ฉินมู่เทยาวิญญาณให้เขาครึ่งถัง อันเต็มอ่างพอดี เขากล่าวกับเอี๋ยนจิงจิง “เจ้าหมอนี่ขี้ขลาด แต่ถ้าพูดเรื่องอาหาร เขาจะใจกล้าบ้าบิ่นขึ้นมาทันที”
เอี๋ยนจิงจิงพลันกระจ่างใจ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กำลังฝีมือของมังกรอ้วนก็ไม่ใช่น้อยๆ ด้วยล่ะ เมื่อครู่นี้ข้าออกแรงตั้งมากแต่ก็ดึงเขาออกมาจากดินไม่ได้ แล้วเจ้ากำลังดูอะไรอยู่ มันดูน่ากลัวเลยจริงๆ!”
ฉินมู่ส่งบันทึกเป็นตายให้กับนางและกล่าว “ข้ากำลังดูทักษะเทวะที่ราชันย์ขุนนางทิ้งเอาไว้ และข้าก็จมในภวังค์อย่างสิ้นเชิง”
เอี๋ยนจิงจิงนั่งลงและศึกษาอักษรรูนบนบันทึกอย่างละเอียด นางตระหนักว่ามันสลับซับซ้อนเกินไป และนางเข้าใจอะไรไม่ได้เลยสักนิด
ฉินมู่นั่งลงข้างๆ นางและชี้แนะนาง “นี่คือตัวเขียนแดนใต้พิภพ ตัวเขียนแดนใต้พิภพนั้นแตกต่างจากตัวเขียนในโลกแห่งคนเป็น สำหรับผู้คนในโลกแห่งคนเป็น ตัวเขียนแดนใต้พิภพไม่ต่างอะไรกับการขีดเขียนมั่วๆ แต่ทว่า ตัวเขียนแดนใต้พิภพนั้นโบราณเป็นอย่างยิ่ง พวกมันบรรจุไว้ด้วยทักษะเทวะ มรรคา และวิชาที่ไม่อาจจะคาดหยั่ง พวกมันคือภาชนะบรรจุเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งแดนใต้พิภพ”
คำอธิบายของเขาทำให้เอี๋ยนจิงจิงสับสน แต่ด้วยมีเขานั่งอยู่ข้างๆ นางก็มีความสุขเป็นอย่างยิ่ง ส่วนว่าตัวหนังสือบนบันทึกนี้จะเป็นอะไร นางก็ไม่ใส่ใจจะฟัง
ฉินมู่อธิบายต่อ “ถ้อยคำเป็นข้อมูล และพวกมันก็บรรจุเต๋าเอาไว้ โดยการเข้าใจทุกถ้อยคำของอารยธรรมใด ๆ ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจมรรคา วิชา และทักษะเทวะของยุคสมัยนั้นๆ ราชันย์ขุนนางไม่ต้องการให้ข้าเรียนรู้ทักษะเทวะนี้ด้วยกลัวว่าข้าจะเผยแพร่มันไปทั่ว แต่ทว่า หากเขาคิดว่าจะซ่อนมันจากข้าได้ด้วยวิธีนี้ เขาก็ประเมินข้าต่ำเกินไปแล้ว”
เอี๋ยนจิงจิงวางบันทึกเป็นตายไว้บนขาของนาง และมือทั้งสองข้างก็ลูบไล้ปอยผมที่ร่วงลงมาจากหน้าผาก นางถามอย่างฉงนฉงาย “ทักษะเทวะนี่ซับซ้อนขนาดนี้ แล้วพวกเราจะเรียนรู้เหตุผลกลในของมันได้อย่างไร”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเข้าใจภาษาใต้พิภพ ดังนั้นความลับของอักษรรูนเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับข้า ที่ยากก็คือการเปลี่ยนแปลงของเส้นภายในและโครงสร้างที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ มันเกี่ยวข้องกับบางอย่างที่ข้าไม่เข้าใจ ข้าไม่มีการศึกษาค้นคว้าด้านทักษะเทวะใต้พิภพมากนัก แต่โชคดีว่า ข้ารู้จักผู้คนที่โดดเด่นเหนือธรรมดาหลายคน และสามารถเชื้อเชิญพวกเขาให้มาร่วมศึกษาค้นคว้าด้วยกันได้ พวกเราจะต้องไขความลับของทักษะเทวะนี้สำเร็จแน่!”
