หลี่หมิงอวินครุ่นคิดอย่างหนักอยู่ชั่วขณะแล้วจึงกล่าว “หลังข้ามผ่านหยางซานพวกเราก็จะรวมพลกับแม่ทัพฮ๋วยหยวนได้แล้ว ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้าส่งคนของเจ้าไปจับตามองรองทูตฉินกับหม่าโหยวเหลียงเอาไว้ให้ดีๆ พวกเราระมัดระวังเอาไว้ก่อนจะดีกว่า”
หนิงซิ่งกล่าว “ตลอดทางมานี้ข้าได้ส่งคนไปคอยจับตามองอยู่ตลอดเช่นกัน! ข้าก็แค่เกรงว่าฉินเฉิงว่างไอ้หนุ่มนี่พอถึงช่วงเวลาคับขันมันจะแทงข้างหลังพวกเราเอาได้ ในสายตาคนตระกูลฉิน เจ้า ข้า ล้วนเป็นคนขององค์ชายสี่ พวกเขาคงต้องคิดหาวิธีทางทำลายการเจรจาของพวกเราเป็นแน่ หรือไม่ก็คงฉกฉวยคุณงามความดีของพวกเราไป ข้าละไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดฮ่องเต้ต้องทำเช่นนี้ นี่มิเท่ากับเป็นการสร้างปัญหาให้พวกเราหรอกหรือ”
หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างครุ่นคิด “ฝ่าบาททรงมีการพินิจพิจารณาขององค์เอง ตอนนี้ยังมิใช่เวลาที่จะฉีกหน้าตระกูลฉิน ส่วนพวกเรา หนิงซิ่ง เจ้าต้องจำไว้ให้ดีว่าพวกเราจงรักภักดีต่อฮ่องเต้แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น”
หนิงซิ่งพยักหน้าทันที “ประเด็นนี้ข้ารู้ดี พวกเราไม่ขอมีส่วนร่วมต่อการสู้รบของบรรดาองค์ชาย ผู้ใดมีความสามารถก็คว้าตำแหน่งไปครอง หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเราไม่ เพียงแต่…พี่ใหญ่ ข้าขอพูดตามจริงสักอย่างเถอะ ไท่โฮ่วมีอคติต่อเจ้า หากภายภาคหน้าองค์รัชทายาทได้ขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่น เกรงว่าคงไม่เป็นผลดีต่อพี่ใหญ่เอาได้นะขอรับ”
ประเด็นนี้ไม่ใช่หลี่หมิงอวินไม่เคยคำนึงถึงมาก่อนแต่อย่างใด ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะเฉินจื่ออวี้สร้างหลุมพรางให้ตระกูลฉินกระโดดลงไปเอง จนกลายเป็นว่าตระกูลฉินหาเรื่องใส่ตนเอง เขาเองก็ไม่กล้าคิดเช่นกันว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร ในใจของไท่โฮ่วได้จัดเขาอยู่ในรายชื่อผู้ไม่ให้ความร่วมมือเป็นที่แน่นอนแล้ว การไม่ให้ความร่วมมือกับนางก็เท่ากับไม่ซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อองค์รัชทายาท ไม่จงรักภักดีต่อองค์รัชทายาทก็เท่ากับเป็นคนขององค์ชายสี่ หลี่หมิงอวินจึงตกอยู่ในสถานการณ์บีบบังคับที่ไม่อาจทำอันใดได้ การจะเป็นขุนนางบริสุทธิ์ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดนี่มันยากเหลือเกิน ลึกๆ แล้วเขาก็เคยหยั่งเชิงความนึกคิดของจิ้งปั๋วโหว์เช่นกัน จิ้งปั๋วโหว์กล่าวว่า ราชวงศ์เราตั้งแต่ยุคเหรินจง[1]เป็นต้นมาบ้านเมืองก็เริ่มมีชีวิตที่มั่นคงและกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหลังจากความปั่นป่วนครั้งใหญ่ ฮ่องเต้ผู้ปกครองบ้านเมืองรุ่นต่อๆ มาต่างทุ่มเทให้กับการดำเนินการตามข้อตกลงใหม่ โดยให้ความสำคัญกับการดำรงชีวิตของประชาชน มุ่งเน้นไปที่วัฒนธรรม และเพิกเฉยต่อกิจการทางทหาร แม้ว่าอำนาจของบ้านเมืองจะค่อยๆ เจริญรุ่งเรืองขึ้น แต่ในขณะเดียวกันความเข้มแข็งทางทหารก็อ่อนแอลง แต่ตอนนี้ทู่เจวี๋ยทางตอนเหนือ ทู่โปทางด้านตะวันตก และหนานจาวทางด้านตอนใต้ล้วนค่อยๆ แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นเป็นภัยต่อราชวงศ์เราอย่างยิ่ง ณ ตอนนี้อาจยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่เมื่อศึกภายในของทู่โปสงบลงและหนานจาวกอบกุมอำนาจมั่นคง หากพวกเขาร่วมมือกันต่อกรจงหยวน[2] จงหยวนคงได้ตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่งเป็นแน่! ท่ามกลางโลกที่สงบสุข การที่ผู้ปกครองบ้านเมืองมีพระเมตตาอันใหญ่หลวงนั้นถือเป็นความสุขของปวงประชา แต่หากท่ามกลางโลกที่โกลาหลวุ่นวาย…
คำพูดส่วนหลังจิ้งปั๋วโหว์เลือกที่จะตัดบทไว้เพียงเท่านั้น ทว่าหลี่หมิงอวินเข้าใจความหมายของจิ้งปั๋วโหว์ได้เป็นอย่างดีแล้วเช่นกัน ท่ามกลางโลกที่โกลาหลวุ่นวาย ฮ่องเต้อ่อนแอ จะกลายเป็นหายนะของปวงประชา ซึ่งก็คือแนวโน้มสถานการณ์ในปัจจุบันนี้นั่นเอง การเพิ่มขึ้นของชนชาติเผ่าพันธุ์เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จงหยวนกลายเป็นเนื้อชิ้นหนึ่งที่อยู่บนริมฝีปากของพวกเขา องค์รัชทายาทนิสัยอ่อนปวกเปียกมาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่เหมาะสมแก่การเป็นผู้ปกครองบ้านเมืองในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความโกลาหล ในทางตรงกันข้าม องค์ชายสี่ผู้เลือดร้อน และมีนิสัยมุทะลุฮึกเหิมเหนือกว่า จึงมีความเหมาะสมกว่ามาก
นี่เป็นการพิจารณาจากสถานการณ์โดยรวมและจากสิ่งที่เผยออกมาจากตัวตนของแต่ละคน หากไท่โฮ่วเห็นเขาเป็นปรปักษ์ เช่นนั้นเขาจะไม่ช่วยสนับสนุนองค์ชายสี่อีกแรงหนึ่งอย่างไม่ลังเลใจ
“เรื่องเหล่านี้เอาไว้ค่อยว่ากันภายหลังแล้วกัน ตอนนี้หน้าที่ของพวกเราคือต้องเข้าสู่การเจรจามาให้ได้ และจำเป็นต้องเป็นการเจรจาที่สันติหลังทู่เจวี๋ยพ่ายแพ้” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
หนิงซิ่งเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง “พี่ใหญ่ เอาเป็นว่าข้าขอเชื่อฟังท่านก็เป็นพอ”
องครักษ์ส่งเสียงกล่าวรายงายจากด้านนอกห้อง “ใต้เท้าหยาง เซี่ยนเว่ย[3]ประจำเซิ่งโจวขอเข้าพบขอรับ”
หลี่หมิงอวินกล่าวขึ้นทันทีด้วยความดีใจ “รีบเรียนเชิญเข้ามาเร็วเข้า”
