ตอนที่ 118-2 เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่น

ชายาเคียงหทัย

เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่และเยียหลี่ว์เหยี่ยลอบส่งสายตาแปลกๆ ให้กัน อย่างไม่เชื่อว่าติ้งอ๋องจะถึงขั้นแสดงท่าทางเช่นนี้ต่อหน้าคนนอกอย่างพวกเขา

 

 

เยียหลี่ว์เหยี่ยเลิกคิ้วเอ่ยกลั้วหัวเราะกับเยี่ยหลีอย่างอารมณ์ดีว่า “พระชายา ไม่ได้พบกันหลายวันพระชายายังคงเปล่งประกายเช่นเดิมเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้มผงกศีรษะให้เขา “องค์ชายเยียหลี่ว์ก็เช่นกัน คุณหนูท่านนี้คือ…”

 

 

เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นไม่รอให้เยียหลี่ว์เหยี่ยเอ่ยปากแนะนำ นางลุกขึ้นยืนคารวะเยี่ยหลีตามธรรมเนียมต้าฉู่ พร้อมยิ้มและเอ่ยว่า “น้องชื่อเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นคารวะพี่สาวพระชายาเพคะ”

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย เอียงตัวหลบการคารวะของนาง ก่อนเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “คุณหนูเฮ่อเหลียนเรียกข้าว่าพระชายาก็พอ จะว่าไปคุณหนูเฮ่อเหลียนน่าจะอายุมากกว่าข้าอยู่สองสามปีกระมัง พี่สาวสองคำนี้ข้าคงมิอาจะรับไว้ได้” มายามนี้เยี่ยหลีถึงได้เห็นลักษณะของเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นอย่างชัดเจน ด้วยเพราะเป็นคนเป่ยหรง เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นจึงมีรูปร่างสูงยาวกว่าหญิงสาวของต้าฉู่มาก และมีความเพรียวบางไม่มีความบึกบึนเหมือนอย่างหญิงสาวเป่ยหงในความทรงจำของนางเลยแม้แต่น้อย เครื่องหน้าของนางก็คมคายมีความงดงามคล้ายหญิงสาวต้าฉู่อยู่หลายส่วน เพียงแต่นางอยู่ในชุดสีชมพูอ่อนอย่างหญิงสาวชนชั้นสูงของเป่ยหรง และรอยยิ้มบนใบหน้าก็มีความกล้าหาญและเปิดเผยอยู่หลายส่วน มีส่วนคล้ายกับมู่หรงถิงอยู่มาก เพียงแต่เพียงมองจากแววตา เยี่ยหลีก็รับรู้ได้ว่านางแตกต่างจากมู่หรงถิงที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอย่างชัดเจน ภาพลักษณ์ที่ดูสดใสและเปิดเผยนั้นเป็นเพียงภาพลวงหลอกเท่านั้นเอง แค่เพียงดูจากแววตาคู่งามที่จับจ้องนางไม่วางตาคู่นั้น เยี่ยหลีก็รับรู้ได้แล้วว่าท่าทางใสซื่อของนางนั้นเป็นเพียงภาพที่ปกปิดตัวตนที่แท้จริงในขณะที่สถานะของตนยังไม่แน่ชัดเท่านั้น

 

 

เมื่อได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยเช่นนี้ เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นก็อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนตั้งสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว “พี่สาวพระชายา ฮุ่ยหมิ่นได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ต้าฉู่ให้แต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋องในเร็ววันนี้แล้ว ถึงแม้จะไม่รู้ธรรมเนียมของต้าฉู่ แต่พวกเราชาวเป่ยหรงก็ถือว่าผู้ที่แต่งเข้ามาก่อนต้องเป็นใหญ่ ดังนั้นที่ข้าเรียกท่านว่าพี่สาวก็เป็นเรื่องสมควรแล้วนะเพคะ”

 

 

เยี่ยหลีนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนหันไปพูดกับม่อซิวเหยาว่า “ท่านอ๋อง ยินดีกับท่านอ๋องด้วย ฝ่าบาทพระราชทานหญิงงามให้กับท่านแหนะเพคะ ท่านอ๋องยินดีหรือไม่”

 

 

ม่อซิวเหยารีบส่ายหน้า “ภรรยาเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่เคยได้รับราชโองการพระราชทานงานแต่งงานเลย เมื่อครู่ข้ายังคิดว่าคุณหนูเฮ่อเหลียนจะไม่แต่งกับเสด็จพ่อก็แต่งกับพี่ใหญ่เสียอีก เช่นนี้…ถึงแม้เสด็จพ่อและพี่ใหญ่จะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่ตำหนักติ้งอ๋องยังสามารถจัดพิธีแต่งงานได้ เพียงแต่คงต้องลำบากภรรยาสักหน่อยเท่านั้น ไม่รู้ว่า…คุณหนูเฮ่อเหลียนจะมาเป็นเสด็จแม่รองหรือจะเป็น…พี่สะใภ้เล็กหรือ”

