หลินหลันถึงกับเหงื่อตกเล็กน้อยเมื่อถูกคำพูดอันชอบธรรมของเขาสะกิดต่อมเข้า แต่หากนางนำยาให้เขาไปแล้ว เกิดกองกำลังของหมิงอวินมีผู้ได้รับบาดเจ็บล้มตายก็จะต้องส่งคนกลับมารักษาที่นี่น่ะหรือ ถึงตอนนั้น เกรงว่ายาก็คงถูกเขาใช้ไปจนหมดแล้ว ทั้งยังเป็นการเสียเวลาในการช่วยชีวิตช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออีกด้วย ไม่ได้ๆ นางจำเป็นต้องมั่นใจว่าจะมียาไว้เพียงพอทำการรักษากองกำลังของตนเองเป็นอันดับแรก
“ใต้เท้าขอรับ มิใช่ข้าไม่ยินยอมช่วยเหลือ แต่ด้วยการมาปฏิบัติหน้าที่อย่างเร่งรีบจึงไม่ได้เตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ มิเช่นนั้น ข้าก็คงไม่มาหายาจากทางด้านของท่านหรอกขอรับ” หลินหลันทำใจแข็งกล่าวออกไป
หมอขุนนางวัยหนุ่มเห็นหลินหลันไม่ดูเหมือนกำลังพูดโกหก ภายในใจยิ่งรู้สึกไม่พึงพอใจ จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เช่นนี้ก็เป็นเจ้าที่ทำไม่ถูกเข้าไปใหญ่ ต่อให้เร่งรีบมาเพียงใดก็ควรรู้บ้างว่า การเดินทางของกองกำลังอันดับแรกที่ต้องเตรียมพร้อมก็คือเสบียงและยา ต่อให้ยามออกจากเมืองหลวงมาไม่ทันได้ตระเตรียมให้พร้อมเพรียง ก็ควรจัดหามาเพิ่มเติมระหว่างทางบ้าง เหตุใดหมอหลินถึงสะเพร่าเช่นนี้ได้”
หลินหลันส่งเสียงไอสองครั้งด้วยความลำบากใจ “ที่ท่านสั่งสอนก็ถูกต้อง นี่เป็นครั้งแรกของข้าสำหรับการเป็นหมอทหารเลยไม่มีประสบการณ์มาก่อนน่ะขอรับ”
หมอขุนนางวัยหนุ่มปั้นหน้าขณะกล่าวสั่งสอนต่อไป “ความขาดประสบการณ์ของท่านเพียงผู้เดียวจะทำให้คนจำนวนมากต้องเสียชีวิต ไม่รู้จริงๆ ว่าทางราชสำนักส่งคนประเภทท่านมาได้อย่างไรกัน นอกจากช่วยเหลือไม่ได้แล้วยังไปเป็นภาระเปล่าๆ กระมัง”
หลินหลันถึงกับหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา เจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้ เจ้าคิดว่าตนเองเก่งกาจมาจากไหนถึงได้มาสั่งสอนคนอย่างข้า นางเติบใหญ่มาเพียงนี้ ด้วยสองชั่วชีวิตคน ยังไม่เคยถูกผู้ใดสั่งสอนเช่นนี้มาก่อน ทว่านางคงไม่อาจโต้เถียงอันใดได้ เพราะขืนโต้เถียง ไม่แน่ว่าพ่อหนุ่มนี้คงต้องส่งคนไปแย่งยาทางด้านของนางเป็นแน่ ช่างน่าอึดอัดใจเสียจริงเชียว
“ท่านเอายาของพวกท่านมาให้ข้าก่อน ไว้ภายหลังยาถูกส่งเข้ามาเสริมให้แล้วข้าค่อยคืนให้ท่าน”
ขณะที่หลินหลันกำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะสลัดคนผู้นี้ด้วยการเดินหนีไปหรือเกลี้ยกล่อมให้เขาคลายความหงุดหงิดสักหน่อย อีกฝ่ายดันกล่าวประโยคเช่นนี้ออกมา
“เอ่อ! กองทัพของพวกข้าจะต้องออกเดินทางกันในวันพรุ่งนี้แล้ว…” หลินหลันพึมพำ
เขาส่งเสียงจิ๊ปากด้วยความรำคาญใจ “เหตุใดท่านถึงได้พูดพร่ำเพื่อปานนี้นะ ข้าไม่บิดพลิ้วท่านหรอก”
“ก็มันมิได้จริงๆ นี่ขอรับ เรื่องนี้ข้าไม่อาจเป็นคนตัดสินใจได้” หลินหลันรีบกล่าวบ่ายเบี่ยง ใครจะไปรู้ได้ว่ายาที่จำส่งมาเสริมของพวกเจ้านี่จะมาถึงเมื่อใด นางรอไหวที่ไหนกัน