เขาเห็นเพียงบุรุษวัยกลางคนท่านหนึ่งที่มีใบหน้าขึงขังแต่งแต้มไว้ด้วยหนวดเคราและรูปร่างกำยำล่ำสันกำลังเดินเข้ามา เขายกสองมือขึ้นแล้วคารวะให้หลี่หมิงอวิน “ใต้เท้าหลี่ ข้าน้อยได้รับจดหมายจากจิ้งปั๋วโหว์ จึงรีบมาพบปะใต้เท้าหลี่หลังรอคอยมาหลายวันขอรับ”
หยางว่านหลี่เซี่ยนเว่ยท่านนี้ เคยเป็นเสี้ยวเว่ย[4]ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของจิ้งปั๋วโหว์ สู้รบด้วยความดุดันและกล้าหาญ ถึงจะเห็นเขาดูเหมือนคนประเภทสะเพร่า แต่นั่นเป็นเพียงแค่ภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้น เพราะแท้จริงแล้วเขาเป็นผู้ที่ละเอียดรอบคอบผู้หนึ่ง ทั้งยังชาญฉลาดและมีไหวพริบชั้นเลิศ นอกจากนั้นยังคุ้นเคยต่อสถานการณ์ของทู่เจวี๋ยอย่างดี ดังนั้นจิ้งปั๋วโหว์จึงส่งจดหมายมาให้เขาแต่เนิ่นๆ ให้หยางว่านหลี่มาคอยอยู่ที่เซิ่งโจวเพื่อจะได้ติดตามหลี่หมิงอวินมุ่งหน้าไปยังหลางซาน
หลี่หมิงอวินหัวเราะร่า ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปให้การต้อนรับ “ใต้เท้าหยางอย่ามากพิธีไปเลยขอรับ จิ้งปั๋วโหว์เอ่ยถึงท่านอยู่หลายครั้งหลายคราวและยกย่องท่านเป็นอย่างยิ่ง ครั้งนี้คงจำเป็นต้องรบกวนความช่วยเหลือจากใต้เท้าหยางด้วยขอรับ”
ใต้เท้าหยางเผยท่าทีเคร่งขรึม “ด้วยคำสั่งการของโหว์เหยีย ข้าน้อยพร้อมเสี่ยงชีวิตและสละแขนขาของตนเพื่อช่วยขจัดปัญญาทั้งปวงขอรับ ใต้เท้าหลี่ ข้าน้อยได้รวบรวมเสบียงอาหารจำนวนมาก และได้รวบรวมนักรบผู้กล้าหาญใต้บัญชาไว้อีกจำนวนห้าร้อยคนให้ร่วมติดตามใต้เท้าหลี่ไปหลางซานในครานี้ด้วยขอรับ” ไม่เพียงเท่านั้น เขายังกล่าวอธิบายขึ้นอีกครั้ง “เพราะเซิ่งโจวเป็นสถานที่สำคัญทางการทหาร เพื่อหลีกเลี่ยงการซุ่มโจมตีของทู่เจวี๋ย ข้าน้อยจึงไม่อาจยกพลทหารมุ่งหน้าไปด้วยได้จำนวนมากกว่านี้ อย่างไรคงต้องขออภัยใต้เท้าหลี่ด้วยนะขอรับ”
ระหว่างเดินทางมานี้ หนิงซิ่งล้วนสื่อสารแลกเปลี่ยนกับหมิงอวินเกี่ยวกับกลวิธีทางการทหารอยู่ตลอด ก่อนออกเดินทาง หลี่หมิงอวินก็อ่านหนังสือเกี่ยวกับการทหารอะไรจำพวกนี้มาบ้างเช่นกัน เขาจึงรู้ดีว่าพื้นที่เซิ่งโจวตั้งอยู่ ณ เขตชายแดนระหว่างสองประเทศ หากสถานการณ์เบื้องหน้าตกอยู่ในแนวโน้มที่ไม่ราบรื่นจะได้เข้าสนับสนุน หรือถอยเพื่อตั้งรับปกป้อง ถือเป็นประตูแห่งการป้องกันที่สำคัญยิ่ง หากเซิ่งโจวถูกตีแตก กองกำลังทหารของทู่เจวี๋ยจะบุกเข้ามาและคุกคามจงหยวน ดังนั้น การไตร่ตรองของหยางว่านหลี่เป็นไปอย่างถูกต้องไม่มีผิดเพี้ยน
“ใต้เท้าหยางเก่งกาจสมคำร่ำลือ มีใต้เท้าหยางติดตามไปด้วยก็เพียงพอแล้วขอรับ” หลี่หมิงอวินกล่าวเชิงติดตลก หลังจากนั้นจึงชี้นิ้วไปยังหนิงซิ่งซึ่งอยู่ด้านข้างและกล่าวแนะนำ “ท่านนี้คือแม่ทัพหนิงซิ่งอวู่เล่ว์เจียงจวิน[5]ขอรับ”