ผู้เฒ่าตกปลาลุกขึ้นและเก็บม้านั่งเล็กของเขา ก่อนที่จะเดินเข้ามา “ให้ข้าดูหน่อย”
เอี๋ยนจิงจิงรีบลุกขึ้น และยื่นบันทึกเป็นตายให้แก่เขา ผู้เฒ่าตกปลามองดูมันจนตลอด และหัวของเขาก็มึนงงไปหมด เขาส่ายหัวไปมาและกล่าว “ข้าไม่เข้าใจ บางทีคนตัดไม้อาจจะเข้าใจ เขารู้เยอะกว่า”
ฉินมู่มองไปที่บ่อจันทรา และเห็นดวงจันทร์มากมาย อันถูกผูกไว้ข้างๆ บ่อจันทรา แสงที่ส่องออกมานั้นกระจ่างตา ผู้เฒ่าตกปลาถึงกับตกดวงจันทร์ขึ้นมาตั้งมากมายขนาดนี้ในระยะเวลาอันสั้น กำลังฝีมือของเขาเหนือธรรมดาจริงๆ
ผู้เฒ่าตกปลาม้วนสายเบ็ดกลับขึ้นมา และปลาแดงน้อยทั้งสองก็กระโดดกลับเข้าไปในตะกร้า
ผู้เฒ่าตกปลาโบกมือของเขา และเขาก็กล่าว “บัดนี้เมื่อดวงตะวันและดวงจันทร์ถูกตกขึ้นมาแล้ว ข้าก็คงจะได้เวลาไป พวกเจ้าจะตามข้าเพื่อขี่คุนแดงกลับ หรือว่าจะเดินทางผ่านไปทางบ่อจันทรา?”
ฉินมู่และเอี๋ยนจิงจิงปรึกษากันและกล่าว “ครูบาสวรรค์เอาแต่จ้องมองหว่างคิ้วของข้า ข้าเกรงว่าเขาจะข่มความสงสัยไว้ไม่อยู่และไปตกเบ็ดพี่ชายของข้าออกมา ดังนั้น พวกเราเข้าไปในทะเลดาวผ่านบ่อจันทราดีกว่า เส้นทางนั้นสั้นกว่า”
ผู้เฒ่าตกปลาโบกมือลา และจากไปพร้อมกับตะกร้าปลาของเขา
“พวกเจ้าทั้งสองก็รักกันหวานชื่นกันให้มากๆ นะ!” ปลาแดงทั้งสองโผล่หัวออกมาและโบกครีบให้แก่สองหนุ่มสาว
ฉินมู่และเอี๋ยนจิงจิงสีหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย และบรรยากาศก็กลายเป็นขัดๆ เขินๆ กิเลนมังกรกำลังเลียอ่างของเขาอยู่ และเสียงแกรกๆ ดังมาจากในนั้น ทำลายความเงียบไปชั่วขณะ
กิเลนมังกรเลียอ่างของเขาจนสะอาดด้วยลิ้นหนาสาก และเก็บซ่อนอ่างข้าวของตนเองไว้ที่ไหนสักแห่ง
เขามักจะเก็บรักษาชามข้าวของเขาไว้อย่างสำคัญเหนืออื่นใด
“กระโดดลงไปจากบ่อจันทรา มันน่าจะเป็นอาณาบริเวณของทะเลดาว ทะเลดาวนี้ประหลาดพิกลนัก และพวกเราก็สามารถไปถึงบ่อตะวันได้อย่างรวดเร็ว”
เอี๋ยนจิงจิงกล่าว “แบบนั้น เราก็จะประหยัดเวลาเดินทางไปได้ครึ่งเดือน”
ฉินมู่สนอกสนใจเป็นอย่างยิ่งและถาม “เจ้ารู้ความเป็นมาของทะเลดาวหรือไม่”
