บทที่ 794 ซอมบี้ก็ต้องมีงานอดิเรกเหมือนกัน โดย Ink Stone_Fantasy
“เรื่องนี้ฉันพอดูออก…” หลิงม่อพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
สวี่ซูหานกลายเป็นจอมตะกละ นี่ไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นคือเธอกินไปแล้วก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร
เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าปวดหัวมาก แม้แต่ก้อนเหนียวหนืดยังไม่ได้ผล แล้วเธอจะวิวัฒนาการต่อไปอย่างไรล่ะ?
นอกเหนือจากนี้ สภาวะร่างกายของเธอก็ต่างไปจากที่หลิงม่อคาดการณ์ไว้ด้วย เธอมีพละกำลังไม่มาก แต่กลับมีความเร็วที่น่าทึ่ง ไม่มีซอมบี้ที่เพิ่งกลายพันธุ์ตัวไหนเป็นแบบเธอ
แต่ในด้านพละกำลังนั้น ซอมบี้กลับเหนือกว่ามนุษย์ตั้งแต่ที่กลายพันธุ์แล้ว ซอมบี้ธรรมดาตัวหนึ่งสามารถแสดงศักยภาพร่างกายของมนุษย์ออกมาได้เต็ม 100%แต่มนุษย์กลับสามารถแสดงศักยภาพร่างกายออกมาได้สูงสุดอย่างมากก็แค่ 75% แถมนี่ยังเป็นตัวเลขที่ต้องผ่านการฝึกฝนมาเป็นเวลานานถึงจะทำได้ ความจริงแล้วสำหรับคนธรรมดา สามารถดึงศักยภาพร่างกายออกมาใช้ได้ 60% ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
ไม่เพียงเท่านี้ สำหรับร่างกายคนที่ไม่เคยผ่านการกลายร่างมาก่อน 75% เป็นเพียงตัวเลขทางทฤษฎีเท่านั้น ทันทีที่เกินตัวเลขนี้ไป กล้ามเนื้อก็จะเริ่มเสื่อม แต่ซอมบี้นั้นไม่มีปัญหาเรื่องนี้ มีเพียงเหล่าผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกายที่ผ่านการปรับโครงสร้างด้วยเชื้อไวรัสมาแล้วเท่านั้น ที่จะสามารถระเบิดศักยภาพร่างกายออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ กระทั่งสามารถระเบิดพลังที่เหนือขีดจำกัดของตัวเองออกมาได้ในเสี้ยววินาที ทว่าผู้มีความสามารถพิเศษส่วนใหญ่ล้วนใช้พละกำลังส่วนนี้ได้กับร่างกายบางส่วนเท่านั้น ราวกับพละกำลังส่วนนี้ถูกขังไว้ตรงนั้น
หลิงม่อเดาว่า นี่อาจเป็นสาเหตุที่ถึงแม้ผู้มีความสามารถพิเศษจะมีเชื้อไวรัสอยู่ร่างกายด้วย แต่กลับไม่กลายร่าง
ความจริงแล้ว ผู้มีความสามารถพิเศษที่กล่าวถึงก็คือมนุษย์ที่กลายพันธุ์เฉพาะส่วนนั่นเอง ผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกายนั้นกลายพันธุ์ที่อวัยวะร่างกายบางส่วน ส่วนผู้มีพลังจิตนั้นกลายพันธุ์ตรงส่วนสมอง…
ก่อนกลายพันธุ์ สวี่ซูหานก็เป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกายเหมือนกัน แต่หลังจากกลายพันธุ์ ความสามารถส่วนนี้ของเธอคงจะถูกกลบฝังไปแล้ว…