ทั้งสองยกสองมือขึ้นคารวะให้แก่กันและกัน ถือว่าเป็นการทำความรู้จักกัน
“หลังจากนี้ท่านก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาติดตามแม่ทัพหนิงนะขอรับ” หลี่หมิงอวินกล่าว
“ขอรับ!” หยางว่านหลี่กล่าวขานรับด้วยเสียงดังฟังชัด เขาตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะเข้าสู่สนามรบมาเนิ่นนานแล้วก็ว่าได้ น่าเสียดายที่ทางราชสำนักให้เขาประจำการเป็นเซี่ยนเว่ยอยู่ ณ ที่แห่งนี้เพื่อคอยรับฟังสถานการณ์สู้รบทางด้านเขตชายแดน ซึ่งนั่นทำให้ภายในใจของเขารู้สึกราวกับมีกรงเล็บนับร้อยขีดข่วนให้อยู่ไม่สุข โชคดีที่โหว์เหยียยังจดจำเขาได้ จึงให้โอกาสครั้งนี้แก่เขา กระตุ้นเลือดร้อนในร่างเขาให้ปะทุพลุ่งพล่านและตั้งหน้าตั้งตารอคอยการมาถึงของทูตพิเศษหลี่
หนิงซิ่งชื่นชอบบุรุษที่เปิดเผยตรงไปตรงมาเป็นที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น คนผู้นี้เป็นผู้ที่จิ้งปั๋วโหว์แนะนำให้ จึงเป็นธรรมดาที่จะรู้สึกเสมือนเป็นคนกันเองขึ้นมาโดยง่าย เขาแตะมือลงไปบนบ่าของหยางว่านหลี่แล้วกล่าว “ใต้เท้าหยาง ช่วยเล่าเกี่ยวกับสถานการณ์เขตชายแดนให้พวกเราฟังเร็วเข้า”
หลินหลันไปยังโรงหมอในเซิ่งโจวโดยมีเหวินซานติดตามไปด้วย แม้เอ่ยว่าหน้าที่ของหลี่หมิงอวินคือการเจรจาอย่างสงบ ทว่าหลังออกจากเซิ่งโจวและข้ามหยางซานไปแล้ว กองกำลังทหารอาจถูกพวกทหารทู่เจวี๋ยโจมตีได้ทุกเมื่อ กว่าจะได้รวมพลกับแม่ทัพฮ๋วยหยวน ไม่แน่ว่าอาจต้องเข้าร่วมสถานการณ์การสู้รบสักฉากก็เป็นได้ การบาดเจ็บหรือล้มตายจึงเป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยง ดังนั้นนางต้องเตรียมวัตถุดิบยาไว้ให้พร้อม โดยเฉพาะยาประเภทห้ามเลือดและสมานบาดแผล ตามจริงก่อนออกเดินทางมา ภายใต้ความช่วยเหลือของตระกูลเยี่ยและเต๋อเหรินถางนางก็ได้ตระเตรียมมาไว้เป็นจำนวนไม่น้อยแล้ว ระหว่างทางนางจึงขอสรรหามาเพิ่มอีกจำนวนหนึ่งเท่านั้น หนิงซิ่งถึงขั้นกล่าวไว้ว่า ไม่เคยเห็นกองกำลังฝ่ายใดไปสู้รบโดยตระเตรียมยาไว้ครบครันเพียงนี้มาก่อน ทว่านางก็ยังไม่วางใจอยู่ดี! จึงอยากหาเอาไว้ให้มากๆ เข้าไว้
อย่างไรก็ตาม กระทั่งหลินหลันไปถึงโรงหมอดังกล่าวก็ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก ที่แห่งนี้แออัดไปด้วยผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บ ขนาดที่ว่าบริเวณพื้นที่ลานกว้างของโรงหมอก็ถูกสร้างเพิงพักพิงขึ้นมาเพื่อรองรับทหารที่ได้รับบาดเจ็บ เสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดดังระงม ช่างสร้างความขนลุกขนชันแก่ผู้ได้ยินยิ่งนัก
