วันรุ่งขึ้น ก่อนออกเดินทางหลี่หมิงอวินได้รับข่าวคราวจากทางด้านใต้เท้าตู้ว่าบิดาฟื้นแล้ว นางฮานคงจำเป็นต้องถูกคุมขังไปสักระยะหนึ่ง มิเช่นนั้นจะเป็นการยากต่อเขาในการให้คำชี้แจง
หลี่หมิงอวินเป็นอันเข้าใจได้ หากใต้เท้าตู้ปล่อยนางฮานออกมาทันที ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย จับขังไว้สักระยะหนึ่งก็ดีเหมือนกัน
เรื่องอื่นๆ ภายในบ้าน เขาไม่อยากเอ่ยถามให้มากความจนเกินไป ที่พอทำได้เขาก็ทำทั้งหมดแล้ว หลังจากนี้จะเป็นเช่นไร ก็คงต้องรอหลังเขากลับมาจากหลางซานแล้วค่อยว่ากันอีกที
กองทัพทหารรวมพลอยู่นอกตัวเมืองเป็นที่เรียบร้อย แบ่งออกเป็นเก้าแถว ยืนเรียงกันอย่างหนาแน่น ห้าพันชุดเกราะเหล็กสีน้ำหมึกที่เปรอะเปื้อนเสมือนไม่เคยผ่านการขัดล้าง ทั้งยังแฝงไปด้วยกลิ่นอายแห่งการพิฆาตอันยิ่งใหญ่ ทำให้สายลมที่สดชื่นในยามรุ่งอรุณให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกเป็นพิเศษ
ราวกับพวกเขาไม่ได้ไปเพื่อลงนามสัญญาข้อตกลง แต่เป็นการไปเพื่อสู้รบให้ตายกันไปข้างกับทู่เจวี๋ย
หนิงซิ่งในชุดเกราะสีน้ำหมึกควบม้าตัวสีขาวมุ่งเข้ามา ลำตัวของเขาตั้งตรงดิ่งประหนึ่งมีดดาบอันแหลมคม สีหน้าเคร่งขรึมและสง่างามผ่าเผย เมื่อมาถึงเบื้องหน้าของหลี่หมิงอวิน เขายกสองมือขึ้นคารวะแล้วกล่าวด้วยเสียงดังกึกก้อง “ใต้เท้าหลี่ กองทัพทหารรวมพลกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วขอรับ เชิญใต้เท้าตรวจสอบอีกครั้งได้เลยขอรับ”
หลี่หมิงอวินพยักหน้าเล็กน้อยก่อนกวาดสายตาสอดส่องตั้งแต่ด้านซ้ายจรดด้านขวา แล้วจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุม “ออกเดินทางได้”
หนิงซิ่งควบม้ากลับหลังหัน ยกมือขึ้นโบกเป็นสัญญาณพร้อมส่งเสียงบัญชาการดังกึกก้อง “ออกเดินทางได้!”
ทันใดนั้นเองกองทัพทหารจำนวนห้าพันนายถึงเริ่มเคลื่อนพลอย่างพร้อมเพรียงกัน
หลินหลันแต่งกายในคราบบุรุษควบม้าตามหลังหลี่หมิงอวิน นางมองดูธงสัญลักษณ์ประจำบ้านเมือง ฟังเสียงฝีก้าวที่เหยียบย่ำไปตามพื้นของทหารห้าพันนาย อดรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาไม่ได้ กองกำลังทหารม้าที่นำทัพโดยหนิงซิ่งช่างเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ พลังอานุภาพระดับนี้ ไม่ต่างจากเจ้าแห่งเสือและสุนัขป่า มีพวกเขาเป็นผู้อารักขาช่วยให้รู้สึกปลอดภัยขึ้นอย่างสูง
ตอนแรกหลี่หมิงอวินเกรงว่าหลินหลันจะตามไม่ทัน ในเมื่อหลินหลันเพิ่งเรียนขี่ม้า แต่เมื่อหันกลับไปมองอยู่หลายครั้งกลับเห็นหลินหลันตามหลังมาติดๆ จึงค่อยๆ วางใจลง หลี่หมิงอวินขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้งเมื่อมองไปยังรถม้าอีกสองคันด้านหลัง
