หลินเมิ้งหยาส่ายหน้า แม้จะรู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างยุ่งยาก แต่ถึงกระนั้นก็มิได้ยากเกินแก้
เหลือบมองทางแขนของป๋ายซ่าวอย่างไม่ตั้งใจ สายตาสะดุดเข้ากับกำไลหยกสีเขียวมรกตสวยงาม สีสันของกำไลข้อมืออันนั้นรับกันได้ดีกับผิวสีขาวดุจหิมะของป๋ายซ่าว
“ช่วงนี้ข้าเห็นเจ้ายุ่งมาก หรือให้ข้าส่งคนไปช่วยแบ่งเบาภาระของเจ้าจะดีกว่าหรือไม่?”
อันที่จริงหลินเมิ้งหยามิได้ใส่ใจคำพูดของป๋ายจี
นางยังคงเชื่อใจป๋ายซ่าว
แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่อยากให้คนที่ตนเองเห็นว่าเป็นพี่น้องต้องมีเรื่องปิดบังกัน
ป๋ายซ่าวมิได้หลบตาหลินเมิ้งหยา อีกทั้งยังไร้ซึ่งท่าทางลุกลี้ลุกลน สายตาของนางบังเกิดความอ่อนโยน
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ผ่านช่วงวันงานเทศกาลฤดูหนาวไปก็คงดีขึ้นแล้ว ข้าไม่เหมือนพวกนาง สิ่งที่พอทำได้ก็คือการแบ่งเบาภาระเหล่านี้ของนายหญิง”
หลินเมิ้งหยาส่งยิ้มตอบ บางทีป๋ายจีอาจคิดมากเกินไป
รออยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดหลินหนานเซิงก็กลับมา ทว่ายังคงไร้วี่แววของคนทั้งสามที่กลับไปเอายาในเมืองหลวง
ท้องฟ้าทางฝั่งทิศตะวันออกเริ่มปรากฏแสงเรืองๆ ให้เห็น ขณะที่หลินเมิ้งหยากำลังสะลึมสะลือ นางฟุบตัวหลับภายใต้อ้อมแขนของพี่ชาย
“ป๋ายจื่อ คุณหนูของเจ้าหลับง่ายดายเช่นนี้เชียวหรือ?”
หลินหนานเซิงมองน้องสาวที่หลับสนิทในอ้อมกอด ดวงตาเผยให้เห็นความสงสัย
ตอนเด็กนางมิใช่คนสงบเสงี่ยมเรียบร้อย
เมื่อโตขึ้นมา นางนอนหลับแทบจะไม่เป็นเวลา
ทว่าเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน นางกลับหาวอยู่เสมอ อีกทั้งยังมีท่าทางเหมือนคนง่วงนอนตลอดเวลา
“เจ้าค่ะ ตอบคุณชายใหญ่ นายหญิงมักจะหลับง่ายเช่นนี้เสมอ เหตุเพราะนายหญิงเคยผ่านการเจ็บป่วยครั้งใหญ่มาก่อนจึงมีอาการเช่นนี้”
“ป่วย? เกิดอะไรขึ้น?”
ขมวดคิ้วแน่น ตอนแรกเขาคิดว่าน้องสาวที่เป็นถึงชายาอวี้จะอยู่อย่างสุขสบาย ดังนั้นความสงสัยจึงเพิ่มพูนมากขึ้น
หรือน้องสาวของเขาต้องตกที่นั่งลำบากในจวนแห่งนั้น?”
“คือว่า…”
จู่ๆ ป๋ายจื่อก็รู้สึกตัวว่าตนเองพลาดไปแล้ว ขณะที่กำลังคิดหาข้ออ้าง โชคดีที่ป๋ายจีเป็นฝ่ายเข้ามารับหน้าแทน
“ตอนที่ไปล่าสัตว์กับท่านอ๋องเป็นครั้งแรก นายหญิงไม่ทันระวังจึงตกจากหลังม้า จากนั้นต้องพักรักษาตัวอยู่หลายวันกว่าอาการจะดีขึ้นเจ้าค่ะ”
แม้จะยังมีความสงสัยอยู่บ้าง แต่เพราะคำอธิบายของป๋ายจี หลินหนานเซิงจึงรู้สึกโล่งใจ
เพราะแบบนี้นี่เอง เด็กคนนี้กลัวม้ามาตั้งแต่เด็ก
“บาดเจ็บสาหัสหรือไม่?”