เอี๋ยนจิงจิงกล่าว “ท่านปู่หัวหน้าเผ่าไม่เข้าใจเรื่องนี้มากนัก และเคยได้ยินมาแต่ว่าทะเลดาวเป็นสมบัติวิเศษที่ยังไม่ทันก่อตัวขึ้นมา ยอดยุทธฝีมือแกร่งผู้หนึ่งได้เริ่มสร้างมันเอาไว้ในยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง แต่ก่อนที่จะเขาสร้างเสร็จ เขาก็ย้ายไปที่หมู่บ้านไร้กังวล”
พวกเขายืนอยู่บนหลังกิเลนมังกร และกิเลนมังกรก็กระโจนเข้าไปในบ่อจันทรา แสงสว่างที่ส่องมาเข้มข้นขึ้นทุกที ไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงเวิ้งโลกใต้ดิน
ฉินมู่กล่าว “สมบัติวิเศษที่ยังไม่ทันก่อตัวขึ้นมา? ข้าเห็นเทพศาสตรามากมายลอยผ่านดวงดาวพวกนี้อยู่ชัดๆ แล้วทำไมมันถึงจะกลายเป็นสมบัติวิเศษไปได้”
ครั้งหนึ่งเขาได้เห็นไจกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวที่ก้นทะเลดาว อันระเบิดออกไปด้วยกระบี่บินหลากสีสัน มันสามารถปลดปล่อยและรั้งกลับมาได้อย่างอิสระ และน่าสะพรึงกลัวอย่างเหลือแสน
ทันใดนั้น สายตาของพวกเขาก็พลันชะงักช้า พวกเขาเห็นผากั้นลึกลากยาวมาตั้งแต่เหนือไปใต้ ตัดผ่านใต้ดินของทะเลดาว และขัดขวางเส้นทางระหว่างบ่อตะวันและบ่อจันทรา!
ดวงดาวนับไม่ถ้วนในทะเลดาวได้ก่อตัวขึ้นมาเป็นดาราจักรมากมาย ที่พุ่งเข้าชนกันอย่างต่อเนื่อง เข้าไปเสียดสีกับผากั้นสวรรค์ใต้ดินอย่างไม่หยุดยั้ง ดาราจักรถึงกับแทงทะลุผากั้นใต้ดินเป็นรูใหญ่!
ดาราจักรมากมายยังคงหมุนวนไปรอบๆ บ่อทั้งสอง แต่ดวงดาวในดาราจักรก็มิใช่ดวงดาวอีกต่อไป ในทางตรงข้าม พวกมันเป็นสมบัติวิเศษที่เปล่งเทวานุภาพออกมา เสียงของสิ่งแตกหักต่างๆ ดังแหวกอากาศมาขณะที่พวกเขาเหาะไปผ่านอย่างเร็วรี่
กำแพงกั้นนี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของสวรรค์ไท่หวงที่ฟาดลงไปในใต้ดินของแดนโบราณวินาศ และมันถูก ‘ดวงดาว’ พวกนี้แทงทะลุไป ดวงดาวก็ไม่ใช่ดวงดาว แต่เป็นสมบัติวิเศษที่ก่อรูปขึ้นมา
สมบัติเหล่านี้ลอยลิ่วด้วยความเร็วน่าตระหนก และบางชิ้นก็พวยพุ่งเทวานุภาพออกไปเป็นระยะๆ มันน่าสะพรึงกลัวอย่างเหลือล้น ไจกระบี่ขนาดมหึมาที่ฉินมู่เห็นในคราวก่อนก็อยู่ท่ามกลางของพวกนั้นด้วย
ความเร็วที่ไจกระบี่เหินทะยานไปนั้นน่าสยดสยองอย่างแท้จริง และมันระเบิดกระบี่บินหลากสีสันออกมามากมาย ราวกับดวงดาวที่ส่องประกายเจิดจ้าและเคลื่อนได้ด้วยความเร็วอันยิ่งยวด!