“เช่นนั้นผู้ใดเป็นคนตัดสินใจได้ ข้าจะไปหาผู้นั้นเอง”
เอ่อ! นี่ยิ่งไม่ได้ไปกันใหญ่ หมิงอวินรู้เรื่องหนักเบาประเภทนี้ที่ไหนกัน บางทีเขาอาจคิดว่ายาจะน้อยลงไปสักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด ผนวกกับความมีน้ำใจงามของเขา มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะยอมตกลงแต่โดยดี หลินหลันจึงรีบกล่าวสวนกลับไป “พี่ชายท่านนี้ นี่จะมิเท่ากับท่านกำลังทำร้ายข้าหรอกหรือ”
เขามองซ้ายมองขวาแล้วกล่าวด้วยเสียงบางเบา “ทำร้ายเจ้าคนเดียวแต่ช่วยเหลือคนจำนวนมากเพียงนี้ ข้าขอไม่ลังเลที่จะทำร้ายเจ้า” เขาปลดผ้ากันเปื้อนออกขณะเอ่ย แล้วจึงหันไปด้านในพร้อมกับส่งเสียงตะโกน “อาซู ไป ตามข้าไปค่ายทหารของท่านทูตพิเศษสักประเดี๋ยว”
“เอ้ๆๆ…” หลินหลันรีบยับยั้งเขาทันทีแล้วกล่าวด้วยความกระวนกระวายใจ “เอาแบบนี้แล้วกัน! ข้าขอกลับไปปรึกษาหารือดูก่อน จะให้พวกท่านทั้งหมดเลยคงเป็นไปมิได้แน่ จริงๆ นะขอรับ วัตถุดิบยาของพวกข้าก็ไม่เพียงพอเช่นกัน อย่างมากๆ คงให้ท่านได้หนึ่งในสามส่วน หากมากกว่านี้ต่อให้ไปร้องขอท่านทูตพิเศษก็เป็นไปมิได้เช่นกัน”
เขาขมวดคิ้วขณะมองดูหลินหลัน “เช่นนั้นก็ได้! เดี๋ยวข้าจะตามเจ้าไปเอายาเดี๋ยวนี้เลย”
หลินหลันรู้สึกกลัดกลุ้มสุดขีด นี่มันเรื่องอะไรกัน! มาตามหายาไปเพิ่มแท้ๆ กลายเป็นต้องหยิบยื่นออกไป เจ้าหนุ่มนี่หากตามไปทางด้านนั้นด้วย เช่นนั้นของของนางที่แอบซ่อนไว้ก็เป็นอันต้องถูกเปิดเผยกันพอดี นี่มันทำดีไม่ได้ดีจริงๆ!
ในระหว่างนี้เอง เหวินซานวิ่งกระหืดกระหอบกลับมาแล้วยื่นห่อยาให้ “แบ่งยาชามาแล้วขอรับ”
บุรุษพยาบาลที่อยู่ด้านในส่งเสียงตะโกนเรียก “ใต้เท้าฉู่ ใต้เท้าฉู่ขอรับ แย่แล้วขอรับ ผู้บาดเจ็บสิ้นสติแล้วขอรับ…”
หมอขุนนางวัยหนุ่มเผยสีหน้าตื่นตระหนก รีบผูกผ้ากันเปื้อนที่เพิ่งปลดได้ครึ่งทางกลับเข้าไปดังเดิมแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรนใจ “รีบเตรียมมีดไว้เดี๋ยวนี้เลย”
ขณะเอ่ยยังไม่ลืมที่จะคว้าห่อยาจากมือของเหวินซานไป พลางกล่าวต่อหลินหลัน “ไว้เดี๋ยวข้าค่อยไปหาท่านอีกทีแล้วกัน หมอหลิน”
หลินหลันเห็นเข้าเดินเข้าไปด้านในแล้ว จึงเอ่ยถามองครักษ์ที่อยู่ข้างๆ “ใต้เท้าฉู่ท่านนี้เป็นผู้รับผิดชอบที่นี่หรือ”
องครักษ์กล่าว “ใช่ขอรับ ใต้เท้าฉู่เป็นหมอที่ดีที่สุดในที่แห่งนี้ของพวกเรา ทุกคนล้วนขนานนามเขาว่าหมอฉู่มือวิเศษขอรับ”
หลินหลันก้มหน้าลงขณะครุ่นคิดชั่วครู่แล้วจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “พวกเราไปกันเถอะ”
หลังออกจากโรงหมอ หลินหลันรีบสั่งการเหวินซานทันที “เจ้ารีบกลับไปเตรียมนำวัตถุดิบยาของพวกเราซ่อนไว้ให้ดีๆ เอาให้เหลือไว้เพียงหนึ่งส่วนสามเท่านั้นเป็นพอ โดยเฉพาะยาระงับเลือดตามบาดแผลกับยาชา เอาเหลือไว้ให้น้อยๆ หน่อย”
เหวินซานประหลาดใจ ทำเช่นนี้เพื่ออันใดหรือ
หลินหลันเห็นเขามัวยืนนิ่งจึงกล่าวเร่งเร้า “ยังไม่รีบไปอีก!”
