บทที่ 795 บันทึกประสบการณ์ในโลกมายา

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

บทที่ 795 บันทึกประสบการณ์ในโลกมายา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในห้องผู้ป่วยกว้างๆ เสียงพูดอันไพเราะของสวี่ซูหานดังกังวาน เสียงหวานๆ ของเธอราวกับมีพลังแม่เหล็ก เหมือนรายการวิทยุตอนดึกที่พูดจาเสนาะหูชวนฟัง…

“หลังจากที่ฉันก้าวขึ้นบันได ฉันรู้สึกได้รางๆ ว่าข้างหน้ามีคนอยู่ อาจเป็นเพราะว่าหิวมาก ตอนนั้นฉันไม่ได้คิดอะไรมาก แต่กลับดีใจขึ้นมา…ถึงนายจะไม่ใช่ซอมบี้ แต่ก็น่าจะเคยรู้สึกหิวจนรู้สึกเหมือนกระเพาะถูกควักจนกลวงโบ๋ใช่ไหม? โดยเฉพาะเมื่อนายหิวจนไส้กิ่ว แล้วเห็นอาหารอยู่ตรงหน้า…ฉันตื่นเต้นมากจริงๆ ตอนนั้นฉันเลยรีบวิ่งตาม และตะโกนไปด้วย…”

………..

“หลิงม่อ?”

บนบันไดอันมืดมิด สวี่ซูหานจับราวบันไดพยุงร่างตัวเองเดินขึ้นไป พลางตะโกนเรียก

ด้านหน้ามืดไปหมด แต่หากมองด้วยดวงตาของเธอ ก็จะมองเห็นทุกอย่างราวกับสวมแว่นอินฟราเรดไว้เลยทีเดียว เพียงแต่ภาพที่เห็นจะไม่ได้ถูกเคลือบด้วยสีเขียว แต่เป็นสีแดง…

พอมองขึ้นไป ก็เห็นรอยเลือดเก่าๆ สกปรกที่กลายเป็นสีดำเลอะติดอยู่บนขั้นบันไดมากมาย วัตถุเหนียวหนืดที่จับตัวกันเป็นก้อนห้อยอยู่ด้านข้างเต็มไปหมด แถมยังดูเหมือนกับว่าพวกมันกำลังไหวไปไหวมาเบาๆ ด้วย

บนกำแพงมีจุดสีดำอยู่มากมาย บางจุดถึงขั้นมีรอยเล็บขูดอยู่ด้วย รอยเล็บพวกนั้นลากเป็นเส้นสีดำยาวๆ แล้วจู่ๆ ก็หายไป

แค่เห็นสิ่งเหล่านี้ ก็เดาได้ไม่ยากแล้วในโรงพยาบาลแห่งนี้เคยเกิดอะไรขึ้นบ้าง

โดยเฉพาะสำหรับสวี่ซูหานในตอนนี้ พอเธอเห็นรอยเลือด ภาพผู้คนมากมายถูกฉีกทึ้งจนร่างกายจนเละในขณะที่กำลังหวาดกลัวสุดขีดก็ปรากฏโผล่ขึ้นมาแทบจะในทันที

เลือดสาดกระเซ็น ชิ้นส่วนอวัยวะกระจายเกลื่อนพื้น ขณะเดียวกัน หัวใจของสวี่ซูหานก็เต้นเร็วตามไปด้วย…

“ไม่เอา ไม่นะ…อย่าคิดสิ!”

สายตาของสวี่ซูหานเลื่อนขึ้นไปข้างบนตามฝีเท้าของเธอ ในที่สุดเธอก็เห็นสิ่งที่ต่างออกไปอยู่บนขั้นบันไดแล้ว

มันคือรอยเท้าจางๆ ที่มีอยู่ครึ่งเดียว ดูเหมือนจะยังใหม่มาก เพียงแต่ตรงขอบๆ ของรอยเท้าดูเลือนรางมาก เห็นชัดว่าเป็นรอยที่เกิดขณะกำลังเคลื่อนไหวแน่นอน

และการที่เห็นแค่ลักษณะเหล่านี้ ก็ไม่อาจระบุตัวเจ้าของรอยเท้าได้

แต่สวี่ซูหานกลับได้บางอย่างมาจากรอยเท้านั่นทันที หลิงม่ออยู่ข้างบนจริงๆ ด้วย!