สมบัติอื่นๆ ก็จะปล่อยพลานุภาพออกมาเป็นระยะๆ ด้วยพลานุภาพของสมบัติทั้งหมดที่เข้ามาพุ่งชนกันและกัน ก็ราวกับว่าพวกมันหยิบยืมพลังกันและกันมาขัดเกลาตนเอง
“สวรรค์…”
ฉินมู่มองด้วยสายตาตะลึงลาน มองไปที่ภาพอันตระการตาไร้ปานเปรียบ เขาพึมพำ “นี่เป็นการขัดเกลาสมบัติวิเศษจริงๆ แต่พวกเราไม่รู้ว่ามันคือสมบัติประเภทไหน มันอาจจะน่าสะพรึงกลัวว่าตึกแสงฉานสยบสวรรค์หลายต่อหลายเท่าหลังจากที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว…”
เอี๋ยนจิงจิงกล่าว “พวกเราไม่สามารถไปจากช่องทางนี้ได้ล่ะ หากว่าพวกเราเดินทางไปจากช่องทางนี้ ก็อาจจะตายโดยไม่รู้ตัว”
ฉินมู่ผงกหัว ภาพที่เห็นนั้นน่าขนพองสยองเกล้าจนเกินไป และมันถึงกับเจาะทะลุสวรรค์ไท่หวงได้ หากว่าพวกเขาพยายามที่จะบุกฝ่า ก็อาจจะกลายเป็นเถ้าถ่านด้วยสมบัติวิเศษ!
ใครเป็นคนสร้างสมบัติพวกนี้ พวกมันดูเหมือนว่าใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว…
เขาฉงนฉงาย และเขาก็สั่งให้กิเลนมังกรออกไปจากบ่อจันทรา เขาคิดในใจ เมื่อมาคิดๆ ดูแล้ว ข้างใต้แดนโบราณวินาศมีสมบัติวิเศษพิสดารเยอะแยะเหลือเกิน มีมีดเทวะมหึมาอย่างน่าเหลือเชื่ออยู่ใต้เทือกเขาเทพทำลาย อันยาวจากเหนือไปใต้ไม่ต่ำกว่าสิบหมื่นลี้ และบัดนี้ก็ยังมีดาราจักรอันน่าสะพรึงกลัว และเทพศาสตราอยู่ทุกหนทุกแห่งในดาราจักร…
ทะเลดาวนี้น่าจะถูกทิ้งเอาไว้โดยยอดฝีมือแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง ไม่อย่างนั้นเทพจื่อชิงคงไม่สร้างบ่อตะวันและบ่อจันทราเอาไว้ที่นี่ แต่ทว่า ทะเลดาวนั้นใกล้จะขัดเกลาสำเร็จแล้ว ทำไมถึงยังไม่มีใครมาเอามันไป
“หากว่าพวกเราเดินอ้อมรอบสวรรค์ไท่หวงและสวรรค์หลัวฝู พวกเราก็คงจะใช้เวลาเกือบเดือนถึงจะไปถึงบ่อตะวันได้”
กิเลนมังกรเหาะออกมาจากบ่อจันทรา และเมื่อพวกเขามาถึงข้างนอก พวกเขาก็เหาะตรงไปยังหน้าผาขาด
มันยังคงเป็นเวลากลางวัน และไม่มีแสงส่องจากหน้าผาขาด มีก็แต่ตอนกลางคืนเท่านั้นถึงจะมีแสงส่องออกมา
เดิมทีมีสองเส้นทางที่ผู้คนเดินผ่านได้จากหน้าผาขาด และมันก็คือสะพานเหินหาวที่โยงลงมาตั้งยอดผาถึงตีนผา ทำให้เดินทางได้ง่าย แต่ทว่า เมื่อคุนแดงยักษ์แบกฉินมู่ไป เขาก็เห็นว่าสวรรค์ไท่หวงได้ทำลายสะพานทั้งสองไป แต่ตอนนี้ก็มีใครบางคนซ่อมสะพานแล้ว!
