เมื่อเห็นว่าพี่ชายของนางเตรียมเดินจากไป หลินหลันกลับฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “ข้าไปกับพี่ใหญ่ด้วยดีกว่า จะได้ช่วยดูให้! พวกท่านไม่ละเอียดรอบคอบ ทั้งยังจัดการบาดแผลไม่เป็น หากอักเสบขึ้นมาคงไม่ดีแน่”
หลินเฟิงกลับรู้สึกเกรงใจ “จะให้ลำบากน้องพี่ได้อย่างไรกัน”
หลินหลันชำเลืองตามองเขา “ข้าเป็นหมอนะเจ้าคะ ลำบากไม่ลำบากอะไรกัน”
ปรากฏมีคนมากล่าวรายงานอย่างที่นางคาดการณ์ไว้จริงๆ ในยามที่หลินหลันกำลังช่วยพันบาดแผลให้ทหารที่ได้รับบาดเจ็บ “หมอหลินขอรับ มีหมอฉู่ท่านหนึ่งมารอพบท่านอยู่ด้านนอกขอรับ”
มาเร็วเสียจริง! หลินหลันยังคงพันแผลอย่างไม่รีบร้อน จนกระทั่งพันเสร็จเรียบร้อยถึงลุกขึ้นยืน นางเห็นหมอฉู่กำลังกอดอกยืนพิงอยู่ข้างประตู ดวงตาคู่เรียวยาวและเฉียบคมหรี่ลงเล็กน้อย นัยน์ตานั่นประดุจกำลังมองดูพระจันทร์ผ่านม่านมุ้ง ทำให้ไม่อาจมองเห็นความนึกคิดใดๆ
หลินหลันเผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย “เหตุใดหมอฉู่ถึงเสร็จธุระไวเพียงนี้ ผู้ได้รับบาดเจ็บท่านนั้น…”
ฉู่จวินห้าวเอ่ยโดยไร้สีหน้าใดๆ “ช่วยชีวิตไว้ไม่ได้”
หลินหลันเห็นชัดว่านัยน์ตาของเขาฉายประกายความเสียใจ นางเองก็เสียใจอย่างยิ่งเช่นกัน ในฐานะหมอ ไม่มีอะไรทำให้รู้สึกเสียใจเท่ากับการต้องมองดูชะตาชีวิตคนคนหนึ่งที่อยู่ในกำมือหลุดลอย
หลินหลันนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง เพื่อแสดงถึงความรู้สึกเสียใจแด่ผู้จากไป
“ข้ามารับยา” ฉู่จวินห้าวเอ่ยย้ำเตือนนาง
หลินหลันแสดงออกราวกับนึกขึ้นได้ฉับพลัน จึงกลั้นใจกล่าวออกไป “พอข้ากลับค่ายมาก็ได้ยินว่ามีทหารจำนวนหนึ่งได้รับบาดเจ็บจากการฝึกซ้อม เลยมัวยุ่งวุ่นวายจึงยังไม่ทันได้ปรึกษาหารือกัน”
ดวงตาคมของอีกฝ่ายเบิกกว้างขึ้นและกล่าวเชิงเหยียดหยัน “ด้วยคนนิสัยใจแคบอย่างเจ้า ตนเองมีของจำนวนเท่าใดยังไม่ทราบแน่ชัด แล้วยังต้องการจะปรึกษาหารือ? ปรึกษาหารือว่าอย่าให้ข้าแย่งของไปหมดล่ะสิไม่ว่า!”