ในรถม้าคือหลานชายคนโตของฉินหย่งแห่งตระกูลฉิน จงหย่งโหว์ ฉินเฉิงว่าง ซึ่งดำรงตำแหน่งขุนนางรองเจ้ากรมยุทธ์ฝ่ายซ้าย โดยร่วมเดินทางไปหลางซานกับหลี่หมิงอวินในครั้งนี้ในฐานะรองทูต บรรพบุรุษตระกูลฉินเกิดจากการรับหน้าที่เป็นทหารเช่นกัน ประสบความสำเร็จจนตั้งตัวขึ้นมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของตนเมื่อช่วงตอนต้นที่ทางราชวงศ์นี้ก่อตั้งขึ้น ทว่าต่อมาภายหลังอานเซียงกับไท่ผิงหลงใหลไปกับผลประโยชน์ จึงค่อยๆ ถอนตัวจากกองกำลังทหาร เมื่อถึงมาถึงรุ่นบิดาของฉินจง ได้เปลี่ยนเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นอย่างเต็มตัว จนกระทั่งหนึ่งในตระกูลฉินได้ดำรงตำแหน่งฮองเฮา เพื่อความมั่นคงของอำนาจ ตระกูลฉินจึงเริ่มมีความนึกคิดปลูกฝังลูกหลานเพื่อดำรงตำแหน่งทางทหาร แต่น่าเสียดายที่คนหลายชั่วอายุคน ปรากฏเพียงฉินหย่งผู้มีความสามารถและพรสวรรค์ทางด้านนี้ผู้เดียวเท่านั้น และโชคร้ายอย่างยิ่งที่เขาต้องเสียชีวิตคาสนามรบไปเมื่อหลายปีก่อน ฉินเฉิงว่างเป็นหลานชายของฉินหย่ง คนผู้นี้นำทัพทหารเพื่อไปสู้รบไม่ได้ ทั้งยังไม่เข้าใจกฎระเบียบของทหาร ที่นั่งดำรงตำแหน่งรองเจ้ากรมยุทธ์ฝ่ายซ้ายได้ล้วนอาศัยบารมีของผู้เป็นปู่และการยกยอปอปั้นของไท่โฮ่ว
การเข้ารับหน้าที่รองทูตของฉินเฉิงว่างเพิ่งกำหนดเมื่อสองวันก่อน ได้ยินว่าเป็นความประสงค์ของไท่โฮ่ว ฮ่องเต้เพิ่งลดระดับความสำคัญของตระกูลฉิน ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกจึงตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด จึงจำยอมต้องทำตามประสงค์ของไท่โฮ่วเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศอันตึงเครียดนี้ การร่วมเดินทางไปด้วยของฉินเฉิงว่างในครานี้ด้วยคิดจะถือโอกาสคว้าคุณงามความดีกับเขาด้วย ทว่าจิ้งปั๋วโหว์เคยเตือนเขาไว้ว่าฉินเฉิงว่างผู้นี้หยิ่งยโส ดื้อรั้น และมีความมั่นใจในตนเองไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น สหายผู้ร่วมทัพแห่งกองกำลังทหารต่างก็ไม่ลงรอยกับเขา ดังนั้น หลี่หมิงอวินรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย เพราะการที่ในกองกำลังมีคนประเภทนี้อยู่ด้วยถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีนัก
กองทัพเพิ่งเดินทางไปได้ครึ่งวัน ฉินเฉิงว่างก็เอ่ยเสนอว่าต้องการพักผ่อน
ทว่าการเดินทางของกองกำลังทหารไม่เสมือนกับการเดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อยเปื่อย จำนวนระยะทางในการเดินทางของแต่ละวัน ตลอดจนจะหยุดพัก ณ แห่งหนใด ล้วนเป็นเรื่องที่วางแผนไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ว่าเจ้านึกอยากจะพักก็พักได้ เมื่อเจ้าพัก กองกำลังทหารทั้งหมดก็ต้องหยุดชะงักไปด้วย
หนิงซิ่งไม่พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นมาบ่นเรื่องนี้กับหมิงอวิน
“เหตุใด้ฮ่องเต้ถึงส่งไอ้ขยะผู้นี้มานะ เพิ่งเดินทางกันไปได้แค่ครึ่งวันก็ต้องการพักผ่อนเสียแล้ว นี่มิต้องรอจนถึงปีหน้าถึงเดินทางไปถึงหลางซานกันเลยหรือ…”