ฉินมู่ตกตะลึง และเขาก็ให้กิเลนมังกรวิ่งช้าลง มันมีรูขนาดใหญ่อยู่ที่ด้านหลังของสวรรค์ไท่หวง นอกรูนั้น เด็กสาวมากมายกำลังเดินไปเดินมา ซ่อมแซมรากฐานของสะพาน
ในเวลาเดียวกันนั้น ที่ทางเข้ารู หินสี่เหลี่ยมก้อนใหญ่มากมายก็งอกขาและเดินออกมาอย่างเป็นระเบียบ
เอี๋ยนจิงจิงไม่เคยเห็นภาพอันแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน และนางก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงลาน ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่คือทักษะเทวะของแผ่นดินตะวันตก ข้ารู้ล่ะว่าใครที่กำลังพยายามเปิดเส้นทางอุโมงค์ผ่านสวรรค์ไท่หวง”
เขาให้กิเลนมังกรเหาะลงไปจอด และเมื่อผู้ฝึกวิชาเทวะหญิงเหล่านั้นเห็นเขามา พวกนางก็ทั้งประหลาดใจและยินดี พวกนางตะโกนเข้าไปในอุโมงค์ บอกต่อๆ กันว่า “ผู้คุมงาน เขยของพวกเรามาแล้ว!”
ใบหน้าของฉินมู่แดงขึ้นมาเล็กน้อย และเขาอธิบายให้แก่เอี๋ยนจิงจิง “ผู้ที่อยู่ข้างในจะต้องเป็นหนึ่งในสามอาจารย์แห่งแผ่นดินตะวันตก อาจารย์พยุหะเหออีอีเป็นแน่ นางเป็นสตรีแข็งแกร่งอย่างสุดขั้วอันไร้เทียมทานในด้านวิชาพยุหะ…ใช่ล่ะ นางเป็นอันดับสามของโลกหล้าด้านวิชาพยุหะ พวกนางพูดจาเหลวไหล ข้าไม่ใช่เขยของตระกูลเหอ พวกเขามีธรรมเนียมวิวาห์เยือน แต่ข้าไม่ได้ไปเข้าร่วม ข้าเพียงแต่ไปแผ่นดินตะวันตกเพื่อช่วยไหน่ขุยแย่งชิงตำแหน่งของนางกลับมาเท่านั้น…”
ขณะที่เขาพูดอยู่นั้น หอบลมอันหอมหวนก็พัดตลบเข้าจมูกของเขา เมื่อหญิงสาวผู้หนึ่งโผเข้ามาในอ้อมอกพร้อมกับรอยยิ้ม “ที่รัก เจ้ามาที่นี่แล้ว!”
ฉินมู่จนปัญญา เหงื่อเย็นเยียบผุดมาที่หน้าผาก
เหออีอีปล่อยเขาไป และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดูเจ้าสิ อกสั่นขวัญแขวนไปหมดแบบนี้ แม่นางน้อย เขาไม่ใช่ที่รักของข้าหรอก อย่าตกใจไป”
เอี๋ยนจิงจิงมีสีหน้าเคร่งขรึม แต่นางไม่ปริปากพูด นางเอาแต่จ้องอีกฝ่าย
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าทำให้ข้าตกใจแทบตาย พี่สาวอีอี ตระกูลเหอของเจ้าได้รับคำสั่งให้สร้างอุโมงค์ทะลุสวรรค์ไท่หวงในครั้งนี้หรือ”
“จักรพรรดิถ่ายทอดโองการมาให้ตระกูลเหอแห่งแผ่นดินตะวันตกของพวกเราซ่อมแซมถนนเสียก่อนที่จะเปิดอุโมงค์เชื่อมต่อแผนดินตะวันออกและแผ่นดินตะวันตก”