หลินหลันรู้สึกโมโหอย่างยิ่ง ไอ้หมอนี่พูดจาไม่ชวนให้คนเขารู้สึกดีด้วยเอาเสียเลย
เหวินซานลงมือได้อย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว เมื่อหลินหลันพาฉู่จวินห้าวมาถึงบริเวณเก็บยา ของที่ควรนำไปแอบซ่อนล้วนแอบซ่อนไว้อย่างดิบดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เดิมทีกองพะเนินจนเต็มเอี้ยดภายในห้อง ตอนนี้กลับโล่งโจ้ง หลงเหลือเพียงกองวัตถุดิบยาในมุมห้องกองเดียวเท่านั้น
หลินหลันเห็นความผิดหวังในสายตาของหมอฉู่ ไอ้หมอนี่คงคิดว่าจะได้ขนกลับไปให้เรียบอย่างแน่นอน คาดไม่ถึงว่ายังไม่พอยัดซอกฟันด้วยซ้ำไป
“มีเท่านี้เองหรือ” ฉู่จวินห้าวกล่าวด้วยความผิดหวังอย่างตรงไปตรงมา ภายใต้ความผิดหวังยังแอบมีความหงุดหงิดให้เห็นอีกเล็กน้อย หมอขุนนางผู้นี้ช่างไม่เป็นมืออาชีพเอาเสียเลย
หลินหลันกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ “ก็มีอยู่เท่านี้ละ มิเช่นนั้นข้าจะไปโรงหมอท่านทำไมกัน”
ฉู่จวินห้าวสูดลมหายใจเข้าลึกสองเฮือกเพื่อสงบสติอารมณ์ก่อนเอ่ยถาม “เจ้าให้ได้เท่าใด”
หลินหลันยื่นนิ้วมือออกมาสามนิ้ว เท่ากับสามส่วน
ฉู่จวินห้าวขมวดคิ้ว ดวงตาคู่คมหรี่ลงเรื่อยๆ ทันใดนั้น เขายื่นมือออกมาหนึ่งข้างพร้อมสีหน้าเด็ดเดี่ยว “ผู้บาดเจ็บที่โรงหมอมีจำนวนมากเหลือเกิน ไว้รอยาส่งมาสมทบแล้วข้าจะคืนให้เป็นจำนวนเท่าตัว ซึ่งข้าจะไปส่งมอบให้เจ้าด้วยตนเอง”
หลินหลันครุ่นคิดอย่างหนัก ก่อนกัดฟันและกลั้นใจกล่าวออกไปอย่างเด็ดขาด “ตกลง ห้าส่วนก็ห้าส่วน ทว่าเจ้าพูดแล้วอย่าได้คืนคำเชียวล่ะ”
เดิมคิดจะให้เขาร่างหนังสือสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร ทว่าช่วงเวลาแห่งการสู้รบ ใครเขาจะมีกะจิตกะใจมาคิดเล็กคิดน้อยเรื่องพวกนี้อีก หากเขาเป็นสุภาพบุรุษผู้หนึ่งที่รักษาคำพูด เขาก็จะนำกลับมาคืนให้อย่างแน่นอน หากไม่รักษาคำพูด ก็คงสรรหาเหตุผลนานาประการมาเบี้ยวอยู่ดี ตามจริงยานี่ส่งออกไป นางก็ไม่ตั้งใจจะได้กลับคืนเช่นกัน ในเมื่อคนเขาไม่ได้นำไปหาผลประโยชน์ส่วนตนเสียหน่อย ทั้งหมดก็เพื่อช่วยชีวิตผู้คนเท่านั้นเอง
หลินหลันรู้สึกพึงพอใจ ในที่สุดก็ทำให้บนใบหน้าที่เคลือบไว้ด้วยความเย็นชาเผยความอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย หลินหลันให้เหวินซานนับยาเหล่านี้ออกมาครึ่งหนึ่ง
เหวินซานปั้นหน้าให้ความร่วมมือ แสดงสีหน้าเจ็บปวดใจประหนึ่งเชือดเฉือนเนื้อของเขาไป และกล่าวบ่นเป็นตุเป็นตะ “หมอหลินขอรับ พวกเราก็มีทั้งหมดเพียงเท่านั้น หากท่านทูตพิเศษกล่าวตำหนิลงมา…”
หลินหลันแอบชื่นชมความมีไหวพริบของเหวินซาน ก่อนแสร้งปั้นหน้าดุและกล่าวเชิงตำหนิ “เจ้าจะบ่นอันใดนักหนา ล้วนนำไปใช้ช่วยชีวิตคนทั้งนั้น ทางด้านท่านทูตพิเศษนั่น ไว้ข้าไปชี้แจงกับเขาด้วยตนเอง หากยาไม่เพียงพอ พวกเราค่อยคิดหาวิธีอื่นอีกทีก็ย่อมได้”