ป๋ายยิ้ม ก่อนจะตอบ
“คุณชายใหญ่โปรดวางใจ นายหญิงได้รับการรักษาจากหมอในวังหลวง ฉะนั้นจึงมิได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่อย่างใดเจ้าค่ะ ไท่อีบอกว่าอาการบาดเจ็บรุนแรงถึงกระดูกจึงต้องพักรักษาตัวก่อนสักระยะเจ้าค่ะ”
นับตั้งแต่สาวใช้ทั้งสี่ของหลินเมิ้งหยาปรากฏตัว หลินหนานเซิงลอบสังเกตอยู่เสมอ
นอกจากป๋ายจื่อที่เขารู้จักมานานแล้ว อีกสามคนที่เหลือล้วนมีความโดดเด่นเฉพาะตัว พวกนางเป็นคนที่หาได้ยากยิ่ง
เมื่อมีพวกนางคอยดูแลน้องสาว เขาเองก็รู้สึกสบายใจ
สายตาอ่อนโยนหันมาทางน้องสาวในอ้อมกอด ความอบอุ่นปรากฏขึ้นในหัวใจ
โชคดีที่นางอยู่อย่างสุขสบาย
“กลับมาแล้ว! นายหญิง ท่านอ๋องกับนายน้อยอวี้กลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
จู่ๆ เสียงของป๋ายซ่าวพลันดังขึ้น หลินเมิ้งหยาตกใจตื่น ยกมือขึ้นขยี้ตา ก่อนจะพบว่าท้องฟ้าด้านนอกสว่างจ้าแล้ว
“กลับมาแล้ว? ดีจริง!”
ลุกขึ้นจากอ้อมกอดของพี่ชาย แต่เพราะอาการหน้ามืดที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้นางทรุดตัวลงนั่งอีกครั้ง
นวดหว่างคิ้ว เมื่อคืนยุ่งวุ่นวายตลอดทั้งคืน นางจึงลืมกินอาหารไปเสียสนิท
ชายหนุ่มทั้งสามที่พุ่งเข้ามา สิ่งแรกที่เห็นคือหลินเมิ้งหยาที่นั่งอยู่ในอ้อมกอดของชายแปลกหน้า
แม้จะเป็นพี่ชายของนางแต่สายตาของพวกเขาทั้งสามล้วนมีความรู้สึกแตกต่างกันออกไป
“เป็นอะไรไป? ป๋ายจื่อ รีบไปเอาของกินมาให้คุณหนูเร็ว”
หลินหนานเซิงรู้จักน้องสาวของตนเองดี เขาจึงรู้สึกเอ็นดูนางมาก
“เจ้าค่ะ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
ป๋ายจื่อรีบลุกขึ้นเพื่อไปหาอาหาร ทว่าทั้งสามคนกลับหยิบอาหารร้อนๆ ออกจากวงแขนอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย ก่อนจะยื่นให้หลินเมิ้งหยา
ในมือของหลินจงอวี้คือซาลาเปาไส้เนื้อที่กำลังส่งกลิ่นหอมฉุย ในมือของชิงหูคือขนมปังรสชาติหอมหวาน
ทว่าสายตาของหลินเมิ้งหยากลับถูกอาหารในมือของหลงเทียนอวี้ดึงดูด
มือหนาถือน่องไก่เคลือบซอสเอาไว้
หลินเมิ้งหยาไม่สนใจสิ่งรอบข้าง นางรับน่องไก่ไปกัด น้ำซอสที่เคลือบไก่พลันส่งรสชาติหอมหวานเต็มปากเต็มคำ
“ฮือ ฮือ อุดอ๊ายอ้องไอ่อ้ออาอ่อยอี้อุด (สุดท้ายน่องไก่ก็อร่อยที่สุด)”
หลงเทียนอวี้หันไปสบตาชายหนุ่มอีกสองคน ร่องรอยของความพึงพอใจปรากฏขึ้นในสายตา
ดูสิ สุดท้ายน่องไก่อบใบบัวของเขาก็ทำให้หลินเมิ้งหยาพอใจที่สุด
ทว่าหลินเมิ้งหยาที่กำลังกัดกินอาหารโดยมิได้สนใจสิ่งรอบข้างกำลังทำให้ชายทั้งสามจ้องมองกันด้วยสายตาห้ำหั่น