“หลิงม่อ?”

เธอจ้องรอยเท้านั่นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นด้วยความลิงโลด

แต่ในเสี้ยววินาทีที่เธอเงยหน้าขึ้น เธอกลับเห็นเงาร่างหนึ่งเข้าพอดี

เงาร่างนั้นโฉบหายเข้าไปในทางเลี้ยวข้างหน้าพอดี เหมือนเมื่อกี้มันกำลังแอบมองเธอจากตรงนั้นเงียบๆ…

“เดี๋ยว…นายอย่าเพิ่งหนีสิ!”

สวี่ซูหานร้อนใจ เธอจึงเร่งฝีเท้าวิ่งตามขึ้นไป

ไม่นาน สวี่ซูหานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ และทิศทางที่มาของเสียงก็คือข้างบนนั่นเอง

พอเห็นว่าระยะห่างระหว่างทั้งสองใกล้ขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายกลับยิ่งเพิ่มความเร็วมากขึ้น

คนหนึ่งวิ่งตาม คนหนึ่งวิ่งหนี เสียงฝีเท้าของทั้งสองดังสลับกันไปมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งวิ่งมาถึงชั้น 5…

“หายไปไหนแล้ว?”

สวี่ซูหานยืนอยู่บนทางเดิน เธอมองซ้ายมองขวาด้วยสีหน้างุนงง

เมื่อกี้ตอนที่กำลังวิ่งผ่านบันไดชั้น 5 เธอเห็นเงาร่างนั้นอีกครั้งแล้วแท้ๆ…

ถึงแม้จะเห็นแค่ชายเสื้อ แต่นั่นก็แสดงว่าเธอเกือบจะวิ่งตามอีกฝ่ายจนทันแล้วนี่นา!

“ออกมาสิ!” สวี่ซูหานร้อนใจ ขณะเดียวกันเธอรู้สึกกลัวด้วย

ในทางเดินอันเงียบสงัดและมืดมน มีเธอยืนอยู่ตรงนี้แค่คนเดียว และด้านหลังก็มีเพียงช่องบันไดที่เหมือนหลุมดำ…

เมื่อเธอตะโกนออกมา เสียงสะท้อนก็ดังก้องอยู่ในทางเดิน…

บนพื้น และกำแพงของที่นี่ ก็มีรอยเลือดเก่าๆ อยู่มากมาย และสำหรับสวี่ซูหานที่กำลังหิวจนไส้แทบขาดนั้น รอยเลือดเหล่านี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากภาพวาดขนมพายบนกระดาษเลย…

“หลิงม่อ นายอยู่ไหนเนี่ย! ออกมาเถอะ!” สวี่ซูหานยังคงตะโกนต่อไป

และในตอนนั้นเอง เธอก็เห็นเงาร่างคนอีกครั้ง…

เงาร่างคนในครั้งนี้กลับปรากฏตัวอยู่ตรงส่วนลึกของทางเดิน เมื่อเธอมองไป เงาร่างนั้นกำลังหันหน้าไปทางห้องผู้ป่วยที่อยู่ด้านข้าง และเดินเข้าไปในนั้น

“เดี๋ยวก่อน!”

“ตึกๆๆๆ…”

เสียงผีเท้าดังชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง ไม่นาน สวี่ซูหานก็วิ่งมาหยุดอยู่หน้าประตูบานนั้น

บานประตูเปิดแง้มไว้ ขณะเดียวกันเสียงพูดคุยเบาๆ ก็ดังมาจากข้างในห้อง…

เพียงแต่เมื่อมองลอดเข้าไป เธอกลับไม่เห็นเงาร่างของใครอยู่ในนั้นเลย

“หลิงม่อ นั่นนายหรอ?”