ฉู่จวินห้าวมองหลินหลันด้วยสีหน้าอาการสับสน พลางรำพึงรำพันในใจ เจ้าหนุ่มน้อยนี่ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียวเชียว
หลินหลันนึกเลื่อมใสในความมองการณ์ไกลของตนเองเป็นอย่างยิ่ง ยังดีที่ลงมือรวดเร็วฉับไว นางเชื่อว่าหากฉู่จวินห้าวเห็นของที่นางเก็บไว้ ดวงตาทั้งสองคงต้องเขียวปั๊ดเป็นแน่ หากไม่ได้ขนขึ้นไปจนเต็มสองสามคันรถคงไม่มีทางยอมเลิกรา นางไม่เคยเห็นผู้ใดที่มาขอยาจากคนอื่นเขาแท้ๆ แล้วยังวางมาดบาตรใหญ่ได้เพียงนี้มาก่อน
หลังส่งฉู่จวินห้าวจากไปเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันถึงเป็นอันโล่งอกโล่งใจ นางมุ่งกลับไปยังห้องพักของตนเอง ปรากฏว่าหลี่หมิงอวินยังไม่กลับมา หลังรอคอยจนกระทั่งมื้อค่ำเย็นชืด หลี่หมิงอวินถึงกลับมาด้วยสีหน้าอ่อนล้า
หลินหลันรีบตักน้ำมาให้เขาล้างหน้าและล้างมือพลางกล่าว “อาหารเย็นชืดหมดแล้ว ข้าจะให้คนนำไปอุ่นร้อนสักหน่อย เจ้าพักผ่อน ดื่มน้ำดื่มท่าก่อนแล้วกัน”
หลี่หมิงอวินกล่าว “มิต้องลำบากไปหรอก กินนิดๆ หน่อยๆ ก็พอแล้ว”
“จะได้อย่างไรกัน ข้าวและอาหารเย็นชืดทำร้ายกระเพาะอาหาร อีกอย่าง หลังข้ามหยางซานไปแล้ว ไม่แน่ว่าจะไม่ได้กินแม้แต่อาหารร้อนๆ สักมื้อก็เป็นได้ ถือโอกาสตอนนี้ที่ยังพอทำได้ กินอาหารดีๆ สักมื้อก็ยังดี” หลินหลันนำจานอาหารออกไปส่งให้เหวินซานนำไปอุ่นร้อนขณะกล่าว
หลี่หมิงอวินลงมือรินน้ำชาด้วยตนเอง ก่อนหย่อนตัวลงนั่งแล้วบีบนวดขมับที่ตึงเครียด
“วันนี้ปรึกษาหารืออันใดกันแล้วหรือถึงได้ทำเจ้าเหน็ดเหนื่อยได้เพียงนี้” หลินหลันกล่าวด้วยความห่วงใย เตรียมเข้าไปช่วยบีบนวดให้เขา
หลี่หมิงอวินกลับไม่ยินยอม เขาคว้ามือนางไว้แล้วให้นางหย่อนตัวลงนั่ง “หลายวันมานี้เจ้าเองก็เหน็ดเหนื่อยเช่นกัน พักผ่อนให้เต็มที่สักหน่อยเถอะ!” เขานิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่งแล้วจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “วันนี้ใต้เท้าเฝิงผู้รักษาการณ์เมืองเซิ่งโจวมาเยือน อาจเพราะรองทูตฉินได้ยินมาว่าแนวเขตชายแดนสถานการณ์ไม่ราบรื่นเท่าใดนัก จึงเกิดความขลาดกลัวขึ้นมา ต้องการให้ใต้เท้าเฝิงส่งทหารจำนวนสามพันนายไปอารักขา แม้แต่หม่าโหยวเหลียงก็ยังเห็นพ้องต้องกันไปกับเขา ทำให้ใต้เท้าเฝิงถึงกับโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง เขตชายแดนของเซิ่งโจวเป็นอะไรที่ต้องตรึงกำลังไว้อย่างหนาแน่น จะผ่อนปรนแม้แต่นาทีเดียวก็มิได้ เรื่องโยกย้ายกำลังพลตามใจนี่ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง”