เหออีอีจัดแต่งปอยผมที่ร่วงลงมาจากหน้าผาก และพยายามที่จะเช็ดเหงื่อของนางให้หมด “จักรพรรดิได้มอบลูกแก้วเต่าดำให้กับพวกเรา และระดมกำลังยอดฝีมือทั้งหมดของตระกูลเหอ พวกเราหยิบยืมพลานุภาพของลูกแก้วเต่าดำ เพื่อเฉือนตัดหินภูเขาและปล่อยให้พวกมันเดินออกมาด้วยตนเอง หินภูเขาพวกนี้ก็จะถูกใช้ซ่อมแซมสะพาน ดูที่ฐานสะพานตรงนั้นสิ หากว่าพวกเราไม่มีลูกแก้วเต่าดำ พวกเราก็คงไม่มีพลังวัตรและสัมผัสที่ยิ่งใหญ่มหาศาลขนาดนั้นหรอก”
ฉินมู่หันไปมองและอุทานด้วยความทึ่ง ข้างใต้ฐานสะพานของสะพานเหินหาวทั้งสองจริงๆ แล้วคือยักษ์ภูเขาตัวใหญ่ที่กำลังแบกสะพานไว้บนบ่า
ยักษ์ภูเขาพวกนี้ยืนเรียงกันตั้งแต่สูงสุดไปจนถึงเตี้ยสุด และพวกมันก็ใช้บ่าแบกรับสะพานเหินหาวเอาไว้ ทำให้ผิวของสะพานถูกปูจนราบเรียบ ยักษ์ภูเขาที่สูงที่สุดนั้นก็ดูท่าว่าจะสูงกว่าสิบหมื่นคืบ!
ฉินมู่อุทานด้วยความชื่นชมและกล่าว “เมื่อเทียบกับสมบัติตระกูลของตระกูลใหญ่ในแผ่นดินตะวันตก ยักษ์พวกนี้ก็ไม่ด้อยกว่ามากมายเลย”
ทันใดนั้น หญิงสาวผู้หนึ่งก็ตะโกนมา “อาจารย์พยุหะ ท้องฟ้ากำลังจะมืดแล้ว รีบไปซ่อนที่หมู่บ้านใกล้ๆ ก่อนเถอะ!”
เอี๋ยนจิงจิงกล่าวทันที “ไม่จำเป็นหรอก ข้าอยู่ที่นี่ ดังนั้นพวกเจ้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการรุกรานของความมืด”
เหออีอีตะลึงไปเล็กน้อย นางมองไปที่อีกฝ่าย และไม่นานนัก ตะวันก็ตกดิน ฉินมู่รีบมองไปที่หน้าผา และเขาเห็นความมืดรั่วไหลออกมาจากรอยแยกบนหน้าผา ความมืดเทลงมาราวกับน้ำท่วม และไม่นานนักก็เข้ามากลบกลืนพวกเขา
เมื่อความมืดเช่นนี้เข้ามาถึงสวรรค์ไท่หวง ก็ราวกับว่าสวรรค์ไท่หวงไม่มีอยู่ และมันไหลผ่านสวรรค์ไท่หวงไปเฉยๆ กวาดซัดไปทั่วแดนโบราณวินาศอย่างรวดเร็ว
ทุกๆ คนมารวมตัวกันข้างเอี๋ยนจิงจิง และเด็กสาวก็ดุจกับดวงอาทิตย์เล็กๆ ที่สาดแสงเทวะอันเข้มข้นมาขัดขวางป้องกันความมืด ไม่ว่าความมืดจะโถมซัดมาเท่าไร นางก็ไม่ไหวติง
เอี๋ยนจิงจิงแสดงแสนยานุภาพข่มเหออีอี และเหออีอีก็ยิ้มเล็กน้อย แต่หัวใจของนางบีบรัดไปมา เด็กสาวผู้นี้เป็นเทพเจ้า ทั้งยังหวงป้องกันเขาเอาไว้ขนาดนี้ ข้าคงไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้อีกต่อไป
ฉินมู่จ้องไปที่กำแพง และความมืดก็โถมเทออกมาจากกำแพงอย่างเต็มที่ ทันใดนั้น รังสีแสงเจิดจ้าก็ฉายส่องมา และทาบทอลงไปที่ด้านหลังของแผ่นปฐพีสวรรค์ไท่หวง
รังสีแสงเจิดจ้านั้นส่องมาจากรอยแยกบนหน้าผา!
