส่วนแหวนวงนั้นที่เดิมทีเป็นของเยี่ยจิ่ง หลังผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว สามารถยืนยันได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิปีศาจอัคคีในช่วงก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวปราณที่หลงเหลืออยู่ น่าจะเป็นแค่โบราณวัตถุธรรมดาๆ มีความเกี่ยวข้องกับโลกปีศาจอัคคีในปัจจุบันไม่มากเท่าไรนัก”

สีหน้าเยี่ยนจ้าวเกอสงบนิ่ง “แท้จริงแล้วนี่คือข่าวดีขอรับ”

“ไม่ผิดหรอก เป็นข่าวดีจริงๆ ” สายตาของฟางจุ่นมองสลับไปมาระหว่างเยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิง “จริงสิ อีกครึ่งปีกว่าก็จะมีการประชุมฝ่านภาอีกครั้งแล้ว หากเจ้าจะเข้าร่วมละก็ จงเตรียมตัวให้ดี”

การประชุมฝ่านภา ไม่ใช่การประชุมของจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ขั้นฝ่านภาแต่อย่างใด ทว่าเป็นการประชุมกลุ่มพันธมิตรยอดจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ในโลกแปดพิภพ

การประชุมนี้จัดขึ้นทุกสามปี หลักสำคัญคือดูศักยภาพ ไม่ใช่ระดับสูงต่ำของวรยุทธ์ในปัจจุบัน

นามของสี่คุณชายแห่งยุคก็เริ่มมาจากการประชุมครั้งก่อน นอกจากนี้แล้วยังมีจอมยุทธ์อันดับต้นๆ รุ่นเยาว์คนอื่นที่มีชื่อเสียงมางานนี้ด้วย

มีทั้งคนที่เลือกจากการบ่มเพาะของสำนัก หรือคนที่พัฒนาตนเองเงียบๆ

ถึงกระนั้นการพบเจอกันระหว่างอัจฉริยบุคคล มักจะมีประกายเพลิงพุ่งออกมาทั่วสารทิศอย่างน่าตกตะลึงเสมอ ทำให้ผู้เข้าร่วมได้รับประโยชน์มากมาย อีกทั้งได้รับสิ่งที่นอกเหนือการคาดหมาย

แต่ไหนแต่ไรการฝึกฝนของจอมยุทธ์ก็ไม่ใช่เรื่องที่คิดเองทำเอง อ่านหนังสือแล้วทำตามมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว

ดังนั้นจะเข้าร่วมหรือเก็บตัว นั่นก็ขึ้นอยู่กับจอมยุทธ์คนนั้นนั้นแล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ “ข้าเข้าใจขอรับ”

ฟางจุ่นกล่าวต่อไปว่า “ส่วนเรื่องที่เจ้าจะไปภูผาพิภพครั้งนี้ สำนักจะให้ยอดฝีมือร่วมเดินทางไปด้วย”

ถึงแม้ว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะมีแผนรองรับอยู่แล้ว ทว่าแท้จริงแล้วการไปเยือนภูผาพิภพเป็นการไปมาหาสู่กับสำนักเขาไร้พรมแดนอย่างเป็นทางการ จึงจำเป็นต้องมีผู้อาวุโสในสำนักนำคณะไป นี่คือธรรมเนียมที่ควรมี

สำหรับเรื่องนี้ เยี่ยนจ้าวเกอได้เตรียมการเอาไว้นานแล้ว “ท่านอาจารย์ลุงรองขอรับ ไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสท่านไหนจะนำคณะไปหรือ”

ฟางจุ่นกล่าว “เป็นศิษย์น้องฟู่”

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้น หนังตาก็พลันกระตุกทันที “…ท่านอาจารย์ฟู่หรือ”

………………..

[1] ‘เจ้าให้ข้าชนะ’ เป็นคำสุภาพกล่าวหลังจากได้รับชัยชนะตามธรรมเนียมจีน