หลินหลันกล่าวเชิงเหยียดหยาม “เขาขี้ขลาดตาขาวถึงเพียงนี้แล้วจะมาทำไมกัน มาเอาหน้าตอนคว้าชัยชนะหรือไร ต่อให้คิดจะเอาหน้าด้วยก็ไม่ใช่ว่าจะมาคว้าไปได้ตามอำเภอใจเสียหน่อย ข้าว่านะ! เขากับแม่ทัพหม่ากำลังเล่นตุกติกอะไรบางอย่าง และต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน”
หลี่หมิงอวินแสยะยิ้ม “เขายังคิดเล่นตุกติดอันใดได้อีกหรือ คงยุแยงตะแคงรั่วเสียมากกว่า! หนิงซิ่งเป็นผู้นำทหาร และกองกำลังสามพันนายเดิมเป็นของค่ายซีซาน อีกสองพันนางมาจากค่ายเป่ยซาน ซึ่งสองค่ายนี้ขับเคี่ยวกันมาโดยตลอด เพียงแค่ฉินเฉิงว่างพูดยุแยงว่า หากประสบอันตรายขึ้น หนิงซิ่งคงให้ทหารของค่ายเป่ยซานไปรับหน้าก่อนเป็นแน่ จึงไม่แปลกเลยหากแม่ทัพหม่าจะร้อนรนใจ”
หลินหลันกล่าวด้วยความกังวล “กองทัพรวมใจเป็นหนึ่งเดียวไม่ได้มันช่างเป็นภัยอย่างหนึ่งจริงๆ อีกทั้งพวกเขาก็คาดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปโดยรวดเร็วเช่นนี้ เห็นทีว่าชาวทู่เจวี๋ยไม่มีประสงค์จะเจรจาอย่างสงบด้วยเลยสักนิด การเจรจาอย่างสงบก็แค่การยื้อเวลาของพวกเขา มันก็แค่กลยุทธ์ในการทำให้กองทัพของเราเป็นอัมพาตก็เท่านั้นเอง ตอนแรกข้ายังคิดอยู่ว่ามันดูง่ายดายเกินไป การปฏิบัติหน้าที่ครานี้ช่างเป็นเรื่องที่อันตรายจริงๆ”
หลี่หมิงอวินกล่าวปลอบใจ “ในเมื่อมาแล้วก็ทำใจให้สบายไว้เถิด ถึงอย่างไรจิ้งปั๋วโหว์ก็ส่งผู้ช่วยมือดีให้ข้าไว้แล้วคนหนึ่ง พวกเราแค่ต้องระมัดระวังและรอบคอบไว้หน่อย ก็คงไม่น่ามีปัญหาใหญ่อันใดกระมัง”
เมื่อเห็นสายตาหลี่หมิงอวินทอแสงประกาย หลินหลันจึงรีบกล่าวเตือนให้รู้ตัวทันที “เจ้าอย่าได้ตัดสินใจอันใดเชียวนะ ข้าจะตามเจ้าไปหลางซานด้วยอย่างแน่นอน เจ้าล้มเลิกความคิดที่จะทิ้งข้าไว้ที่นี่ได้เลย ”
หลี่หมิงอวินยิ้มเจื่อน สตรีนางนี้ช่างฉลาดหลักแหลมเกินไปแล้ว ความนึกคิดของเขาไม่เคยจะปิดบังนางได้สักครั้ง
“ยิ่งอันตราย ข้ายิ่งต้องร่วมทางไปกับเจ้า วันนี้ข้าแวะไปโรงหมอมาจึงเห็นว่าในนั้นแทบจะรองรับทหารผู้ได้รับบาดเจ็บไม่ไหวแล้ว เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์สู้รบเบื้องหน้าเป็นไปอย่างรุนแรง ดังนั้น เจ้ายิ่งต้องพาข้าติดตามไปด้วย การมีหมอขุนนางที่ฝีมือดีสักคนไปด้วย อย่างน้อยๆ ก็คงช่วยเหลือทหารได้หลายร้อยนายกระมัง! อีกอย่าง เจ้าทิ้งข้าไว้ที่นี่ให้เป็นกังวลและหวาดกลัว เกรงว่าเจ้ายังไม่ทันได้กลับมา ข้าก็เป็นกังวลจนตรอมใจตายไปแล้ว” หลินหลันพูดกับเขาอย่างจริงจัง
หลี่หมิงอวินสัมผัสลงหน้าผากของนางด้วยความรู้สึกจนปัญญาแล้วถอนหายใจ “หลันเอ๋อร์…การได้แต่งงานมาเป็นภรรยาข้า ถือว่าเป็นโชคดีหรือโชคไม่ดีกันแน่”