สวี่ซูหานถาม ขณะเดียวกันเธอยื่นมือออกไป และเปิดประตูเบาๆ

แอ๊ดดด~~~

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อกี้ตอนที่คนคนนั้นเดินเข้ามา ประตูไม่มีเสียงแท้ๆ แต่ตอนนี้พอเธอดันประตูออก ประตูห้องกลับส่งเสียงฝืดๆ เหมือนขึ้นสนิม…

เสียงนี้ทำให้สวี่ซูหานรู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่มีสาเหตุ แต่เมื่อนึกถึงความหิว เธอก็ยังคงยืนหยัดต่อไป…

เมื่อบานประตูถูกผลักออกจนสุด สภาพแวดล้อมในห้องก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอ

“ทำไมถึงเป็น…”

ด้านหลังประตูบานนี้กลับไม่ใช่ห้องผู้ป่วย แต่เป็นห้องที่มืดมากห้องหนึ่ง

เธอเดินเข้าไปอย่างสงสัย แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ เสียง “ปัง” ก็ดังมาจากข้างหลังทันที

“กรี๊ด!”

สวี่ซูหานรีบหันกลับไปทันที แต่เธอกลับค้นพบด้วยความหวาดกลัว…ประตูห้องหายไปแล้ว!

ไม่เพียงเท่านี้ แสงสีแดงในดวงตาของเธอก็เหมือนจะมืดลง เธอจึงสามารถมองเห็นเค้าโครงสิ่งของได้เพียงรางๆ เท่านั้น

“นี่มันเรื่องอะไรกัน…”

สวี่ซูหานยืนงงอยู่สองวินาที แล้วไม่นานก็หันกลับไปอีกครั้งทันที

แต่ในขณะที่เธอหันกลับไป ก็มีใครคนหนึ่งยืนประจันหน้ากับเธอรออยู่ก่อนแล้ว!

คนคนนี้ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบไร้เสียงเตือน และยืนห่างจากตัวเธอไม่เกินสิบเซนติเมตร…

“กรี๊ด!”

ขณะที่สวี่ซูหานกรีดร้องเสียงแหลม คนคนนี้กลับเริ่มอ้าปากเปล่งเสียงพูด

“เธอเตรียมพร้อมหรือยัง?” ขณะที่เขาพูด ซี่ฟันเหลืองก็ปรากฏให้เห็น สายตาของเขาชั่วร้ายผิดปกติ…

สวี่ซูหานก้าวถอยทันทีตามสัญชาตญาณ แต่เธอไม่ทันตอบโต้อะไร ก็มีใครอีกคนเดินออกมาจากความมืดข้างหลังเธอ

และคนคนนี้ก็เดินทะลุผ่านร่างเธอไปเลย…

สิ่งที่ทำให้สวี่ซูหานตกใจคือ ในมือของคนคนนี้ลากกระสอบใบหนึ่งมาด้วย และกระสอบใบนั้นก็กำลังดิ้นขลุกขลัก เหมือนมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างอยู่ข้างใน…

“นั่น…คนหรอ?”

สวี่ซูหานยืนมองอยู่ข้างๆ เธอเบิกตากว้างจ้องสองคนนั้น แต่พวกเขากลับคุยกันเอง ราวกับว่ามองไม่เห็นเธอ

“จับเขาได้แล้ว ไปกันเถอะ” ชายคนที่ลากกระสอบตอบ

“แน่ใจนะว่าเป็นหลิงม่อ?”

ชายลากกระสอบยิ้มเย็น แล้วบอกว่า “ไม่ผิดแน่”

ทั้งสองพูดคุยกัน จากนั้นก็พากันเดินออกจากห้องไป

ไม่รู้ว่าประตูบานนั้นโผล่ขึ้นมาได้อย่างไร พอสวี่ซูหานได้ยินว่าเป็นหลิงม่อ เธอก็คิดจะพุ่งตัวเข้าไปทันที แต่กลับช้ากว่าสองคนนั้นไปหนึ่งก้าวอยู่ดี

ไม่น่าเชื่อว่าด้วยความเร็วอย่างเธอ กว่าจะวิ่งเข้าไปในประตูทางเข้านั้น สองคนนั้นก็หายไปเสียแล้ว…

“หลิง…ที่นี่ที่ไหนกัน…”

ทันทีที่เข้าไปใน สวี่ซูหานก็อึ้งค้างไป

ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเธอ กลับเป็นความมืดสนิทไปทุกหนแห่ง…

ท้องฟ้าสีดำ ต้นไม่เหี่ยวเฉาสีดำต้นใหญ่ และหมอกควันสีดำที่กำลังไหลผ่านท่ามกลางพุ่มไม้เตี้ย…

ตรงปากทางมีป้ายเอียงๆ ถูกปักไว้หนึ่งป้าย เธอเดินเข้าไปอ่านชัดๆ “ป่าสีนิล?”

