เมื่อถึงรุ่งเช้าของวันถัดมา ความมืดก็ถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นตะวันออกหรือตะวันตก ความมืดทั้งหมดหลากซัดกลับเข้าไปในหน้าผา ทุกอย่างหายวับเข้าไปในหน้าผาอันเป็นต้นธารของแม่น้ำหย่ง
ฉินมู่รีบเหาะไปข้างหน้า และลอยอยู่ห่างจากหน้าผาราวๆ สามร้อยวา เขาไล่สายตามองหาจากเหนือไปใต้
พึ่บ!
วงจรพยุหะในดวงตาของเขากระตุ้นการทำงานของมันอย่างฉับพลัน ลำแสงสองลำส่องไปบนภูเขา ไม่มีรอยแยกใดบนหน้าผาที่หลบรอดสายตาของเขาไปได้
ฉินมู่ใช้จุดแสงที่เขากาเอาไว้มาเทียบกับหน้าผาในตอนนี้ เขาตรวจดูตลอดเส้นทางไปถึงทิศเหนือ ก่อนที่จะค้นหาตลอดเส้นทางกลับมายังทิศใต้ และเมื่อผ่านไปพักหนึ่ง เขาสำรวจหน้าผาซ้ำอีกครั้ง
หน้าผาสูงลิ่ว และมันก็ขรุขระไม่เสมอกัน ภูมิประเทศอันซับซ้อนทำให้การค้นหาเป็นงานอันเหนื่อยยาก แต่มันก็เป็นวิธีการที่เรียบง่ายและได้ผลมากที่สุด
เหออีอีและคนอื่นๆ ขุดทะลวงสวรรค์ไท่หวงต่อ และเพราะว่าเอี๋ยนจิงจิงมีกำลังฝีมืออันล้ำเลิศ เหออีอีจึงเชิญนางให้ไปช่วยเหลือ นางสามารถหลอมละลายหินในอุโมงค์และเปลี่ยนพวกมันให้เป็นลาวา จากนั้นเหออีอีก็จะเปลี่ยนหินหลอมเหลวให้เป็นยักษ์ลาวา ซึ่งนั้นเพิ่มความเร็วให้กับงานนี้เป็นอย่างมาก
เอี๋ยนจิงจิงขับเรือตะวันมาตลอด และไม่เคยทำเรื่องอย่างการขุดอุโมงค์มาก่อน ดังนั้นงานแบบนี้จึงสดใหม่สำหรับนาง
เดิมทีเหออีอีต้องใช้วิชาพยุหะเพื่อตัดเส้นทาง และแม้ว่าจะทำได้อย่างรวดเร็ว แต่ว่าก็จะสูญเสียพลังวัตรไปมาก นางไม่อาจฝืนทำได้นานๆ และต้องหยุดพักเป็นระยะ ด้วยการช่วยเหลือของเอี๋ยนจิงจิง นางก็เพียงแค่ต้องเปลี่ยนหินหลอมเหลวให้กลายเป็นยักษ์ลาวา และให้พวกมันเดินออกจากถ้ำ ดังนั้นความเร็วจึงยิ่งเร็วกว่าก่อน
ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ เอี๋ยนจิงจิงเป็นเทพเจ้า เพลิงไฟของนางสามารถหลอมละลายหินภูเขา ทั้งยังเสริมความแข็งแกร่งให้กับอุโมงค์
ด้วยความเร็วนี้ พวกเราก็จะสามารถเจาะอุโมงค์ทะลุสวรรค์ไท่หวงได้ได้ในเวลาไม่กี่วัน
เหออีอีทั้งประหลาดใจและยินดี นางคิดในใจ หากแต่ว่า หากข้าลากหนุ่มคนรักของนางไปวิวาห์เยือน นางจะต้องเดือดดาลอาละวาดแน่นอน และข้าก็เอาชนะนางไม่ได้ น่าเสียดาย ตอนที่หนุ่มคนรักของนางขี่ม้าขาวและบอกให้ข้าพิงหลังเขาไว้ตอนที่พวกเรากระโดดออกมาจากภาพวาด ข้าอยากจะแต่งงานกับเขายิ่งนัก ไม่มีชายใดในแผ่นดินตะวันตกที่โดดเด่นเท่ากับเขา…