หนิงซิ่งรู้จักฉินเฉิงว่างผู้นี้มากเสียยิ่งกว่าหลี่หมิงอวิน ดังนั้น ทันทีที่ได้ยินว่าฉินเฉิงว่างรับตำแหน่งรองทูต เขาก็หงุดหงิดใจยกใหญ่ รองทูตบ้าบออันใด รองทูตแห่งการสร้างความวุ่นวายล่ะสิไม่ว่า
หลี่หมิงอวินขมวดคิ้วขณะกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าไปบอกกล่าวเขาว่าฮ่องเต้มีพระบัญชา กองกำลังทหารจำเป็นต้องไปถึงหลางซานภายในหนึ่งเดือน ด้วยเวลาที่บีบบังคับจึงไม่อาจมัวชักช้าอยู่ได้ หากเขารู้สึกเหนื่อยจนไม่ไหวจริงๆ เราจะขอแบ่งกองกำลังคนไว้ให้เขากลุ่มหนึ่ง เขาจะได้ค่อยๆ ตามมา”
หากไม่ปฏิเสธคำร้องขอแรกที่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ฉินเฉิงว่างคงต้องได้คืบแล้วจะเอาศอกเป็นแน่ การอดทนและร่นถอยให้ไม่ใช่วิธีการที่พึงปฏิบัติ ยึดปฏิบัติตามแผนเดิมจะดีกว่า ต่อให้เอ่ยปากฟ้องต่อเบื้องหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ เขาก็หาได้เกรงกลัวไม่
หนิงซิ่งกล่าวด้วยความยินดีปรีดา “ได้เลยขอรับ ข้าจะส่งคนให้ไปบอกกล่าวเขาเดี๋ยวนี้”
หลี่หมิงอวินแอบถอนหายใจอย่างเงียบๆ นี่เพิ่งวันแรกแท้ๆ ก็ไม่ให้ความร่วมมือกันเพียงนี้เสียแล้ว หลังจากนี้เกรงว่าคงจะมีแต่ความวุ่นวายที่มากยิ่งขึ้นเสียแล้วกระมัง
หลินหลันเข้าใจความนึกคิดของเขา “ไม่จำเป็นต้องกลัดกลุ้มไปกับเรื่องเล็กน้อยประเภทนี้หรอก เจ้าเป็นทูตผู้บัญชาการ ขอเพียงพวกเราทำเรื่องให้เสร็จสมบูรณ์ไปได้ก็เป็นพอ” นางกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวด้วยความห่วงใย “เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง ยังไหวหรือไม่”
หลินหลันเชิดคางขึ้นเล็กน้อยและเลิกคิ้วขึ้นขณะกล่าว “เจ้าอย่าดูถูกข้าให้มากไปหน่อยเลย กระดูกและกล้ามเนื้อข้าแข็งแรงกว่าเจ้ามากรู้ไว้ด้วย”
หลี่หมิงอวินหลุดหัวเราะ “หากทนไม่ไหวก็อย่าได้ฝืนเชียวละ ข้าจะช่วยจัดการเตรียมรถม้าให้เจ้า”
“นั่นสิ! ท่านหมอหลวง ท่านไปนั่งรถม้าก็ไม่มีใครเขาหัวเราะเยาะหรอกนะขอรับ” หนิงซิ่งกล่าวเชิงหยอกล้อ
“ไว้ค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน! เจ้าอดทนได้ข้าก็อดทนได้เช่นกัน” หลินหลันยืดหลังเหยียดตรง ท่าทางเสมือนกับไม่ยอมแพ้โดยง่าย
ทันใดนั้นองครักษ์ของหนิงซิ่งกลับมารายงาน โดยเอ่ยว่ารองทูตฉินต้องการติดตามไปพร้อมกองทัพด้วย
หนิงซิ่งกล่าวเชิงเหยียดหยัน “เห็นทีว่า การต่อกรกับคนประเภทนี้ต้องใช้ไม้แข็งถึงจะได้ผล”
ฉินเฉิงว่างเอ่ยขอพักระหว่างทางเป็นเวลาติดต่อกันสามวันแต่ล้วนถูกหลี่หมิงอวินปฏิเสธทั้งสิ้น เขาเลยไม่เอ่ยถึงประเด็นนี้ขึ้นมาอีก ระหว่างเดินทางจึงเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย
หลินหลันเพิ่งได้สัมผัสถึงความยากลำบากของการเดินทัพอย่างแท้จริง มันยากลำบากกว่าการฝึกฝนทหารครั้งเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อชีวิตก่อนไม่รู้กี่เท่าตัว การเคลื่อนทัพติดต่อกันหลายวัน นางที่ต้องคอยอยู่บนหลังม้าส่งผลให้ร่างกายสั่นสะเทือนจนรู้สึกราวกับกระดูกจะแยกออกจากกัน แม้ว่าบนอานม้าจะมีเบาะรองแสนนุ่ม ทว่าท่อนขาด้านในยังคงถูไถกับผิวหนังของม้าจนถลอก หลี่หมิงอวินก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน เพราะเกรงใจเกินกว่าจะใช้เบาะรองนั่งใบนุ่ม ร่องรอยบาดเจ็บของเขาจึงสาหัสยิ่งกว่านาง
แต่เมื่อเทียบกับทหารจำนวนมากเหล่านั้นที่อาศัยการเดินเท้าเหยียบย่ำอยู่บนพื้น ขณะที่พวกเขาได้ขี่บนหลังม้าซึ่งนี่ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ทั้งสองจึงกัดฟันอดทนต่อไป
หลี่หมิงอวินเป็นห่วงหลินหลันอย่างยิ่ง เขาเอ่ยปากหลายต่อหลายครั้งให้หลินหลันนั่งรถม้าแต่ล้วนถูกนางปฏิเสธอยู่ร่ำไป หลี่หมิงอวินไม่อาจเกลี้ยกล่อมนางได้ จึงทำได้เพียงปล่อยให้นางทำในสิ่งที่ต้องการ
ไม่กี่วันต่อมากองทัพทหารก็เดินทางมาถึงเซิ่งโจว บรรดาทหารจึงได้หยุดพักผ่อนเพื่อเติมเสบียงและยา
หนิงซิ่งอธิบายความจริงบางอย่างให้หลี่หมิงอวินรับทราบ โดยเอ่ยว่ากองกำลังทหารจำนวนห้าพันนายนี้ ทหารสามพันคนในนั้นอยู่ภายใต้บัญชาของเขาโดยตรง แม้ช่วงเวลาที่นำทัพทหารไม่ยาวนานมากนัก ทว่าหลังได้ผ่านการสู้รบ อาบเลือดมาด้วยกันกับบรรดาทหารเหล่านี้ ล้วนถือว่าเป็นทหารที่กล้าหาญและมีความเชี่ยวชาญในการสู้รบทั้งสิ้น ซึ่งควรค่าแก่การให้ความไว้วางใจ หนิงซิ่งเลือกทหารผู้โดดเด่นจากในนั้นจำนวนห้าร้อยคนติดอาวุธชั้นยอดให้เพียบพร้อม โดยส่งมอบพวกเขาให้หลินเฟิงเป็นผู้ควบคุม เพื่อทำหน้าที่เป็นองครักษ์ส่วนตัวของหลี่หมิงอวิน มุ่งรักษาความปลอดภัยของหลี่หมิงอวินโดยตรง ส่วนอีกสองพันคนดึงตัวมาจากค่ายเป่ยซาน หม่าโหยวเหลียงผู้นำทัพก็เป็นแม่ทัพที่กล้าหาญเช่นกัน ผ่านศึกสู้รบมาไม่น้อย แต่ครั้งนี้ต้องมาเป็นผู้ใต้บัญชาของหนิงซิ่งจึงดูเหมือนมีความไม่พึงพอใจอยู่เล็กน้อย อีกทั้งตลอดการเดินทางมานี้ ดูเหมือนหม่าโหยวเหลียงจะค่อนข้างสนิทสนมกับฉินเฉิงว่างไม่น้อยทีเดียว
หลี่หมิงอวินพอจะเข้าใจความหมายที่หนิงซิ่งต้องการสื่อได้ ซึ่งหมายความว่ากองกำลังทหารที่พึ่งพาได้จริงคือจำนวนสามพันคนที่อยู่ใต้บัญชาของหนิงซิ่งนั่นเอง แนวโน้มสถานการณ์ทางเขตชายแดนสับเปลี่ยนไปได้ทุกเมื่อ อย่างช่วงก่อนที่กองทัพจะออกเดินทางมายังคงได้รับรายงานการสู้รบ ณ เขตชายแดน ผู้ควบคุมเขตชายแดนฆ่าฟันกับทู่เจวี๋ยมาหลายต่อหลายครั้ง รายงานการสู้รบที่ได้รับในระยะนี้คือทางฝ่ายเราถูกโจมตีพ่ายไปแล้วเมืองหนึ่ง ทู่เจวี๋ยจึงเกิดความฮึกเหิมขึ้นมา ซึ่งนี่นำความยากลำบากต่อการคาดการณ์ช่วงนี้มาให้แก่ผู้เจรจาและเป็นความอันตรายที่เพิ่มมากขึ้นอย่างยิ่ง ไม่แน่ว่าเมื่อไปถึงที่นั้นแล้วไม่เพียงแต่เจรจาไม่สำเร็จ แต่ยังอาจตกไปสู่สถานการณ์ของการรบราอีกด้วย ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ อันดับแรกที่พึงกระทำคือต้องทำความเข้าใจต่อกองกำลังทหารของตนเองให้เต็มที่เสียก่อน