ท่ามกลางสายตาเงอะงะของสาวใช้ทั้งสี่ หลินเมิ้งหยากินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยเข้าไปมากกว่าทุกครั้ง
ลูบหน้าท้องของตนเองด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“เอาล่ะ ตอนนี้ถึงเวลาทำงานแล้ว”
นางหมุนตัว ปัดกระโปรงตนเองเบาๆ เพื่อไล่ฝุ่น ก่อนจะเดินเข้ากระโจมไปและทิ้งพวกคนเงอะงะเอาไว้ทางด้านหลัง
“เสี่ยวหยานาง…กินมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
หลินหนานเซิงขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น เขาไม่ยักจำได้ว่าน้องสาวของตนมีกระเพาะใหญ่โตถึงเพียงนี้
“น่าจะเพราะหิวมากน่ะเจ้าค่ะ ป๋ายจื่อ พวกเราเข้าไปช่วยกันเถิด”
ป๋ายจีมีปฏิกิริยาเร็วที่สุด นางรีบพาสาวใช้เข้าไปในกระโจม
เพราะกินอิ่มมากเกินไป หลินเมิ้งหยาจึงรู้สึกอยากอาเจียนเล็กน้อย
สายตาปกติของนางพลันหายไป คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น พยายามอย่างยิ่งไม่ให้ตัวเองอาเจียนออกมา
ช่วงนี้ร่างกายของนางแย่ลงเรื่อยๆ
เพราะฤทธิ์ยาจึงทำให้นางกินได้มากขึ้น
แต่นางรู้ดียิ่งกว่าใคร แม้นางจะพยายามกินเข้าไปมากมายขนาดไหน ทว่าร่างกายของนางกลับผอมลงเรื่อยๆ
น่าขำชะมัด หากเป็นชาติก่อน นางน่าจะต้องกังวลเกี่ยวกับรูปร่างของตนเอง
มองดูแขนเล็กๆ ของตนเอง นางรู้ดีว่าหากยังไม่ถอนพิษออกจากร่าง สักวันหนึ่งนางจะอ่อนแรงลง จากนั้นคงหลับไม่ตื่นอีกต่อไป
ยาพิษเหล่านี้รบกวนจิตใจของนางอยู่เสมอ ไม่มีอาการเจ็บปวดหรือคัน แต่กลับรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
ตบหน้าตัวเองเพื่อรวบรวมสมาธิ
บนโต๊ะคือยาที่ทั้งสามคนห่อผ้ามาให้
แม้นางจะมิได้บอกปริมาณ แต่พวกเขาก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องซื้อมามากมายขนาดนี้เลยนี่นา
หลินเมิ้งหยาเปิดออกดู คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น
ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาทั้งสามคนจึงไม่ได้ซื้อหญ้าชิงหลิงมา
“เป็นอะไรไป? พวกเราซื้อมาผิดหรือ?”
มองเห็นสายตาสงสัยของหลินเมิ้งหยา ชิงหูจึงรีบเอ่ยถาม
“ไม่ พวกเจ้ามิได้ซื้อมาผิด แต่ข้าลืมบอกไปว่าหญ้าชิงหลิงเป็นสมุนไพรที่หาได้ทั่วไป แต่เพราะพวกมันเติบโตบนหน้าผา ฉะนั้นร้านขายยาจึงรู้สึกว่าได้ไม่คุ้มเสีย ดังนั้นจึงมิได้เก็บยาชนิดนี้เอาไว้ในคลัง”
หลินเมิ้งหยาเริ่มรู้สึกว่ากำลังตกที่นั่งลำบาก แม้ว่ายาถอนพิษจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับสมุนไพรชนิดนี้ ทว่าก็ไม่สามารถขาดไปได้เช่นเดียวกัน
นางควรทำเช่นไร?