เจอล่ะ! ฉินมู่ตาเป็นประกาย ในที่สุดเขาก็เจอรอยแยกที่ไม่มีแสงส่องออกมาเมื่อคืนก่อน
เขาเสาะหาอยู่หลายครั้ง และในที่สุดก็เจอรอยแยก รอยแยกนี้ไม่มีแสงส่องออกมา และมันอยู่ระหว่างรอยแยกอื่นอีกสองรอย หินภูเขาก้อนใหญ่บังมันไว้พอดิบพอดี
น้องสาวจิงไม่อยู่แถวนี้ และกิเลนมังกรก็กำลังหลับอยู่ ข้าควรไปเรียกพวกเขามาสำรวจด้วยกันไหมนะ
ฉินมู่ลังเล แต่เขาก็ยังตัดสินใจที่จะไม่พาสองคนนั้นมาด้วย แม้ว่าเอี๋ยนจิงจิงจะสามารถป้องกันตนจากความมืดได้ แต่นางก็ต้องใช้แสงเทวะจากร่างกายเพื่อขับไล่มันออกไป กิเลนมังกรต่อกรกับความมืดไม่ได้ และยังต้องอาศัยการปกป้องคุ้มครองของเอี๋ยนจิงจิง
มีก็แต่ฉินมู่ที่สามารถกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับความมืด
ดังนั้น เขาจะนำทั้งสองไปด้วยหรือไม่ก็ไม่สำคัญ
“มังกรอ้วน หลังจากที่น้องสาวจิงออกมา ก็บอกนางว่าให้รอข้าที่นี่ก็พอ”
ฉินมู่ตะโกนบอกไปและเหาะเข้าไปยังหินตรงหน้ารอยแยก หินนั้นเหมือนกับประตูศิลา แต่มากกว่าครึ่งของประตูศิลาจมอยู่ในตัวภูเขา หากว่าใครมองสำรวจจากที่ไกลๆ ก็จะไม่สามารถสังเกตเห็นมันได้ และยิ่งไปกว่านั้นมันยังมีอีกสองรอยแยกข้างๆ ด้วย
“เนตรสวรรค์เจ็ดสรวง!”
แสงเทวะในดวงตาของฉินมู่กวาดผ่านประตูไป และเขาพยายามที่จะตรวจสอบว่ามีรอยประทับประหลาดเอกลักษณ์อยู่ข้างในประตูหรือไม่ แต่ทว่า ที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือ มันเป็นแค่ประตูธรรมดา ไม่มีร่องรอยของการถูกหลอมสร้าง
เมื่อเขาไม่พบสิ่งใดผิดปกติ เขาก็เข้าไปในรอยแยกข้างหลังประตู ในส่วนลึกของรอยแยกเป็นความมืดอันดิบดำ และเขาก็มองไม่เห็นอะไรผิดสังเกต
เมื่อเขาเดินเข้าไป พบว่ารอยแยกนี้ยาวเป็นอย่างยิ่ง และยังมีรอยแยกอยู่สองข้างของผนังภูเขา รอยแยกทั้งหมดล้วนมืดมิด ไม่มีแสงเล็ดลอดมา
แสงเทวะในดวงตาของเขาส่องออกไป และเขาพยายามที่จะส่องสว่างรอยแยกที่ผนัง แต่ทว่า แสงเทวะจากดวงตาของเขา ดูราวจะถูกความมืดกลืนกินไปหมด และเขาก็ส่องสว่างสิ่งข้างในใดๆ ไม่ได้เลย
เขายื่นมือออกไปสัมผัสกับความมืด เสียงแสกสากดังขึ้นที่ข้างหูเขา
“รอยแยกพวกนี้คือโลกอื่นๆ ที่ถูกฝังอยู่ที่นี่!”