 

 

เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ถึงแม้เยียหลี่ว์เหยี่ยที่สุขุมมาโดยตลอดก็ยังอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าบิดเบี้ยวออกมา ถึงแม้หญิงสาวเป่ยหรงจะไม่สนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เมื่อตนถูกคนที่ได้รับการวางตัวให้เป็นคู่หมั้นมาแสดงท่าทีบิดพลิ้วเช่นนี้ เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นเองจึงมีสีหน้าไม่สู้ดีนักเช่นกัน

 

 

อันใดที่เรียกว่าท่านไม่เคยได้รับราชโองการพระราชทานงานแต่งงานมาก่อน ฝ่าบาทเอ่ยปากพระราชทานงานแต่งงาน จึงยังมิทันได้เขียนราชโองการออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร สุดท้ายม่อซิวเหยาเดินออกจากท้องพระโรงไปอย่างอาจหาญ โดยไม่คิดจะเห็นแก่หน้าของฮ่องเต้หรือเป่ยหรงเลยสักนิด จากนั้นก็ปิดประตูตำหนักไม่ยอมเปิดรับคนที่มีถ่ายทอดราชโองการ ก็ย่อมมิได้รับหนังสือราชโองการอย่างแน่นอน

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เป็นเช่นนั้นจริงหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ใจของสามีที่มีต่ออาหลีนั้นเจ้าก็เห็นอยู่ทุกวัน ไม่มีการลวงหลอก หากข้าแต่งคุณหนูเฮ่อเหลียนเข้ามา ขอให้ข้าถูกฟ้าผ่าและไม่มีบุตรไว้สืบสกุลอีกต่อไป” อย่างไรเขาก็ไม่มีทางรับเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นอยู่แล้ว ต่อให้ลั่นคำสัตย์สาบานอย่างไรก็ไม่รู้สึกกดดันแม้แต่น้อย

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าเยี่ยหลีก็ดูอ่อนลง เอ่ยเสียงอ่อนว่า ข้าเชื่อท่านก็พอแล้ว สาบงสาบานอันใดกัน ถ้าเช่นนั้น อีกเดี๋ยวข้าจะสั่งให้คนจัดเตรียมงานก็แล้วกัน เพียงแต่จะเป็นเสด็จพ่อหรือพี่ใหญ่หรือ จะต้องเชิญพี่สะใภ้ใหญ่กลับมาหรือไม่” อย่าว่านางทำลายชื่อเสียงของเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นเลย คนเป่ยหรงมิได้สนใจเรื่องนี้กันมากนักอยู่แล้ว อีกอย่างหญิงสาวที่คิดจะมาแย่งสามีกับนาง นางก็ไม่คิดจะเกรงใจ

 

 

ม่อซิวเหยาดูพอใจกับความร่วมมือของเยี่ยหลีเป็นอย่างมาก เขาหันกลับไปมองเยียหลี่ว์เหยี่ยที่นั่งอยู่ ประหนึ่งให้เขาบอกว่าจะให้เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นแต่งงานกับติ้งอ๋องคนก่อนก่อน หรือติ้งอ๋องคนก่อนกันแน่

 

 

เยียหลี่ว์เหยี่ยหน้าเครียด ม่อซิวเหยาเอาเรื่องการแต่งงานกับเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นกับการจัดพิธีตามธรรมเนียมรวมเอาไว้ด้วยกัน เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะยกเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นให้กับคนที่เสียชีวิตไปแล้ว หากเป็นอย่างที่เขาว่าจริง พวกเขาคงได้เสียประโยชน์หมดทั้งสองอย่างแล้ว

 

 

เยียหลี่ว์เหยี่ยส่งเสียงเหอะเบาๆ “ติ้งอ๋อง ความตั้งใจของข้ากับฮ่องเต้ของต้าฉู่เชื่อว่าท่านคงรู้ดี ที่ท่านบิดพลิ้วเช่นนี้จะไม่เป็นการเสียมารยาทไปหน่อยหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยาแสดงท่าทางน่าเห็นใจ ก่อนถอนใจเบาๆ “องค์ชายอาจไม่รู้ บรรพบุรุษของข้าได้สั่งการเอาไว้ จะไม่มีทางให้แต่งหญิงสาวต่างแคว้นเข้าตำหนักอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นก็ไม่เหมาะกับการเป็นลูกหลานตำหนักติ้งอ๋อง แต่เพื่อความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นของท่านกับข้า เสด็จพ่อและพี่ใหญ่ที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วคงมิต้องยึดติดกับกฎระเบียบของตำหนักติ้งอ๋องอีก เช่นนี้มิใช่ว่าจะได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายหรือ”

 

 

ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายบ้าบออะไร! เยียหลี่ว์เหยี่ยนึกก่นด่าในใจ

 

 

“ท่านอ๋อง ฮุ่ยหมิ่นชื่นชมท่านอ๋องมานาน เหตุใดท่านอ๋องถึงได้ดูหมิ่นข้าเช่นนี้” เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นลุกยืนขึ้นมองม่อซิวเหยาด้วยแววตาต่อว่า

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้ามิได้มีเจตนาจะดูถูกคุณหนูเฮ่อเหลียน”

 

 

เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นกล่าวต่อว่า “ถ้าเช่นนั้น เหตุใดท่านอ๋องถึงเอาแต่ผลักไสข้า ท่านกับข้าเป็นผู้ที่ได้รับพระราชทานงานสมรสจากฮ่องเต้ต้าฉู่อย่างเป็นทางการ ข้า เหลียนเฮ่อฮุ่ยหมิ่นถึงแม้จะมิได้เกิดเป็นราชนิกุล แต่ก็เป็นชนชั้นสูงของเป่ยหรงที่ได้รับการศึกษาเล่าเรียนทั้งด้านบุ๋นและบู๊มาตั้งแต่เด็ก เชื่อว่าฐานะข้าจะไม่ทำให้ท่านอ๋องถูกดูหมิ่นอย่างแน่นอน”

 

 

ม่อซิวเหยาหันมองเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่น ก่อนก้มหน้าลงมองเยี่ยหลีที่นั่งอยู่ด้านข้างตน เอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ชั่วชีวิตข้าแต่งงานกับอาหลีคนเดียวก็เพียงพอแล้ว คุณหนูเฮ่อเหลียนทำเช่นนี้จะให้ข้าทำเช่นไรกับชายารักของข้าหรือ”

 

 

คนที่เหลือในห้องโถงทั้งสามต่างนิ่งอึ้งไป เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นมองเยี่ยหลีด้วยแววตาสับสน “ท่านอ๋องทำเพื่อพระชายาจนไม่สนใจแม้แต่ต้าฉู่แล้วหรือ”

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว มองเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นก่อนเอ่ยว่า “คุณหนูเฮ่อเหลียนกล่าวอันใดเช่นนี้ หรือว่าหากท่านอ๋องของข้าไม่แต่งงานกับคุณหนูเฮ่อเหลียนแล้ว เป่ยหรงจะยกทัพมาบุกแคว้นของพวกเราอย่างนั้นหรือ”

 

 

เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นย่อมไม่ไร้สมองขนาดจะยอมรับเรื่องเช่นนี้ เพียงหันมองม่อซิวเหยาแล้วเอ่ยว่า “ได้ยินว่าตำหนักติ้งอ๋องจงรักภักดีต่อราชสำนักมาโดยตลอด หรือว่าท่านอ๋องจะถึงกับขัดราชโองการเพื่อพระชายาเลยหรือ ท่านอ๋องไม่กลัวว่าขุนนางในราชสำนักจะคิดว่าพระชายาเป็นคนนำภัยมาสู่แคว้นหรือเพคะ”

 

 

ม่อซิวเหยาสีหน้านิ่งขรึม ในที่สุดก็เก็บรอยยิ้มเล่นละครของตนกลับมา หันมองเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นก่อนเอ่ยว่า “ข้าเห็นว่าคำพูดของคุณหนูเฮ่อเหลียนนั้นช่างไม่เหมือนกับคนเป่ยหรงเอาเสียเลย แต่กลับเหมือนคนต้าฉู่ของพวกเราที่มีวาทศิลป์เสียมากกว่า คุณหนูเฮ่อเหลียน ข้าอยากถามคุณหนูข้อหนึ่ง”

 

 

เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นอึ้งไปเล็กน้อย ถึงแม้นางจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดติ้งอ๋องที่เมื่อสองวันก่อนไม่ว่านางจะพูดอันใดก็จะมีท่าทีอ่อนโยนกับนางมาตลอด ถึงได้นึกโกรธขึ้นมา แต่นางก็ยังพยักหน้าพร้อมเอ่ยว่า “ท่านอ๋องเชิญถามเพคะ”

 

 

เยียหลี่ว์เหยี่ยขมวดคิ้ว มองม่อซิวเหยาด้วยสายตาระแวดระวัง รู้สึกเพียงว่าสิ่งที่ม่อซิวเหยาจะเอ่ยออกมาย่อมมิใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน

 

 

ม่อซิวเหยาเอาแต่จับจ้องใบหน้างดงามของเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นด้วยแววตาเยียบเย็น จนเมื่อนางหันหน้าหนีด้วยใบหน้าที่แดงก่ำแล้ว เขาถึงได้เอ่ยถามออกมาประโยคหนึ่งว่า “คุณหนูเฮ่อเหลียน ท่านขายไม่ออกแล้วหรือ”