เหวินซานส่งเสียง อ้อ อย่างงุนงง แล้วจึงรีบวิ่งเหยาะๆ กลับไป
หลินหลันไปพบหลี่หมิงอวินเป็นอันดับแรก เมื่อเดินไปถึงด้านหน้าประตู นางเห็นว่าฉินเฉิงว่างกับหม่าโหยวเหลียงกำลังพึมพำกันอยู่บริเวณทางเดินใต้ชายคา ไม่รู้ว่าพูดคุยอันใดกันอยู่ หม่าโหยวเหลียงดูเหมือนอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ดวงตาโตของเข้ากำลังจ้องเขม็งจนแทบทะลุออกมา
หลินหลันรีบหลบไปอยู่ด้านหลังเสา ทันใดนั้นองครักษ์ผู้หนึ่งปรากฏตัวออกมาและกล่าวรายงาน “ท่านทูตพิเศษหลี่เรียนเชิญใต้เท้าทั้งสองเข้าสู่ด้านในขอรับ”
เห็นทีว่าหมิงอวินคงไม่มีเวลาพบปะนางตอนนี้เสียแล้ว หลินหลันจึงหันหลังกลับไปยังห้องยาของตน ซึ่งระหว่างนั้น เหวินซานกำลังนำคนมาจัดการเคลื่อนย้ายวัตถุดิบยา
“เร่งมือหน่อยๆ ทำให้มันคล่องแคล่วว่องไวหน่อย นำของเหล่านี้ แล้วก็พวกนี้ด้วยขนไปไว้รถเสบียงด้านหลังให้หมด”
เหมือนเห็นนายหญิงมาเยือน เหวินซานจึงรีบเดินเข้ามาหาแล้วกล่าว “หมอหลินขอรับ ข้าน้อยให้คนนำสมุนไพรเซียนเฮ่อ[1]เช่ว์อวี๋ถ้าน[2] ผลหมาก ผู่หวง[3] กวาวเครือ โกฐจุฬาลัมพาจีน และใบเช่อไป่[4]…เกือบจะทั้งหมดขนย้ายไปไว้ที่รถคลังเสบียงแล้วขอรับ ยาชาเหลือไว้หกสิบห่อ ส่วนยาห้ามเลือดจินฉ่วงเหลือไว้หนึ่งร้อยขวดขอรับ”
หลินหลันลองคำนวณชั่วครู่ก่อนเอ่ยขึ้น “เอาตามนี้ละ” ต่อให้แบ่งให้หมอฉู่ไปหนึ่งในสาม ก็ยังเพียงพอให้เขาได้ยื้อไปอีกสักระยะ เมื่อถึงตอนนี้ผู้ที่นำยามาเสริมให้ก็คงมาถึงแล้วพอดี
“เจ้าสั่งการคนเหล่านี้ทีสิว่า ให้พวกเขาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าวัตถุดิบยาของพวกเราเหลือเพียงเท่านี้ มากกว่านี้คงให้ไม่ได้แล้ว”
เหวินซานกล่าวขึ้นทันทีทันใด “มีคนต้องการแบ่งวัตถุดิบยาของพวกเราหรือขอรับ”
หลินหลันบนอุบอิบ “จะว่าอย่างนั้นก็คงใช่ ข้าหวังดีช่วยชีวิตคนแท้ๆ กลายเป็นสร้างปัญหาให้ตนเองไปได้ หมอฉู่ที่โรงหมอผู้นั้นดื้อดึงจะให้ข้าเอาวัตถุดิบยาของพวกเราให้เขาก่อนให้จงได้”
“จะได้อย่างไรกันขอรับ พวกเราเองก็ยังไม่เพียงพอเลยด้วยซ้ำ! อีกอย่างพรุ่งนี้พวกเราก็ต้องออกเดินทางกันแล้วด้วย” เหวินซานกล่าว
หลินหลันถอนหายใจ “ช่างเถอะ เขาก็นำไปเพื่อช่วยชีวิตคนเช่นกัน ล้วนเป็นทหารของราชวงศ์เรา จะอย่างไรก็ไม่อาจมองดูพวกเขาตายไปโดยไม่ทำอะไรสักอย่าง”
เหวินซานเผยสีหน้าเศร้าสร้อย “นั่นก็ถูกขอรับ” แม้ว่าระหว่างการเดินทางได้ยินบรรดาทหารบอกเล่าถึงการสู้รบว่ามันโหดร้ายเพียงใด แต่นั้นก็ยังไม่รุ่นแรงเท่ากับภาพสถานการณ์ที่ได้เห็นในวันนี้ ภาพฉากนั้นช่างน่าเวทนาเสียเหลือเกิน