“ฉันจำได้ว่า…เมื่อก่อนเธอก็ไม่ได้เด่าเรื่องความเร็วใช่ไหม?” จู่ๆ หลิงม่อก็ถามขึ้น
สวี่ซูหานพยักหน้าอย่างไม่เข้าใจ “ใช่…”
“ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ล่ะ ร่างกายเธอรู้สึกอย่างไรเวลาที่เธอเคลื่อนไหว?” หลิงม่อถามขึ้นอีก
การกลายพันธุ์ของผู้ประกาศข่าวสาวคนนี้ ถือว่ามีความหมายต่อหลิงม่อมาก ในด้านของการพิสูจน์ว่าซอมบี้สามารถฟื้นฟูสัญชาตญาณของคนกลับมาได้หรือไม่…หรืออย่างน้อยก็ฟื้นฟูอารมณ์ความรู้สึกบางส่วนกลับมา ดังนั้นที่เขากำลังถามในตอนนี้ ถึงจะดูร้อนรน แต่เขาก็มีเหตุผลที่เป็นอย่างนั้น
เห็นชัดว่าสวี่ซูหานไม่เข้าใจอารมณ์นี้ของหลิงม่อ เธอเม้มปากแล้วทำท่าครุ่นคิด แล้วจึงตอบช้าๆ ว่า “จะว่าไงดีล่ะ…ฉันรู้สึก…ร่างกายเบามาก เหมือนไม่มีน้ำหนักอะไรเลย…ขาทั้งสองข้างก็คล่องแคล่วมาก เหมือนไม่รู้สึกว่ากำลังถูกใช้งานเลยล่ะ…ใช่แล้ว!” จู่ๆ เธอก็บอกว่า “พอเวลาผ่านไป ฉันก็จะรู้สึกหิว! หิวมาก!”
“ร่างกายเบาขึ้น ขาทั้งสองข้างแข็งแรงขึ้นงั้นหรอ…” หลิงม่อพยักหน้าอย่างครุ่นคิด “ไม่ค่อยเหมือนซอมบี้ธรรมดาเลย อาการของเธอเหมือนผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกายที่แกร่งขึ้น ไม่เพียงขาทั้งสองข้างที่แข็งแรงขึ้น ร่างกายก็ปรับสภาพให้เข้ากันไปด้วย ส่วนที่เกิดความหิวโหยอย่างรุนแรงนั้น…อาจเกิดจากสาเหตุที่เผาผลาญพลังงานมากเกินไป ถ้าอย่างนั้น ก้อนเหนียวหนืดเมื่อกี้ก็แค่เติมพลังงานส่วนที่ถูกเผาผลาญไปของเธอเท่านั้น แต่กลับไม่มากพอที่จะทำให้เธอวิวัฒนาการงั้นหรือ…จิ๊ เป็นจอมตะกละจริงๆ ด้วยสินะ…”
เขายื่นก้อนเหนียวหนืดอีกก้อนไปให้เธอ แล้วถามว่า “แล้วความคิดของเธอในตอนนี้ล่ะ? แตกต่างไปจากตอนที่ยังเป็นมนุษย์ไหม?”
“ฉัน…” ดูเหมือนสวี่ซูหานค่อนข้างต่อต้านคำถามนี้ แต่พอเห็นก้อนเหนียวหนืด สายตาของเธอก็จับจ้องมันอย่างไม่ลดละ…
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน…” เธอแลบลิ้นเลียปาก แล้วตอบ
หลิงม่อพยักหน้า “อย่างนั้นหรอ…ถ้าอย่างนั้นฉันถามใหม่แล้วกัน ดูเหมือนเธอจะไม่อยากกินฉัน แถมยังดูต่อต้านอีกต่างหาก ทำไมล่ะ?”
“เรื่องนี้น่ะ…ฉันก็ไม่รู้ว่าควรพูดยังไงดี…แค่รู้สึกว่ามันน่ากลัวมากล่ะมั้ง?” สวี่ซูหานตอบ “ความจริงฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน ตอนที่เห็นนาย ฉันอยากกินนายมาก แต่ในสมองกลับมีเสียงตะโกนหนึ่งบอกว่าอย่าทำอย่างนั้น…เสียงนั้นตะโกนจนฉันรำคาญ ฉันคิดว่านั่นเป็นเสียงของฉันอีกคนหนึ่ง”
“อะไรนะ!”
หลิงม่อเกือบสำลักน้ำลายตัวเอง เขามองสวี่ซูหานด้วยสีหน้าช็อก แล้วจี้ถามต่อทันที “เธอคงไม่ได้มีสองบุคลิกอีกคนหรอกนะ!”
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เขาคงจะหัวเราะก็ไม่ได้ ร้องไห้ก็ไม่ออก!
“หา? แน่นอนว่าไม่ใช่อยู่แล้ว…” สวี่ซูหานส่ายหน้า “ฉันแค่รู้สึกว่าความคิดของฉันมันไม่ค่อยเป็นหนึ่งเดียวกัน…จะว่าไงดีล่ะ เหมือนมันมีสองความคิดต่อเรื่องเรื่องเดียวกันอย่างน่ะ แต่สรุปก็คือ ฉันรู้ว่าตัวเองยังเหลือความเป็นมนุษย์อยู่ส่วนหนึ่ง…”
“ส่วนหนึ่งงั้นหรอ…ก็แสดงว่า ในเรื่องบางเรื่องเธอยังมีการตัดสินใจแบบมนุษย์หลงเหลืออยู่ และรู้ว่าควรมองจากมุมมองมนุษย์อย่างไร แต่ตัวเธอไม่ได้มีความรู้สึกอย่างนั้นโดยตรง…หมายความสุดท้ายก็ไม่เหลือความรู้สึกของมนุษย์อยู่เลยนี่นา…” หลิงม่อถอนหายใจยาวๆ ถึงแม้สถานการณ์ของเธอจะต่างจากซย่าน่า แต่หลิงม่อกลับรู้สึกหนักใจกว่าเดิม
ก็ยังคงล้มเหลวอยู่ดีสินะ…
แต่สวี่ซูหานกลับมองหลิงม่อด้วยสายตาแปลกๆ จากนั้นก็พูดเสริมว่า “แต่ว่า ฉันยังรู้สึกต่อความกลัวอยู่นะ ฉันรู้สึกได้ถึงความกลัว และหลังจากหลุดพ้นจากความกลัว ฉันก็จะรู้สึกเหมือนได้วางอะไรบางอย่างลงแล้ว อย่างน้อยใจก็ไม่ได้เต้นเร็วขนาดนั้นแล้ว” พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เธอก็ฉีกยิ้ม แต่รอยยิ้มของเธอไม่เหมือนเมื่อก่อน มันไม่มีความหนักใจแฝงอยู่ กลับดูบริสุทธิ์ขึ้นมาหลายส่วน…
“อย่างนี้…ก็เหมือนจะไม่ใช่เรื่องไม่ดีนี่” สวี่ซูหานสรุปด้วยตัวเอง
หลังพูดจบ เธอก็ดูผ่อนคลายลงไม่น้อย แต่หลิงม่อในขณะนี้กลับช็อกค้างไปแล้ว
หลงเหลือ…ความกลัว?!
ความกลัวถือเป็นอารมณ์อย่างหนึ่ง มันเป็นสิ่งที่มนุษย์และสิ่งมีชีวิตเท่านั้นที่จะมีได้ แต่ซอมบี้และสัตว์กลายพันธุ์นั้น เนื่องจากร่างกายถูกปรับโครงสร้างใหม่แล้ว สัญชาตญาณของพวกมันจึงหลงเหลือแต่เพียงความปรารถนาในการเข่นฆ่าและความปรารถนาต่อวิวัฒนาการเท่านั้น แล้วค่อยดัดแปลง “อารมณ์ความรู้สึก” จากสัญชาตญาณดังกล่าวขึ้นมาอีกที แต่ใน “อารมณ์ความรู้สึก” ชุดใหม่นี้ ความกลัวก็ยังคงไม่ถูกรวมอยู่ในนั้นด้วย…
สวี่ซูหานยังกลัวเป็น และเข้าใจต่อความรู้สึกหวาดกลัว ก็แสดงว่าเธอยังคงอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ไว้ได้สำเร็จ!