“นี่เป็นที่ถูกสร้างขึ้นจากกลิ่นอายแห่งความตาย คนที่คุณกำลังตามหาอยู่ที่ไหนซักที่ในป่าแห่งนี้ แต่ถ้าหากคุณเร็วไม่พอ สิ่งที่คุณจะเจอคงจะเป็นศพของเขาแทน…บางทีคุณอาจสงสัยเรื่องทั้งหมดในตอนนี้ แต่อย่าได้สงสัยดวงตาของคุณ แม้แต่ซอมบี้ยังมีอยู่จริง แล้วยังมีอะไรที่…”

“ห๊ะ! หลิงม่อถูกเอาตัวเข้าไปในนั้นแล้ว!” สวี่ซูหานยังอ่านไม่ทันจบ ก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นกลัว

เธอก้าวเท้าออกวิ่งอย่างไม่ลังเลเข้าไปในทางเส้นเล็กๆ นั้นแทบจะทันที

ขณะเดียวกัน มีสัญลักษณ์อีโมติคอนรูปอักษร “囧” ปรากฏขึ้นบนแผ่นป้ายอย่างเงียบเชียบ

………..

“เธอรู้ได้ยังไง?” หลิงม่อถาม

“ก็ฉันวิ่งกลับไปดูอีกครั้งไง! ปรากฏว่าอีโมติคอนตัวนั้นหายไปทันทีเลยนะ! ตอนแรกฉันกะว่าจะกลับไปดูว่ามีแผนที่หรืออะไรทำนองนั้นไหม…” สวี่ซูหานพูดอย่างไร้เดียงสา

“อีกฝ่ายคงไม่คิดว่าเธอจะเชื่อเร็วขนาดนั้นล่ะมั้ง…เอาล่ะ เธอเล่าต่อสิ…”

ตอนนี้ หลิงม่อเริ่มมั่นใจการคาดเดาก่อนหน้าของเขาแล้ว อีกฝ่ายสามารถรับรู้ได้ถึงพฤติกรรมของ “ผู้ถูกดึงเข้าสู่โลกแห่งความฝัน” และสามารถได้ยินเสียงพูดของ “ผู้ถูกดึงเข้าสู่โลกแห่งความฝัน” ด้วย แต่เขากลับไม่สามารถเห็นตัว “ผู้ถูกดึงเข้าสู่โลกแห่งความฝัน” ได้โดยตรง

………..

หลังจากวิ่งทุลักทุเลมาได้ระยะหนึ่ง ในที่สุดต้นไม้ที่โผล่ขึ้นมาข้างหน้าอย่างไม่ขาดสายก็หายไป แต่สิ่งที่เข้ามาแทนที่กลับเป็นบึงน้ำสีดำ

บึงน้ำแห่งนี้ไม่มีสะพาน และก็ไม่เห็นเรือจอดอยู่รอบๆ แต่อย่างใด

สวี่ซูหานลองเดินเข้าไปใกล้ๆ แต่กลับพบว่าในบึงน้ำกำลังมีฟองน้ำผุดขึ้นมาไม่หยุด และในระลอกคลื่นก็เหมือนจะมองเห็นกะโหลกศีรษะมากมายรางๆ…

“ทำยังไงดีล่ะ…”

ในขณะที่กำลังกระวนกระวาย สวี่ซูหานกลับเหลือบไปเห็นเงาคนอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

เงาคนเงานั้นรูปร่างเล็กเตี้ย สวมชุดคลุมสีดำ เท้าเปล่า คล้องตะกร้าใบหนึ่งไว้ที่แขน และกำลังมองมาทางเธอด้วยสายตาฉงนสงสัย

สวี่ซูหานเดินเข้าไปอย่างระแวดระวัง แต่กลับต้องตกใจเมื่อเห็นรูปลักษณ์ของเด็กสาว

เธอดูเหมือนตุ๊กตาที่ถูกเย็บด้วยเศษผ้ามากมายนำมาต่อกัน ทั้งเนื้อทั้งตัวนอกจากผิวหนังก็เต็มไปด้วยสีดำ แต่สีผิวของเธอกลับขาวซีดเหมือนกระดาษไม่มีผิด

ทั้งสองต่างจ้องอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายกลับเป็นเด็กสาวที่ถามขึ้นมาก่อน “พี่อยากข้ามไปหรอ?”

“อืม…” สวี่ซูหานพยักหน้าตอบตรงๆ

เด็กสาวฉีกยิ้มเบาๆ รอยยิ้มของเธอดูไร้เดียงสา แต่สายตากลับแฝงไปด้วยความประหลาดที่บอกไม่ถูก “ถ้าอย่างนั้นพี่ช่วยอะไรฉันอย่างหนึ่งก่อนได้ไหม?”

“อย่างนั้นหรอ…ถ้าอย่างนั้นเธอบอกมาสิ” สวี่ซูหานในตอนนี้เหมือนซอมบี้ที่ไร้ซึ่งแกนสมองไปแล้ว รูปแบบความคิดก็กลายเป็นเส้นตรงไปแล้วเช่นกัน…หลังจากคิดว่าการช่วยเธอเท่ากับการข้ามบึงน้ำ เธอก็พยักหน้าตอบตกลงอย่างไม่ลังเลทันที

“ฉันยืนอยู่ที่นี่มานานมากแล้ว แต่คนที่เดินผ่านมากลับไม่มีใครเหลียวแลฉัน…” เด็กสาวเปิดตะกร้า แล้วหยิบแท่งไม้สีดำเล็กๆ ขึ้นมาหนึ่งแท่ง “อากาศหนาวมาก แต่ถ้าขายไม้ขีดไม่ได้ ฉันก็กลับบ้านไม่ได้…พี่ซื้อซักแท่งได้ไหม? ฉันต้องการสิ่งตอบแทนไม่มาก ขอเพียงพี่สามารถจุดไม้ขีดให้ติดได้ และตอบคำถามฉันหนึ่งข้อก็พอแล้ว”

พูดไป เธอก็ยื่นไม้ขีดในมือมาให้สวี่ซูหาน

“ได้สิ”

ทางสวี่ซูหานเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เธอจุดไม้ขีดดัง “แคว่ก”

เปลวไฟสีขาวเจิดจ้าพุ่งออกมาทันที และสวี่ซูหานที่กำลังจ้องเปลวไฟก็ตาลายไปชั่วขณะ…

แต่แล้วเธอก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าตัวเองมานั่งอยู่บนโต๊ะอาหารตัวหนึ่ง และจากมุมมองสายตาก็เหมือนว่าเธอกำลังนอนอยู่ข้างบนโต๊ะอาหารตัวนี้

“อืม…ขยับตัวไม่ได้เลย?”

เวลานี้ เสียงฝีเท้าหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านข้าง ไม่นาน เด็กสาวคนนั้นก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเธอ

“ครืด…”

เด็กสาวลากเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง จากนั้นก็หยิบชุดส้อมและมีดที่วางอยู่เบื้องหน้าขึ้นมา แล้วมองมาที่สวี่ซูหานด้วยดวงตาเป็นประกาย

บนใบมีดโลหะที่เงาวับ ทำให้สวี่ซูหานมองเห็น “ตัวเอง”…

เธอกลับกลายเป็นไก่งวงตัวหนึ่งที่ถูกปรุงสุกเรียบร้อยแล้ว!

ขณะเดียวกัน เด็กสาวเผยรอยยิ้มบ้าคลั่งออกมา พร้อมสีใบมีดกับส้อมในมือไปมา “ตอบคำถามมาซะดีๆ ไม่งั้นพี่จะถูกกินน้าา…”

—————————————————————————–