หลินหลันเผยรอยยิ้มขณะถูหน้าผากของเขา “ขอเพียงติดตามเจ้าไปด้วยกันได้ ข้าก็สุขใจแล้ว คนเรามีชีวิตอยู่ได้ก็ต้องอาศัยความสุขใจมิใช่หรือ”
หลี่หมิงอวินพยักหน้าเล็กน้อย เขาเอื้อมมือขึ้นไปลูบผมของหลินหลันและกล่าวเชิงเยาะเย้ยตนเอง “ตอนนี้ข้าคิดว่าบรรพบุรุษตระกูลหลี่คงได้สะสมคุณธรรมความดีไว้อยู่บ้าง มิเช่นนั้นข้าจะได้แต่งงานกับศรีภรรยาที่แสนดีเช่นนี้อย่างเจ้าได้อย่างไรกัน”
หลินหลันเบิกตาโตจ้องเขม็งแล้วกล่าวโต้แย้ง “คำพูดนี้ไม่เห็นจะน่าฟังเลย! การได้แต่งข้าเป็นภรรยาคือความโชคดีที่เจ้าสั่งสมมาแปดชั่วชีวิตต่างหากล่ะ”
หลี่หมิงอวินรู้สึกถึงความสุขภายในใจจึงส่งเสียงหัวเราะร่า ความกลัดกลุ้มที่อัดแน่นเต็มอกถูกปลดปล่อยออกมา เขาดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดอย่างมีความสุขประหนึ่งได้รับประทานอาหารว่างรสเลิศหนึ่งมื้อ
เหวินซานได้ยินเสียงหัวเราะครึกครื้นภายในห้องจึงอดฉีกยิ้มขึ้นมาไม่ได้ นานมากแล้วที่นายน้อยไม่ได้ส่งเสียงหัวเราะร่าเพียงนี้ ขณะถือถาดข้าวและอาหารจึงเกิดความลังเลใจขึ้นมาว่าจะเข้าไปหรือไม่ หากเข้าไปยามนี้คงเห็นได้ชัดว่าช่างไม่รู้งานเอาเสียเลย แต่หากไม่เข้าไป ข้าวปลาอาหารคงได้เย็นชืดอีกครั้ง สภาพอากาศเลวร้ายนี่ควรรีบหมดๆ ไปเสียที หนาวจนจะทำให้จมูกแข็งแล้วก็ว่าได้ หลังครุ่นคิดอย่างหนัก เหวินซานถึงตัดสินใจเคาะประตู
รุ่งเช้าวันถัดมา กองทัพรวมพลออกเดินทางโดยมีหยางว่านหลี่นำทหารหนึ่งพันนายเป็นทัพหน้า หม่าโหยวเหลียงกลัวตายมิใช่หรือ กลัวตายก็ให้เขารั้งท้ายไปเป็นอันสิ้นเรื่อง ทหารห้าพันกว่านายพากันออกจากเมืองเซิ่งโจวอย่างพร้อมเพรียงเพื่อมุ่งหน้าไปยังหยางซาน
หยางว่านหลี่คุ้นเคยพื้นที่แถบนี้เป็นอย่างยิ่ง การมีเขานำทางจึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุดก็ว่าได้ ยิ่งไปกว่านั้น ทหารห้าร้อยนายที่หยางว่านหลี่พาติดตามมาด้วย จำนวนห้าร้อยนายนี้ล้วนเป็นผู้ที่หยางว่านหลี่คัดสรรมาเองกับมือ ในหมู่พวกเขามีหน่วยสอดแนมทัพฝ่ายตรงข้ามสองร้อยคน ส่วนที่เหลือเป็นนักสู้ผู้กล้าหาญที่เชี่ยวชาญในการสู้รบทั้งมีดดาบและธนูไม้
เพื่อความรอบคอบระมัดระวัง หยางว่านหลี่จึงส่งคนสอดแนมไปหยั่งเชิงสถานการณ์เบื้องหน้าเสียก่อน แล้วจึงเคลื่อนทัพเดินหน้าไป หลังมั่นใจได้ว่าปลอดภัย พวกเขาดำเนินตามแผนนี้เป็นระยะเวลาสองวันผ่านไปก็เป็นอันเข้าสู่พื้นที่หยางซาน
แสงสายัณห์วันนี้เปลี่ยนสีไปมากอย่างกะทันหัน พายุลมโหมกระหน่ำ สายลมรุนแรงจนทำให้แทบลืมตาไม่ขึ้น กองทัพซานซีและเป่ยซานเคยผ่านความยากลำบากมานักต่อนัก แต่กลับไม่เคยเผชิญสภาพอากาศอันเลวร้ายปานนี้มาก่อน ข้าวของถูกพัดกระเด็นกระดอน แม้แต่จะยืนให้มั่นยังเป็นการยาก เรื่องเดินมุ่งไปเบื้องหน้าจึงยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง
หลี่หมิงอวินเอ่ยเสนอแนะว่าควรหาที่หลบพายุลมก่อนหรือไม่ ฉินเฉิงว่างเอาแต่หลบอยู่ในรถม้าไม่กล้าออกมา ทำเพียงเรียกผู้ใต้บังคับบัญชามารับความประสงค์ของเขาเพื่อไปบอกกล่าว ในที่สุดครั้งนี้ก็นึกคิดได้พอๆ กับหลี่หมิงอวินเสียที
หนิงซิ่งเรียกหยางว่านหลี่มาถามหาสถานที่หลบพายุลมบริเวณใกล้เคียง หยางว่านหลี่กล่าว “อีกประมาณสองชั่วโมงจะถึงด้านหน้าของช่องเขาหลิงอู่ ดูจากสีท้องฟ้า เห็นทีว่าคงจะมีพายุหิมะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ หากกองทัพเร่งผ่านช่องเขาไปไม่ได้โดยเร็วที่สุด เมื่อพายุมิหะตกลงมาก็จะทำให้ช่องทางถูกปิด กองทัพจะถูกปิดล้อมอยู่ในบริเวณนี้ หากพวกทู่เจวี๋ยดักซุ่มอยู่ก็คงไม่ดีแน่ขอรับ”
หลี่หมิงอวินเชื่อมั่นในประสบการณ์ของหยางว่านหลี่ จึงสั่งการให้กองทัพเดินมุ่งหน้าต่อไป
ถึงอย่างไรฉินเฉิงว่างก็นั่งอยู่ในรถม้าไม่โดนลมไปสักเท่าไหร่ พวกเขาดื้อดึงจะมุ่งหน้าท้าลมไปให้ได้ คนที่ลำบากก็คือพวกเจ้าเอง ดังนั้นเขาจึงไม่แสดงความคิดเห็นโต้แย้งใดๆ
น่าเสียดายที่ยิ่งมุ่งหน้าลึกเข้าไป เส้นทางยิ่งอันตราย ช่วงหนึ่งในระยะทางเป็นเส้นทางขรุขระ เพื่อความปลอดภัย ทุกคนจึงต้องลงจากม้าแล้วจูงเดิน หลี่หมิงอวินให้คนไปบอกกล่าวฉินเฉิงว่างว่า ทางที่ดีที่สุดให้ลงจากรถม้า เกิดรถม้ากระแทกอะไรเข้าไป อาจพลิกคว่ำตกเนินผาเอาได้ นี่จึงจะทำเป็นเล่นไปไม่ได้
ฉินเฉิงว่างพร่ำบ่นด้วยความไม่พึงพอใจ แต่เมื่อเห็นว่าเส้นทางนั้นอันตรายเพียงใด อีกทั้งด้านข้างยังปรากฏให้เห็นเนินผาอันสูงชัน ภายในใจจึงเกิดหวาดกลัวขึ้นมา เลยยอมลงจากรถม้าเพื่อเดินเท้าอย่างว่าง่าย เขาโอบกอดตนเองไว้แนบแน่นเสมือนหมีตัวสั่นเทิ้ม เดินมุ่งไปเบื้องหน้าโดยมีองครักษ์สองนายคอยช่วยประคอง
เมื่อเดินไปถึงครึ่งทาง หิมะก้อนใหญ่ประดุจขนห่านโปรยปรายลงมาจากท้องนภา ราวกับผ้านวมของเง็กเซียนฮ่องเต้ถูกฉีกขาดสะบั้นแล้วร่วงหล่นลงมาเต็มศีรษะ
หลี่หมิงอวินเกรงว่าทุกคนจะพากันเกาะกุมกัน บนเส้นทางขรุขระและแคบเช่นนี้ง่ายต่อการก่อให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น จึงสั่งคนให้บอกต่อๆ กันไปว่า ให้ทุกคนรักษาระยะห่างเอาไว้ อย่าเบียดเกาะกุมกันจนแน่น แล้วจึงตามหาเรือนร่างของหลินหลันท่ามกลางกองทัพ แต่ด้วยพายุหิมะอันหนักหน่วง มีหรือจะตามหาเจอได้ง่ายๆ ภายในใจเขาจึงเกิดความกังวลอย่างสูง ทำได้เพียงปลอบใจตนเองว่ามีเหวินซานคอยติดตามหลินหลันอยู่ คงไม่เป็นอันใดอย่างแน่นอน
ในขณะที่ใกล้พ้นออกจากหุบเขา ผู้สอดแนมเบื้องหน้ามากล่าวรายงาน เอ่ยว่าปากทางช่องแคบหลิงอู่ดูไม่ชอบมาพากลเอาเสียเลย