หากว่านี่เป็นเวลากลางวันของแดนโบราณวินาศ โลกอื่นๆ ก็คงเป็นเวลากลางคืน
แหล่งที่มาของความมืดอยู่ที่ปลายสุดของรอยแยกนี้ แหล่งที่มาของความมืดที่ถั่งโถมมากลบฝังยุคสมัยแล้วยุคสมัยเล่า ข้าอยากจะเห็นนักว่าอะไรคือต้นตอของมัน…
เขาปลุกปลอบตนเองและเดินต่อไปข้างหน้า จนเงาร่างของเขาหายเข้าไปในความมืด
ฉินมู่เดินไปค่อนข้างยาวไกล และเวลาก็ผ่านไปมากกว่าหนึ่งชั่วยาม กระนั้นรอยแยกนี้ก็ยังไม่สิ้นสุด หลังจากเดินมานานขนาดนี้ เขาก็เริ่มกังวล หากว่าเป็นรอยแยกอื่น เขาก็จะเข้าไปในต่างโลกทันทีที่เดินก้าวข้ามมัน แต่รอยแยกนี่ดูเหมือนจะยาวเกินไปแล้ว
ข้าจะเดินต่อไปอีกครึ่งชั่วยาม และหากว่าข้ายังหาจุดสิ้นสุดไม่ได้ ก็จะหันหลังกลับ
ขณะที่เขาคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็พลันเห็นแสงสว่างข้างหน้า และหัวใจของเขาก็เร่งจังหวะขึ้นมาทันที เขารีบก้าวไปด้วยฝีเท้าอันรวดเร็ว และจากที่ไกลๆ นั้น เขาก็เห็นคนผู้หนึ่งพิงกำแพงอยู่พลางถือตะเกียงเอาไว้ในมือ ตะเกียงนั้นส่งแสงเทวะวาววาม
ฉินมู่หยุดและมองไปรอบๆ เขากระตุ้นเนตรสวรรค์อีกครั้ง และสำรวจบริเวณรอบข้าง ก็ต่อเมื่อเขาเห็นว่าไม่มีอันตราย เขาถึงจะก้าวต่อไปข้างหน้า ไปยังข้างๆ ของบุคคลผู้นั้น
นั่นคือเทพเจ้าที่ได้เสียชีวิตไปเมื่อนานมาแล้ว เขานอนแผ่พิงผนัง และดวงตาของเขาก็เหม่อลอยไร้เป้าหมาย สีหน้าของเขาว่างเปล่าด้วยเช่นกัน
ฉินมู่ตรวจตราดูเสื้อผ้าและลายปักเย็บบนนั้น พลางครุ่นคิดในใจ เขาคือเทพเจ้าจากยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง!
ตะเกียงนั้นยังไม่ทันดับ และเมื่อแสงของมันส่องโดนเทพเจ้า เทพตนนี้ก็ดูโปร่งแสง
ฉินมู่สงสัยขึ้นมา และทำใจกล้ายื่นมือเข้าไปหยิกผิวหนังของเทพเจ้า ทันใดนั้นเทพเจ้าก็เหี่ยวแฟบและหดแห้งเข้าไป ทำให้เสื้อผ้าและผิวหนังของเขาร่วงลงไปกองรวมๆ กัน
ฉินมู่หนาวเยือกถึงกระดูกสันหลัง ขนหัวเขาลุกไปหมด เขาผงะถอยไปหลายก้าว
หลังจากครู่หนึ่ง เสื้อผ้าก็ส่งเสียงแสกสากและลอยขึ้นมา ผิวหนังของเทพเจ้าค่อยๆ พองกลับมาอีกครั้ง ราวกับว่ามีอากาศถูกสูบเข้าไปในหนังของเขา ไม่นานนัก เทพตนนี้ก็นอนพิงผนังอีกหนหนึ่ง
“เลือดและเนื้อของเขาหายสาบสูญไป จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็ไม่มีแล้ว สมบัติเทวะทั้งหมด ปราสาทสวรรค์ของเขา ล้วงแต่เกลี้ยงหายไม่เหลือหลอ…”
ฉินมู่ปลุกใจกล้าและเดินเข้าไปเพื่อตรวจตราดูเขาอีก เขามองไม่ออกว่าอะไรกันที่กินเทพเจ้าตนนี้เข้าไปจนเหลือแต่หนังเอาไว้ เขาพึมพำเสียงแผ่วเบา “ข้าสามารถเรียนรู้ความผิดพลาดจากผู้มาก่อนได้ และหากข้ารู้ว่าเหตุผลที่ทำให้เขาตาย มันก็จะเป็นประโยชน์แก่ข้า ที่น่าแปลกคือ แม้ว่าจะปราศจากเลือดเนื้อ เขาพองขยายกลับมาใหม่ได้อย่างไรกัน หรือว่ามันมีบางอย่างใต้ผิวหนังของเขา”
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งและนำเอากระบี่ไร้กังวลออกมา พลางพยายามเฉือนเปิดผิวหนังของเทพเจ้า มันดูเหมือนจะมีบางอย่างขยุกขยิกอยู่ใต้ผิวหนังของเขา และป้องกันกระบี่ไร้กังวลเอาไว้ ทำให้เขาเฉือนตัดหนังไม่ได้
ฉินมู่ขมวดคิ้วและนึกถึงบันทึกเป็นตายขึ้นมา เขานำบันทึกฉายส่องไปยังเทพตนนี้ และเห็นชื่อหนึ่งปรากฏขึ้นมาบนบันทึกเป็นตาย มนุษย์ผิวหนังนี้พลันอ้าปากร้องโหยหวน พวยควันสีดำพุ่งออกมาจากดวงตา หู ปาก และจมูกของเขา ก่อนที่มันจะสั่นบิดเบี้ยว!