ถึงแม้จะแค่อย่างเดียว แต่นี่ก็เป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่แล้ว!
หลิงม่อแทบจะล้วงบุหรี่ออกมาจุดตามสัญชาตญาณทันที แต่หลังจากพยายามจุดไฟแช็กอยู่หลายครั้ง เขาก็ยังจุดไม่ติดซักที…
“นะ…นายเหมือน…กำลังสั่นอยู่เลยนะ?” สวี่ซูหานถามอย่าสงสัย
“ไม่เป็นไร…ไม่เป็นไร…”
หลิงม่อสูดหายใจลึกๆ จากนั้นก็ก้มหน้ามุดกับฝ่ามือตัวเอง หลายวินาทีผ่านไป เขาก็เงยหน้าขึ้นอย่างกะทันหันอีกครั้ง
มีความหวังเหลืออยู่จริงๆ ด้วย!
“มีความหวังอยู่จริงๆ…” หลิงม่อพึมพำกับตัวเอง…
สวี่ซูหานมองเขา แล้วเงียบไป จากสถานการณ์ของเธอในตอนนี้ ความจริงเธอไม่ค่อยเข้าใจหลิงม่อมากนัก เพียงแต่แววตาที่เปล่งประกายขึ้นกว่าเดิมและรอยยิ้มที่มาจากใจของเขา ทำให้เธอเข้าใจอะไรบางอย่างรางๆ ว่าตอนนี้ควรปล่อยให้เขาอยู่อยู่กับตัวเองเงียบๆ ดีกว่า…
ผ่านไปครู่หนึ่ง สีหน้าของหลิงม่อก็กลับมาเรียบเฉยเหมือนเดิม แต่ดวงตาของเขา กลับฉายแววแห่งความเชื่อมั่นในบางอย่างอย่างแรงกล้า
“นาย…โอเคแล้วใช่ไหม?” สวี่ซูหานถามอย่างระมัดระวัง
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อยนี่” หลิงม่อตอบด้วยรอยยิ้ม
“งั้นหรอ? ฉันนึกว่า…การที่ฉันบอกว่าฉันกลัวเป็น จะทำให้นายตกใจซะอีก” สวี่ซูหานถามหยั่งเชิง สิ่งที่เธอพอจะนึกออก ก็มีแต่ความเป็นไปได้นี้เท่านั้น…
“มันเป็นเรื่องดีนะ! ฉันต้องยินดีกับเธอต่างหาก” หลิงม่อพูดอย่างจริงใจ
“ทำไมล่ะ? ฉันไม่ได้อยากกลัวเลยซักนิดนะ!” สวี่ซูหานเบิกตากว้าง เป็นซอมบี้ แต่กลับขี้ขลาดกว่าคนทั่วไป เรื่องนี้มันน่ายินดีตรงไหนกัน?!