“อย่างที่ข้าคาดคิดเอาไว้ ความมืดนี้มาจากโลกอื่นที่ซ่อนอยู่! เมื่อความมืดมาเยือนแดนโบราณวินาศ โลกพวกนั้นก็จะเป็นเวลากลางวัน และเมื่อรุ่งสางมาเยือนแดนโบราณวินาศ โลกเหล่านั้นก็จะเป็นเวลากลางคืน นี่มันเหมือนกับนาฬิกาทราย”
ฉินมู่หรี่ตา แสงมากมายส่องออกมาจากรอยแยกนับไม่ถ้วนของหน้าผา และนั่นหมายความว่ามีโลกมากมายที่ซ่อนอยู่ในหน้าผาขาด!
โหลเชียนจ้งซึ่งตายในมือของข้า ได้กล่าวว่าความมืดแห่งแดนโบรารวินาศถูกอาจารย์ของเขา จักรพรรดิดำแดนบาดาล จัดวางเอาไว้ แม้ว่าความมืดจะเปลี่ยนตำแหน่งที่มันอยู่ตรงหน้าผาขาด แต่ว่าความมืดพวกนี้คืออะไรกันแน่
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จนถึงบัดนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าความมืดแห่งแดนโบราณวินาศคืออะไร มันต้องไม่ใช่ความมืดในความหมายที่ปราศจากแสงอย่างแน่นอน และมันน่าจะเป็นสสารประหลาดบางอย่าง
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อความมืดรุกรานมาในราตรี ก็จะมีสัตว์ประหลาดพิลึกกึกกือมากมายท่องไปในแดนดิน และกัดกินทุกชีวิตที่กล้าเดินเข้าไปในนั้น
เมื่อกลางวันมาถึง สัตว์ประหลาดพวกนั้นก็จะหายไปพร้อมๆ กับความมืด
แล้วสัตว์ประหลาดพวกนี้มาจากที่ไหนกัน
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อความมืดโถมทับลงมา ก็จะมีมารเทวะอันน่าสะพรึงกลัวตระเวนไปในความมืด เมื่อฉินมู่ช่วยชีวิตอวี่จ้าวชิงและเผ่าขนนกสวรรค์ทั้งหมดที่บ่อตะวัน เขาก็ได้เห็นสัตว์ประหลาดคลานไต่ออกมาจากห้วงมิติอื่น และนั่นหมายความว่าแดนโบราณวินาศมีทางเข้าหลายทาง!
สถานที่อันมีช่องทางเข้ามากที่สุดคือที่นี่ ที่หน้าผาขาด อันเป็นจุดต้นน้ำลำธารของแม่น้ำหย่ง
ท่ามกลางทางเข้าพวกนี้ จะต้องมีหนึ่งในนั้นที่เป็นแหล่งกำเนิดอันแท้จริงของความมืด! แหล่งกำเนิดความมืดจะต้องไม่ใช่โลกอันส่องแสงสว่างออกมาจากหน้าผา ความมืดไปซ่อนอยู่ในโลกนั้น ดังนั้นโลกดังกล่าวจะต้องไม่มีแสง วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือตามหาแหล่งกำเนิดของมัน…
ฉินมู่นำกระดาษกับพู่กันออกมาอย่างรวดเร็ว และเขาเริ่มวาดโครงร่างของหน้าผาจากความทรงจำของเขา เขาจดบันทึกทุกๆ ตำแหน่งที่ส่องแสงสว่าง และครุ่นคิดกับตนเอง หลังจากรุ่งสาง ข้าก็เพียงแต่ต้องเปรียบเทียบสถานที่ที่มีแสงส่อง กับรอยแยกที่ปรากฏบนหน้าผา รอยแยกอันไม่ส่องแสงออกมาเวลากลางคืน ก็จะเป็นแหล่งกำเนิดของความมืด!