ควันดำนี้ละลายไปกับความมืดและหายวับไป
ฉินมู่ฉงนฉงาย และหัวใจของเขาก็เต้นตึกตักอย่างหนักหน่วง สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ประหลาดพิลึกจนเกินไป และขนาดว่าในยมโลกเขาก็ยังไม่เคยเจอสิ่งพิลึกกึกกือแบบนี้
ผ่านไปครู่หนึ่ง จังหวะเต้นหัวใจของเขาก็กลับมาเป็นปกติ เขาหยิบตะเกียงขึ้นมา และเดินต่อไปข้างหน้า ไปเพียงแค่ระยะไม่ไกลนั้น เขาก็เห็นแท่นจารึกหินที่ตั้งตระหง่าน ขวางทางถนนเบื้องหน้าเขา
เขายกตะเกียงขึ้น และแสงจากตะเกียงก็อาบไล้ลงไปอย่างนุ่มนวลบนแท่นจากรึกหิน บนแท่นจารึกนั้นคือตัวเขียนอันเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ฉินมู่เชี่ยวชาญหลายภาษาและไม่มีปัญหาในการเข้าใจความหมายของถ้อยคำเกือบทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีความเข้าใจลึกล้ำต่อเหตุผลและตรรกะเบื้องหลังภาษาทุกประเภท
แต่ทว่า ภาษาที่อยู่บนแท่นจารึกหินนี้เป็นภาษาใหม่โดยสิ้นเชิง
“นี่มันเป็นตัวเขียนแบบไหนกันนี่”
เขาคิดอยู่นิดหนึ่ง จากนั้นก็นำใบหลิวออกมาจากหว่างคิ้ว เขาถามอย่างนุ่มนวล “พี่ข้า เทพสรรพชีวิต จักรพรรดิแดงฉาน พวกเจ้ารู้จักตัวเขียนบนนี้หรือไม่”
ในดวงตาที่สามของเขา แก้วตาอีกดวงหนึ่งก็ปรากฏในแก้วตาเขาเพื่อมองดู
“ข้าไม่รู้จัก”
เสียงของฉินเฟิงชิงดังมา “น้องชาย ปล่อยข้าออกไป ข้าไม่กินเจ้าหรอก”
อีกดวงตาหนึ่งเบียดดวงตาของฉินเฟิงชิงไป นั่นคือร่างแยกของเทพสรรพชีวิตที่ไม่มีโอกาสหลบหนีในตอนที่พวกเขาผ่านแดนปริศนามาก่อน
“ถ้อยคำบนนั้นอ่านว่า โลกหยินสวรรค์”
เสียงของเทพสรรพชีวิตดังมาแต่รางเลือน กล่าว “โลกหยินสวรรค์เป็นโลกข้างใต้แดนปริศนา แม้ว่าข้าจะเปล่งแสงออกมา และสามารถให้แสงสว่างแก่โลกมิติทุกชนิดทุกขนาดรอบๆ ข้า แต่ก็ยังมีสถานที่ที่ข้าสาดแสงส่องไปไม่ได้ และนั่นก็คือใต้ฝ่าเท้าของข้า สถานที่ใต้ฝ่าเท้าของข้าคือโลกหยินสวรรค์ แปลกจริงๆ ทำไมหินปักปันเขตของโลกหยินสวรรค์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ อันที่จริงแล้ว มันไม่ควรจะอยู่ที่นี่”
ฉินมู่ถามด้วยความฉงน “ที่อยู่ใต้เท้าของเทพสรรพชีวิต มันไม่ใช่แดนใต้พิภพหรอกหรือ”
“แดนใต้พิภพคือสถานที่ผู้ตายจะไปหลังจากความตาย โลกหยินสวรรค์เป็นสถานที่ที่ไร้แสง พวกมันไม่เหมือนกัน”
เทพสรรพชีวิตกำลังจะพูดต่อ แต่เสียงหงุดหงิดของฉินเฟิงชิงก็ดังออกมา ตะโกนไป “หุบปาก ไอ้เฒ่า! หากว่าเจ้าอธิบายละเอียดขนาดนี้ แล้วข้าจะหลอกเขามาให้ข้ากินได้อย่างไร”
ในดวงตาที่สามของฉินมู่ เสียงของชายแก่ถูกทุบตีก็ดังออกมา ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงของจักรพรรดิแดงฉานก็ดังมาด้วย “ข้าไม่ได้พูดเลยสักคำ ทำไมเจ้าถึงทุบตีข้าด้วย…ไอ้เด็กผี คิดว่าข้ากลัวเจ้านักหรืออย่างไร ข้าคือจักรพรรดิฟ้าแห่งยุคสมัยแสงฉาน…”
“บุตรแห่งฉิน พี่ชายของเจ้าฉีกทึ้งพวกเราเป็นชิ้นๆ แล้ว เขากำลังจะหลบหนีออกไปและจับตัวเจ้ากิน รีบๆ ปิดใบหลิวซะ!”
“น้องชาย อย่าเชื่อพวกเขา พวกเราเป็นพี่น้องกัน และพี่น้องก็ต้องช่วยเหลือกัน ข้าไม่กินเจ้าหรอก…หุบปาก ตาเฒ่า! หากว่าข้าออกไปได้และจับเขากินข้าก็จะสามารถปล่อยพวกเจ้าออกมา!”
ฉินมู่รีบปิดใบหลิวกลับไป และในที่สุดดวงตาก็ได้รับความสงบสุข
“โลกหยินสวรรค์? หรือว่าสสารมืดจะมาจากสถานที่แห่งนี้”
ฉินมู่คิดคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง และค่อยๆ ก้าวเท้าถอยไป เขาไปยังตรงหน้าผิวหนังเทพเจ้าและฉายส่องตะเกียงลงไปบนนั้น ผิวหนังของเทพเจ้าพองกลับขึ้นมาทันทีตามที่คาดเอาไว้
ฉินมู่วางตะเกียงลง และนำเอาบันทึกเป็นตายมาฉายส่องอีกครั้ง เทพตนนี้อ้าปากและกรีดร้องโหยหวน ควันดำพวยพุ่งออกจากทวารทั้งห้า และมันก็เหี่ยวแฟบลงอีกครั้ง
ฉินมู่พึมพำกับตนเอง “หรือว่าควันดำพวกนี้ก็คือสสารมืด”
เขายกมือขึ้นและคว้าจับความมืดมากำหนึ่ง สำหรับคนอื่นๆ แล้ว ความมืดเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แต่สำหรับเขา การแตะต้องความมืด ไม่ต่างอะไรกับการเข้าไปกำทราย แต่ทว่าสัมผัสที่รู้สึกนั้นเบาหวิวอย่างสุดๆ แทบจะตรวจจับไม่ได้
“หรือว่าทั้งโลกหยินสวรรค์จะถูกคลี่คลุมไว้ด้วยสสารมืดเหล่านี้ ทำไมสสารมืดพวกนี้ถึงรุกรานแดนโบราณวินาศและโลกอื่นๆ”
เขาตั้งสติตนเอง และเก็บบันทึกเป็นตาย เขาหยิบตะเกียงขึ้นมา แต่หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย เขาก็ไม่ถือมันไป ในทางกลับกัน เขาเก็บมันเข้าไปในถุงเต๋าตี้
หากว่าสสารมืดพวกนี้ปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่งในโลกหยินสวรรค์ การถือตะเกียงเดินออกไป ก็เท่ากับแส่หาภัยพิบัติ
เขาเดินอ้อมรอบหินปักปันเขตโลกหยินสวรรค์ และพบว่าทิวทัศน์ข้างหน้าของเขาเป็นสีเทา เขาได้เข้ามาในโลกพิลึกประหลาดอันเป็นสีเทา