เหวินซานกล่าวด้วยความตกตะลึงปนประหลาดใจ “เหตุใดถึงมีทหารบาดเจ็บมากมายเพียงนี้ล่ะ”
องครักษ์ผู้หนึ่งที่มาเป็นเพื่อนหลินหลันเอ่ย “ชาวทู่เจวี๋ยบุกเข้ามาจากทางตะวันตกเฉียงเหนือไม่ได้ เมื่อเดือนที่แล้วจึงหันมาโจมตีทางด้านหยางซานนี้ ทหารเบื้องหน้าที่ได้รับบาดเจ็บและล้มตายจำนวนมากล้วนถูกส่งมารักษายังเซิ่งโจว ที่นี่ก็เลยเต็มไปด้วยผู้บาดเจ็บ จนหมอทหารรักษากันไม่ทัน ตัวยาต่างๆ ก็เกือบจะขาดแคลนแล้วเช่นกัน ที่กำลังส่งตามหลังมาให้ก็ไม่รู้ว่าจะมาถึงได้เมื่อใด”
หลินหลันมองหน้ากับเหวินซานเลิ่กลั่ก หากเป็นเช่นนี้ ความคิดที่พวกนางต้องการหาซื้อยาจากที่นี่ไปหน่อยคงเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว
เมื่อเดินมุ่งต่อไปเข้าสู่ด้านใน ได้ยินเพียงเสียงร้องโหยหวนชวนเวทนา เป็นเสียงร้องชนิดที่ว่าแทบขาดใจก็ว่าได้ มันทำให้หัวใจของหลินหลันเต้นระรัว นางคว้ามือบุรุษพยาบาลท่านหนึ่งที่กำลังถือห่อยาเตรียมเข้าสู่ด้านในแล้วเอ่ยปากถาม “ด้านในนี่เตรียมจะทำอันใดหรือ”
บุรุษพยาบาลผู้นั้นกล่าวด้วยสีหน้าร้อนรนใจ “วันนี้เพิ่งมีทหารผู้หนึ่งถูกส่งตัวมา บริเวณขาได้รับบาดเจ็บสาหัส หากไม่เลื่อยทิ้ง เกรงว่าจะถึงแก่ชีวิตเอาได้…”
หลินหลันได้ยินดังกล่าวจึงเกิดความกังวลใจ “มียาชาหรือไม่”
บุรุษพยาบาลกล่าวด้วยสีหน้าทุกข์ใจ “ยาชาใช้หมดไปตั้งนานแล้วละ”
“แล้วจะเลื่อยกันสดๆ เช่นนี้เลยหรือ” เหวินซานรู้สึกเหงื่อตกท่วมตัวขึ้นมาทันทีทันใด
“เช่นนั้นจะให้ทำอย่างไรได้ ไม่เลื่อยทิ้งก็ตาย เลื่อยทิ้งแล้วอาจยังพอรักษาชีวิตเอาไว้ได้” บุรุษพยาบาลผู้นั้นกล่าวแล้วเตรียมเดิมเข้าไป
หลินหลันคว้าแขนของเขาไว้ “เจ้าไปบอกกล่าวขุนนางหมอให้พวกเขารอประเดี๋ยวหนึ่ง”
“เหวินซาน เจ้ารีบกลับไปที่ค่ายแล้วหยิบยาชาแบ่งมาห่อหนึ่ง” หลินหลันกล่าวสั่งการ
เหวินซานขานรับแล้วหันหลังให้ วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
บุรุษพยาบาลผู้นั้นกล่าวด้วยสีหน้าดีอกดีใจ “เจ้ามียาชาหรือ เช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย”
หลินหลันเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “ก็มีบ้างนิดหน่อย ทว่าไม่ได้มากมายนัก” ไม่ใช่นางแล้งน้ำใจ ยาของนางก็นำมาเพื่อใช้รักษาคนเช่นกัน ในสถานการณ์สู้รบ ยาเป็นสิ่งมีค่ายิ่งกว่าทองคำเสียด้วยซ้ำ ยาก็คือชีวิตของบรรดาทหารนักรบ เพียงแต่เมื่อได้ยินว่าคนเขาต้องถูกเลื่อยขาสดๆ โดยปราศจากยาชา เป็นไปได้สูงว่าทหารผู้นี้คงต้องเสียชีวิตด้วยการเจ็บปวดทรมาน นางไม่อาจเพิกเฉยต่อการเห็นคนกำลังจะเสียชีวิตโดยไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ ดังนั้นจึงทำได้เพียงกลั้นใจยอมสละของรักของหวงออกไปให้