“หญ้าชิงหลิง? ข้าจำได้ว่าตัวยาของเสด็จพ่อมีสมุนไพรชนิดนี้อยู่ ดังนั้นไท่อีจึงกว้านซื้อสมุนไพรชนิดนี้ไปจนหมด”
คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น หลงเทียนอวี้ส่งเสียงขรึม
หากหมู่เฟยยังอยู่ในวัง เขาก็ยังพอที่จะเข้าไปนำออกมาได้
ทว่าตอนนี้ยังเป็นเวลารุ่งสาง ยิ่งไปกว่านั้น ฮองเฮาและไท่จื่อกำลังระแวงเขาอยู่
พวกเขาไม่มีทางให้ยาสมุนไพรแก่เขาง่ายๆ
กว่าเขาจะได้ยาสมุนไพรกลับมา เกรงว่าฉินมั่วคงตายไปแล้ว
“ไม่เป็นไร ช่วงฤดูหนาวน่าจะยังมี เข้ามา เตรียมม้าให้ข้า ข้าจะไปเก็บยา”
หญ้าชิงหลิงมีสรรพคุณพื้นฐานที่สำคัญที่สุด
แม้สมุนไพรตัวอื่นจะเหี่ยวเฉาในฤดูนี้ ทว่าหญ้าชิงหลิงกลับยังคงบานสะพรั่ง
“ไม่ได้ เสี่ยวหยา พี่จะไปเอง เจ้าบอกพี่มาว่าหน้าตามันเป็นเช่นไร”
หลินหนานเซิงรีบคว้าข้อมือของน้องสาวตนเองเอาไว้ ทว่าหลินเมิ้งหยากลับส่ายหน้า
ในฤดูหนาว หญ้าชิงหลิงมีรูปลักษณ์ไม่ต่างอะไรจากหญ้าทั่วไป นอกจากนางแล้วก็ไม่มีใครสามารถแยกออก
หากหามาผิด เช่นนั้นชีวิตของฉินมั่วจะตกอยู่ในอันตราย
“ท่านพี่ ข้าจะเอายากลับมาให้ได้ พวกเจ้าคอยอยู่ที่นี่ดูแลคุณชายฉิน”
หลินหนานเซิงคิดอยากรั้งนางไว้ ทว่ามือหนาข้างหนึ่งกลับยื่นเข้าไปจับบังเหียนม้าตัวที่หลินเมิ้งหยาจะขี่
“ข้าจะปกป้องนางเอง”
เอ่ยเพียงสั้นๆ ทว่าสายตาของหลงเทียนอวี้ที่สบมองหลินหนานเซิงกลับแน่วแน่เป็นอย่างมาก
“เช่นนั้น…ก็…ก็ได้ ข้าจะส่งทหารไปปกป้องพวกท่าน ท่านอ๋องอวี้…ข้ามีน้องสาวเพียงคนเดียว”
สบตากันเพื่อสื่อความคิด การกระทำของทั้งคู่ตกอยู่ในสายตาของหลินเมิ้งหยา
หลินเมิ้งหยามองหน้าพี่ชายของตนเอง พยักหน้า ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนหลังม้า
คนที่กระโดดขึ้นตามไปคือหลงเทียนอวี้ มือทั้งสองข้างกุมบังเหียนและโอบร่างของหญิงสาวเอาไว้
“ย่ะ!” กระแทกท้องม้าเบาๆ ทั้งสองหายลับไปจากลานสายตาของคนทั้งหลาย
ทหารที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดีตามหลังพวกเขาไป
ชิงหูและหลินจงอวี้ไม่พูดอะไร แต่ขี่ม้าตามพวกเขาไปในทันที
คนกลุ่มใหญ่หายไปในชั่วพริบตา หลินหนานเซิงรู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก
คนที่เข้ามาลอบสังหารเขามีฝีมือและโหดเหี้ยมอำมหิต
หากต้องการเพียงชีวิตเขา เช่นนั้นหลังจากทำร้ายฉินมั่วเสร็จแล้วคงไม่รีบหนีไป
หากเป็นไปตามการคาดเดาของเขา พวกหลินเมิ้งหยาจะต้องกลับมาอย่างไม่ราบรื่นแน่นอน
หันมองสหายที่ไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตายบนเตียง เขาทำได้เพียงหวังว่าน้องสาวของตนเองจะปลอดภัย
“ที่นี่เป็นเขตอาศัยของพวกชาวบ้านมิใช่หรือ? เหตุใดจึงเงียบสงัดเช่นนี้?”
สายตาของหลินจงอวี้กวาดมองไปรอบๆ ด้วยความระแวดระวัง กระซิบถามชิงหู
หากคิดจะไปเอายา เช่นนั้นพวกเขาจะต้องผ่านหมู่บ้านแห่งนี้
แม้จะยังเป็นเวลารุ่งสาง แต่พวกชาวนาจะต้องเตรียมตัวทำอาหารแล้ว
แต่มิรู้ว่าเพราะเหตุใด เส้นทางที่พวกเขามาจึงเงียบผิดปกติ
อย่าว่าแต่ควันไฟเลย แม้แต่ไก่กาหมาแมวยังมิเห็นเลยสักตัวเดียว
“อย่าเพิ่งพูดอะไร พวกเจ้าจงเร่งเดินทาง ข้าจะไปดูหน่อย”