หลิงม่อชะงักไป ไม่นานเขาก็เข้าใจ
ใช่แล้ว อารมณ์ความรู้สึกของคนเรามีตั้งมากมาย แต่เธอดันเหลือไว้แต่ความกลัว…
เป็นคนขี้ขลาดถือเป็นเรื่องปกติ ถึงอย่างไร ความระมัดระวังและรอบคอบก็ทำให้ชีวิตยืนยาวนี่…
แต่ซอมบี้ขี้ขลาด…แค่คิดหลิงม่อก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ถ้าหากไม่ระวัง เธออาจทำให้ตัวเองตกใจได้
“เอิ่ม…เธอก็อย่าคิดมากไปเลย เขาเรียกว่านิสัยส่วนตัว…” หลิงม่อปลอบ
เขาจุดบุหรี่ แล้วถามว่า “ตอนที่วิ่งหนีออกมา เธอทำหน้าเหมือนตกใจมาก แต่ทำไมพอเข้ามาในโลกมายาแล้วกลับดูสงบนิ่งซะล่ะ? แถมฉันยังรู้สึกว่าความคิดเธอกระจ่างขึ้นมาก…”
หลิงม่อรู้สึกว่าสวี่ซูหานเหมือนเจอเรื่องดีในเรื่องร้าย ด้วยเหตุนี้จึงยิ่งรู้สึกสนใจโลกมายามากขึ้น
“นายอยากฟังหรอ?” สวี่ซูหานถามอย่างประหลาดใจ
“ลองเล่ามาสิ พอดีเลย ฉันก็อยากพิสูจน์อะไรบางอย่างอยู่พอดี” หลิงม่อครุ่นคิด แล้วบอก
อวี๋ซือหรานถ่วงเวลาชายหญิงคู่นั้นไว้ได้แล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงถือว่ายังมีเวลาเหลืออยู่
แต่หวังหลิ่งมาอยู่กับพวกนิพพานได้อย่างไร หลิงม่ออยากรู้เรื่องนี้จากมุมอื่นดูบ้าง
หวังหลิ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของซย่าน่า หลิงม่อจึงค่อนข้างเชื่อใจเธอ แต่กับชายขอบตาดำคนนั้น เขาไม่แน่ใจอะไรเลย
หลิงม่อคิดว่าการฟังความเพียงข้างเดียวนั้นยากจะตัดสินใจได้ สู้หาความจริงจากทางสวี่ซูหานก่อนดีกว่า
เพราะถึงอย่างไรตอนนี้เขากับนิพพานก็เป็นเหมือนน้ำกับไฟ ไม่ระวังตัวไว้ก่อนไม่ได้…
สวี่ซูหานเลียริมฝีปาก แล้วจู่ๆ ก็ยื่นมืออกมา “เอามาอีกก้อน”
“…ความอยากอาหารของเธอน่าทึ่งมาก…” หลิงม่อพูดอย่างตะลึง พลางยื่นไปให้เธออีกก้อน “โชคดีที่ซอมบี้อย่างเธอถือกำเนิดขึ้นปีละตัว ไม่อย่างนั้นฝูงซอมบี้คงจะเลี้ยงเธอไม่ไหว…”
“ถ้านายยังพูดอย่างนี้อีกฉันจะไม่เล่าแล้ว” สวี่ซูหานบอก
“แต่…ทั้งๆ ที่กลายพันธุ์ไปแล้ว ก็ยังไม่พอใจเป็นอีกนะ…” หลิงม่อยิ้มขึ้นมา
สวี่ซูหานกลับยกมือขึ้นลูบคลำตัวเอง ผ่านไปไม่นานเธอก็ล้วงปากกาอัดเสียงแท่งหนึ่งออกมา
“ตอนที่เป็นคน…ฉันชอบสิ่งนี้ที่สุดล่ะมั้ง?” เธอถามหลิงม่ออย่างไม่ค่อยมั่นใจ
“ดูเหมือนจะใช่…” หลิงม่อตอบ
สวี่ซูหานยิ้มบางๆ “ฉันคิดว่าเป็นซอมบี้ก็ต้องมีงานอดิเรกเหมือนกัน แต่นอกจากกิน ฉันก็ไม่นึกไม่ออกแล้วว่าตัวเองอยากทำอะไรอีก ดังนั้นก็เลยตัดสินใจเก็บงานอดิเรกตอนเป็นคนกลับมา”
พูดไป เธอก็กดปุ่มเปิดเครื่อง จากนั้นก็ทำท่าทดสองเสียงเล็กน้อย
“วันนี้เป็นวันแรกที่ฉันกลายพันธุ์เป็นซอมบี้…จากนั้น ฉันก็หนีออกมา…ตอนที่กำลังหาอาหาร…ไม่สิ…ระหว่างที่กำลังตามหามนุษย์ชื่อหลิงม่อ ฉันได้เข้ามาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ที่นี่ ฉันได้สัมผัสกับเรื่องใหญ่เรื่องแรกที่เกิดขึ้นหลังจากที่ฉันกลายพันธุ์…”
—————————————————————————–