“เจ้าให้ทุกคนจัดการกันเร็วหน่อย หมอฉู่ท่านนั้นอาจใกล้มาถึงแล้วก็เป็นได้” หลินหลันเร่งเร้าอีกระลอก หากทหารผู้นั้นโชคไม่ดีจึงเป็นอันต้องจบชีวิตลง เช่นนั้นหมอฉู่ท่านนั้นก็คงกำลังรีบมาที่นี่แล้วเป็นแน่ หากยังรอดชีวิตได้ เช่นนั้นหมอฉู่ก็คงยังต้องยุ่งวุ่นวายอีกพักหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางยังคงหวังว่าทหารผู้น่าสงสารคนนั้นจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้
เหวินซานจึงรีบไปเร่งเร้าทุกคน
หลินหลันเดินทอดน่องออกไป นางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าใดนักเมื่อนึกย้อนภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ที่เห็นฉินเฉิงว่างกับหม่าโหยวเหลียงพึมพำกันอยู่
ฉินเฉิงว่างตัวร้ายผู้นี้ไม่รู้ว่ามีความหยิ่งผยองเพียงใด หมิงอวินหวังดีเรียนเชิญเข้ามาร่วมปรึกษาหารือการใหญ่ด้วยไม่รู้กี่ครั้งกี่ครา เขาล้วนต่อต้านหมิงอวิน หมิงอวินเอ่ยตะวันออก เขาก็จะเอ่ยตะวันตก ชักสีหน้าใส่ครั้งแล้วครั้งเล่า เสมือนเขาเป็นผู้นำในครั้งนี้ บ้าบอสิ้นดี! ตอนนี้ยังทำลับๆ ล่อๆ กับหม่าโหยวเหลียงอีก ใครจะรู้ว่าเขากำลังคิดทำเรื่องชั่วร้ายอันใดอยู่กันแน่
“หมอหลิน…”
หลินหลันได้ยินคนเรียกนางจึงเงยหน้าขึ้นมอง ปรากฏว่าเป็นพี่ชายของนางที่กำลังเดินยิ้มหน้าระรื่นเข้ามา
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน “ท่านพี่ ยามนี้เป็นเวลาฝึกซ้อมทหารมิใช่หรือ”
หลินเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เสร็จสิ้นแล้วละ เมื่อครู่นี้ฝึกซ้อมกับบรรดาทหารอย่างดุดันไปหน่อย ไม่ทันระวัง เลยได้บาดแผลมาด้วย ข้าก็เลยมาหายาทาแผลที่เจ้า”
หลินหลันกล่าวเชิงตำหนิ “จริงๆ เลยนะ นี่ยังไม่ทันได้ลงสนามรบเลยก็บาดเจ็บเสียแล้ว! รู้ทั้งรู้ว่าเป็นการฝึกซ้อมก็ไม่รู้จักบันยะบันยังเสียหน่อย”
หลินเฟิงกล่าวอย่างหน้าตาเฉย “ถึงจะเป็นการฝึกฝนก็ต้องทำให้เสมือนจริง ขืนมัวทำท่าทำทางไปเช่นนั้น พอถึงเวลาสู้รบจริง ศัตรูเหล่านั้นไม่มีทางออมมือให้เจ้าเป็นแน่ ไม่เจ้าตายก็ข้าตาย”
หลินหลันพยักหน้าแล้วกล่าว “ไม่เลวนี่! พี่ชายของข้าเพิ่งเป็นทหารไม่ทันไร ก็พูดอะไรพวกนี้ขึ้นมากับเขาเสียแล้ว”
หลินเฟิงเกรงใจเกินกว่าจะลูบศีรษะของน้องสาว จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “เจ้าก็อย่าได้หัวเราะเยาะข้าเลยน่า”
“เอาละๆ เหวินซานอยู่ด้านใน ท่านไปถามเอายาจากเขาแล้วกันเจ้าค่ะ” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม