ตอนที่ 119-1 ปฏิเสธการแต่งงานกลางท้องพระโรง

ชายาเคียงหทัย

“คุณหนูเฮ่อเหลียน ท่านขายไม่ออกแล้วหรือ”

 

 

บรรยากาศภายในห้องโถงใหญ่หนักอึ้งขึ้นทันที ใบหน้าที่แดงก่ำของเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นเต็มไปด้วยความตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด ประโยคคำถามเช่นนี้ไม่ว่ากับหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานคนใด ก็เป็นประโยคที่ดูหมิ่นอย่างร้ายแรงทั้งสิ้น

 

 

เยี่ยหลีหันมองม่อซิวเหยาด้วยความตกใจ นิสัยของม่อซิวเหยามิใช่ว่านางไม่รู้ แต่เขาไม่เคยตั้งใจดูถูกสตรีคนใดมาก่อน แม้แต่กับองค์หญิงหลิงอวิ๋นที่แสนโอหังผู้นั้น เขาก็ยังไม่เคยเอ่ยวาจาทำร้ายน้ำใจกันเช่นนี้ แต่ด้วยความที่นางเป็นทั้งสตรีและเป็นภรรยา เยี่ยหลีมิอาจไม่ยอมรับว่า ที่ม่อซิวเหยาปฏิบัติต่อเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นอย่างไม่นึกถึงน้ำใจนางเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจอยู่ไม่น้อย

 

 

“ติ้งอ๋อง ท่านพูดเกินไปแล้ว!” เยียหลี่ว์เหยี่ยจ้องมองม่อซิวเหยาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

 

 

ม่อซิวเหยาปรายตามองเขา หัวเราะเสียงเรียบว่า “องค์ชายเยียหลี่ว์เหตุใดถึงกล่าวเช่นนี้”

 

 

“ฮุ่ยหมิ่นเห็นแก่ความสัมพันธ์ของทั้งสองแคว้นถึงได้ยินยอมแต่งงามมาอยู่ที่ต้าฉู่ ต่อให้ท่านอ๋องไม่ชื่นชอบสตรีจากเป่ยหรงอย่างไร ก็ไม่ควรพูดจาดูหมิ่นกันเช่นนี้! เรื่องนี้ข้าจะรายงานต่อฮ่องเต้ของพวกท่าน อย่างไรก็ต้องเรียกคืนความเป็นธรรมให้ฮุ่ยหมิ่นให้ได้” เยียหลี่ว์เหยี่ยเอ่ยด้วยความขุ่นเคือง

 

 

“ความยุติธรรมหรือ” ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเยาะหยัน “ข้าเองก็อยากได้รับความยุติธรรมเช่นกัน ในท้องพระโรงทองคำข้าได้เอ่ยปฏิเสธราชโองการพระราชทานงานสมรสครานี้ด้วยตนเองไปแล้ว และข้าก็ได้ยืนยันอย่างชัดเจนแล้วว่าตำหนักติ้งอ๋องจะมีนายหญิงเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่องค์ชายเยียหลี่ว์กับคุณหนูเฮ่อเหลียนท่านนี้กลับมารบกวนข้าถึงตำหนักไม่ได้หยุด และถึงขั้นเอ่ยเรื่องที่จะทำให้ข้ากับชายาผิดใจกันต่อหน้าชายารักของข้า หรือว่าองค์ชายเยียหลี่ว์ไม่รู้ถึงความสำคัญของนายหญิงตำหนักติ้งอ๋อง หากข้ากับอาหลีจะต้องผิดใจกันด้วยเรื่องนี้ ข้าจะไปหาผู้ใดให้ช่วยจัดการได้ หากเป็นสตรีของต้าฉู่ ถูกคนปฏิเสธอย่างอ้อมๆ เช่นนี้ย่อมรู้ตัวและล่าถอยออกไป เพียงแต่ท่านทั้งสองไม่เพียงหาเรื่องมาพบข้าทุกวัน แต่ยังปล่อยข่าวทำลายชื่อเสียงของอาหลีไปทั่ว ทำให้ข้ามิอาจสงสัยได้ว่าเมื่อยามอยู่เป่ยหรงคุณหนูเฮ่อเหลียนขายไม่ออกหรือไร ถึงได้มายัดเยียดให้ข้า ตำหนักติ้งอ๋องจะมีนายหญิงเพียงคนเดียว หากคุณหนูเฮ่อเหลียนแน่ใจว่าจะอยู่ที่นี่ จะมาเป็นสาวใช้ที่คอยปัดกวาดก็ย่อมได้ แต่สาวใช้ขั้นหนึ่งคุณหนูเฮ่อเหลียนคงเป็นไม่ได้ สาวใช้ขั้นหนึ่งของตำหนักติ้งอ๋อง อย่างแย่ที่สุดก็ยังต้องเป็นหญิงสาวที่มีประวัติใสสะอาดและรู้หนังสือและธรรมเนียบประเพณีของที่นี่”

 

 

“ติ้งอ๋อง ท่าน…” เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นดูเหมือนจะเพิ่งตั้งสติได้จากการถูกพูดจาทิ่มแทงเมื่อครู่ และยิ่งเมื่อได้ยินม่อซิวเหยาเอ่ยเช่นนี้ จึงโกรธจนหน้าแดงก่ำไปหมด ในดวงตาคู่งามยังมีประกายของหยดน้ำตากลิ้งอยู่ด้วย แต่นางกลับมิได้ร้องไห้หรือล่าถอยออกไปด้วยเหตุนี้ กลับหันมองไปทางเยี่ยหลี “ในเมื่อพระชายาได้รับความรักใคร่จากท่านอ๋องเช่นนี้ ท่านจะไม่อยากพูดอันใดสักหน่อยหรือ หรือว่าพระชายาติ้งอ๋องทำได้เพียงนั่งหลบอยู่ข้างหลังติ้งอ๋องแล้วรอชมความสำเร็จเท่านั้นหรือ”

 

 

เยี่ยหลีลอบถอนใจเบาๆ แม่นางคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ เสียด้วย หากเป็นหญิงสาวธรรมดาทั่วไปถูกชายหนุ่มเอ่ยวาจาดูหมิ่นอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ต่อให้ไม่วิ่งร้องไห้ออกไป ก็คงปล่อยโฮออกมาแล้ว แต่คุณหนูเฮ่อเหลียนผู้นี้ไม่เพียงไม่ยอมแพ้แต่ยังมีแรงมาต่อสู้กลับอีกต่างหากเยี่ยหลีกะพริบตา ก่อนส่งยิ้มให้อย่างใสซื่อ “คุณหนูเฮ่อเหลียน การที่บุรุษปกป้องสตรีมิใช่เรื่องที่ควรทำอย่างนั้นหรือ ขอเพียงมีท่านอ๋องอยู่ ข้าย่อมไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลอันใด ข้ากับท่านอ๋องมีใจรักใคร่กัน ถึงไม่อยากให้ผู้ใดเข้ามาแทรกกลาง คุณหนูเฮ่อเหลียนได้โปรดเห็นใจด้วย”

 

 

“บุรุษมีภรรยาและอนุมากเป็นเรื่องปกติ คนต้าฉู่อย่างพวกท่านเรียกร้องให้หญิงสาวมีศีลธรรมและจรรยา พระชายากล่าวเช่นนี้ออกมาไม่กลัวว่าจะถูกคนกล่าวโทษเอาหรือ” เยียหลี่ว์เหยี่ยเอ่ยขึ้น

 

 

เยี่ยหลียิ้ม “พวกเราต้าฉู่ให้ความสำคัญกับหญิงสาวที่เข้าใจถึงธรรมเนียมและความถูกต้อง สตรีที่เอ่ยปากเรื่องแต่งงานก่อนเช่นนี้คงจะรับไว้ไม่ได้ อีกอย่าง…ข้าเองก็ไม่ชอบให้ท่านอ๋องรับภรรยารองเข้าตำหนัก ผู้ใดอยากกล่าวโทษก็เชิญกล่าวโทษไปเถิด”

 

 

เห็นชัดว่าเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นไม่คิดว่าเยี่ยหลีจะไม่เหมือนหญิงสาวต้าฉู่ทั่วไปเช่นนี้ แม้แต่เรื่องเช่นนี้ก็ยังไม่สามารถทำอันใดนางได้ จึงกัดฟันเอ่ยว่า “พระชายาไม่กลัวว่าฝ่าบาทจะกล่าวโทษตำหนักติ้งอ๋องหรือ”

 

 

“กล่าวโทษหรือ” คิ้วเรียวของเยี่ยหลีย่นคิ้วเล็กน้อย แม้แต่ในขณะที่ทุกคนคิดว่านางจะต้องสั่นไหวบ้างนั้น นางก็เพียงกัดฟันเอ่ยว่า “อีกเดี๋ยวข้าจะเข้าวังไปขอรับโทษด้วยตนเอง คุณหนูเฮ่อเหลียน…ไม่สิ ไม่ว่าสตรีคนใดคิดอยากแต่งงานเข้ามาในตำหนักติ้งอ๋อง ข้าจะเอาดาบปาดคอตนเองแล้วยกตำแหน่งชายาให้คนผู้นั้นก็ยังได้ ถึงตอนนั้นท่านอ๋องอยากแต่งงานกับผู้ใดก็ย่อมได้ทั้งนั้น!” พูดจบ นางก็หันไปมองม่อซิวเหยาก่อนเอ่ยถามว่า “ท่านอ๋อง ท่านว่าดีหรือไม่”

 

 

แววไม่พอใจบนใบหน้าของม่อซิวเหยาดูอ่อนลงทันที ก่อนกอดเยี่ยหลีเข้ากับอกโดยไม่สนใจว่ายังมีคนนอกอีกสองคนนั่งอยู่ด้วย แล้วจึงเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ชายารัก ไม่ได้เด็ดขาด หากชายารักบาดเจ็บอันใดไป ข้าคงรู้สึกเจ็บปวดด้วยเช่นกัน ถึงเวลานั้น ข้าคงต้องนำของมีคมที่ทำร้ายชายารักไปทำลายให้แหลกละเอียดถึงจะคลายความโกรธแค้นในใจข้าได้”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยควาพอใจ ก่อนหันไปเอ่ยกับเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นว่า “คุณหนูเฮ่อเหลียนท่านเห็นแล้วใช่หรือไม่ ต่อให้ข้าตายไปท่านอ๋องก็ไม่มีทางแต่งงานกับท่าน”

 

 

เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นคิดจะพูดอันใดอีก แต่กลับถูกเยียหลี่ว์เหลี่ยขวางไว้ เยียหลี่ว์เหยี่ยลุกขึ้นเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้น วันนี้ข้าคงไม่รบกวนท่านอ๋องและพระชายาแล้ว ข้าน้อยขอตัวก่อน”

 

 

“ไม่ส่ง” ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นเรียบๆ

 

 

เมื่อมองส่งทั้งสองคนที่ขัดลูกหูลูกตาออกไปแล้ว เยี่ยหลีก็หันไปมองประเมินม่อซิวเหยา เอ่ยด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งว่า “มีหญิงงามเช่นนี้ชื่นชมท่าน ท่านอ๋องช่างมีวาสนาดียิ่งนัก”

 

 

ม่อซิวเหยาได้แต่หันมองนาง “สำหรับข้าแล้วมีเพียงอาหลีเท่านั้นที่เป็นหญิงงาม ส่วนนางนี้…เป็นเพียงคนที่นำความยุ่งยากมาให้เท่านั้น”

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เรื่องการแต่งงานนี้เหตุใดเป่ยหรงถึงไม่เคยเอ่ยถึงมาก่อน” การแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์กันระหว่างสองแคว้นนั้นต้องจัดเตรียมงานกันเท่าไร เพียงดูจากความยุ่งวุ่นวายในสองเดือนนี้ก็พอรู้ได้แล้ว อย่างเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นที่ส่งมาถึงประตูจวนเช่นนี้มีอย่างที่ไหน ปากบอกว่าแต่งงานเพื่อนสานสัมพันธ์ แต่ดูจะเหมือนละครเด็กเล่นเสียมากกว่า

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “เยียหลี่ว์เหยี่ยเอ่ยถึงเรื่องนี้หลังจากที่คณะทูตรับตัวเจ้าสาวจากเป่ยหรงมาถึงเมืองหลวงแล้ว ไม่น่าจะเป็นความคิดของเป่ยหรงอ๋อง แต่เป็นความคิดส่วนตัวของเยียหลี่ว์เหยี่ยที่เพิ่งคิดขึ้นได้เสียมากกว่า

 

 

เยี่ยหลีไม่เข้าใจ “เพิ่งคิดขึ้นได้หรือ หากคิดอยากส่งคนเข้ามาสอดแนมในตำหนักติ้งอ๋อง ก็จะไม่ชัดเจนเกินไปสักหน่อยหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยาหัวเราะ “ส่งคนเข้ามาสอดแนมหรือ เยียหลี่ว์เหยี่ยไม่มีทางทำเรื่องที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ต่อให้คิดทำเช่นนั้นก็ไม่มีทางทำอย่างไม่มีชั้นเชิงเช่นนี้ ที่อยากตีกลองศึกจนใหญ่โตเช่นนี้ก็เพียงอยากหาเรื่องข้าเท่านั้นเอง อีกอย่างเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นผู้นั้นก็เป็นเพียงบุตรบุญธรรมของเฮ่อเหลียนเจินเท่านั้น ผู้ใดรู้บ้างว่านางมีพื้นเพครอบครัวเป็นอย่างไร ต่อให้หย่ากับนางหรือต่อให้นางตายไปอย่างไรก็ไม่มีความเสียหายอันใดกับเขาอยู่แล้ว”

 

 

เยี่ยหลีส่งเสียงเหอะเบาๆ “ถ้าเช่นนั้น ท่านอ๋องช่วยอธิบายได้หรือไม่ว่าข่าวลือที่แพร่อยู่ทั่วเมืองหลวงนั้นมันเรื่องอันใดกัน”

 

 

ม่อซิวเหยาอมยิ้มเอ่ยว่า “ที่ว่าอาหลีไม่มีศีลธรรมน่ะหรือ นั่นเป็นสิ่งที่ข้าให้คนปล่อยข่าวออกไปเอง”

 

 

“ที่แท้ท่านอ๋องก็ไม่พอใจข้ามานานแล้วงั้นสิ” เยี่ยหลีปรายตามองเขาก่อนเอ่ยขึ้นเรียบๆ

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร ข้ารักใคร่ความไม่มีศีลธรรมของชายารักออกจะตายไป”

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “อีกเดี๋ยวในวังคงได้เรียกข้าเข้าไปพูดคุยกระมัง”

 

 

“อาหลีรีบไปเลย หากมีเรื่องอันใด ผลักมาให้ข้าทั้งหมดได้เลย ข้าอยากให้คนทั้งใต้หล้ารู้ว่า ชายาติ้งอ๋องต่อให้ไม่มีศีลธรรมที่ดีอย่างไรก็เป็นชายารักเพียงคนเดียวของข้า” ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงขรึมพร้อมกอดเอวนางไว้หลวมๆ

 

 

เยี่ยหลีนิ่งไป ซบกับอกของม่อซิวเหยาค่อยๆ ทำจิตใจให้สงบ

 

 

ข่าวจากในวังมาไวอย่างน่าเหลือเชื่อ ถึงขั้นรอให้ถึงอีกวันไม่ไหว เรียกเยี่ยหลีเข้าวังในบ่ายวันนั้นเลยทันที ทั้งสองที่กำลังนั่งชมดอกไม้อยู่ในสวนไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย ในเมื่อเล่นละครเป็นการพระราชทานงานแต่งงานเช่นนี้แล้ว ในวังอย่างไรก็คงไม่แสดงท่าทีอันใดไม่ได้

 

 

ม่อซิวเหยาวางพู่กันที่กำลังวาดภาพในมือลง ลุกขึ้นเตรียมตัวเข้าวังพร้อมอาหลี แต่กลับถูกเยี่ยหลียื่นมือมากดให้นั่งลงเช่นเดิม “ไทเฮาเรียกข้าเข้าวัง ท่านจะไปทำอันใด”

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ไทเฮามิได้เรียกข้าแล้วข้าเข้าวังไม่ได้หรือ”

 

 

เยี่ยหลีหัวเราะเสียงเย็น “คนเขาอยากเรียกข้าเข้าไปคุย ท่านจะไปร่วมสนุกด้วยหรือ หากครานี้พวกเขายังไม่ได้พูดออกมา เกรงว่าคงได้หาเรื่องเรียกเข้าไปพบอีก ถ้าเช่นนั้นสู้ให้พวกนางพูดออกมาให้จบเลยเสียยังดีกว่า ข้าจะคอยดูว่าพวกนางมีเรื่องอันใดจะพูดกัน!”

 

 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็ทำให้เยี่ยหลีหงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก นางยังคิดว่านางได้แต่งงานกับสามีที่อย่างไรก็จะไม่มีคนมาแย่งแล้วเสียอีก ที่ไหนได้ แค่ช่วงปีนี้…ก่อนหน้านี้ก็มีองค์หญิงหลิงอวิ๋น แล้วยังมีน้องสาวลูกพี่ลูกน้องที่ม่อซิวเหยาจับโยนออกไปนอกเมืองนั่น แล้วก็หลิ่วกุ้ยเฟย มายามนี้ก็มีคุณหนูเฮ่อเหลียนมาอีก สตรีพวกนี้กินอิ่มแล้วไม่มีอันใดทำ หรือว่าใบหน้าของม่อซิวเหยายังเสียโฉมไม่พอกันนะ