บุรุษพยาบาลผู้นั้นจึงเข้าไปบอกกล่าวด้วยความดีอกดีใจ ทันใดนั้นหมอขุนนางวัยหนุ่มรูปร่างผอมสูงผู้หนึ่งก็เดินออกมา บนร่างกายเขาผูกผ้ากันเปื้อนสีขาวผืนใหญ่ บนผ้ากันเปื้อนผืนนั้นยังคงปรากฏคราบเลือดให้เห็นอย่างเด่นชัด เขาเช็ดมือลงกับผ้ากันเปื้อนบนเรือนร่างแล้วเอ่ยถามขณะจ้องมองหลินหลัน “เจ้ามียาชาด้วยหรือ มีจำนวนเท่าใด แบ่งมาให้มากหน่อยได้หรือไม่”
เอ่อ…ให้มากหน่อยแล้วตัวข้าเองจะทำอย่างไรหรือ เดิมทีมาที่นี่ครานี้ก็เพื่อมาขอซื้อยาจากพวกเจ้า ตอนนี้กลับกลายเป็นมาขอยาจากข้าไปได้ หลินหลันเรียนแบบท่าทางคารวะอย่างบุรุษแล้วกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ “ตัวยาของข้าก็มีไม่มากนักเช่นกัน นี่ข้าเดิมทีมาที่นี้ก็เพื่อจะถามหายาจากพวกเจ้าเช่นกัน กองกำลังทหารของพวกเรากำลังจะต้องมุ่งหน้าผ่านหยางซานในเร็วๆ นี้แล้ว”
หมอขุนนางวัยหนุ่มเลิกคิ้วแล้วมองดูหลินหลันอย่างสำรวจ “เช่นนี้ก็หมายความว่า พวกท่านก็คือกองกำลังทหารของทูตพิเศษหลี่ที่ได้รับบัญชาให้มุ่งหน้าไปหลางซานเพื่อเจรจาอย่างสงบสินะ”
หลินหลันกล่าว “ถูกต้องขอรับ”
“เช่นนั้นท่านเป็นขุนนางหมอที่อยู่ในกองกำลังทูตพิเศษนี้หรือ” เขาเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
หลินหลันยกสองมือขึ้นคารวะ “ข้านามว่าหลินหลัน ตัวอักษรหลันที่แปลกว่าสีฟ้าขอรับ”
หมอขุนนางแสยะยิ้มพลางพ่นลมหายใจ “พวกท่านมาจากเมืองหลวง แล้วจะไม่มียามาด้วยได้อย่างไรกัน ไม่อยากสละให้กันมากกว่ากระมัง” เขาหุบยิ้มแล้วชี้ไปที่ลานกว้างซึ่งมีผู้บาดเจ็บนอนเกลื่อนกลาดเป็นจำนวนมากแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “ทหารเหล่านี้ล้วนได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบกับพวกทู่เจวี๋ยเพื่อปกปักษ์รักษาดินแดน พวกเจ้ามาจากเมืองหลวงคงไม่รู้ว่าสถานการณ์สู้รบเบื้องหน้ามันเลวร้ายเพียงใด ผู้คนล้มตายไปมากมายเพียงใด พวกเขาก็มีครอบครัวพ่อแม่ภรรยาและลูกๆ เช่นกัน หรือเจ้าจะทนมองดูพวกเขานอนตายกันที่นี่เพราะขาดแคลนยาเช่นนั้นหรือ” เมื่อเอ่ยมาถึงตอนท้าย ในคำพูดดังกล่าวเผยการตำหนิให้เห็นอย่างชัดเจน
[1]เหรินจง (仁宗) หมายถึงจักรพรรดิซ่งเหรินจงแห่งราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ. 1022–1063) จักรพรรดิเซี่ยเหรินจงแห่งราชวงศ์เซี่ยตะวันตก (ค.ศ. 1139–1193)
[2]จงหยวน (中原) ชื่อเรียกพื้นที่ประเทศจีนในยุคสมัยโบราณ
[3]เซี่ยนเว่ย (县尉) ผู้บัญชากำรทหารประจำเขต
[4]เสี้ยวเว่ย (校尉) ตำแหน่งทางการทหารในประวัติศาสตร์จีน ซึ่งถือว่าดำรงตำแหน่งสำคัญโดยเป็นหัวหน้ากองกำลังทหารนั่นเอง
[5]อวู่เล่ว์เจียงจวิน (武略将军) คือยศของขุนนางทางการทหารขั้นที่ห้า (五品)