ตอนที่ 118-1 เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่น

ชายาเคียงหทัย

เมื่อส่งท่านหญิงหรงหวากลับไปแล้ว เยี่ยหลีก็กลับมาจัดเตรียมแผนการฝึกในมือให้เรียบร้อยก่อนส่งให้ฉินเฟิง เช้าวันต่อมาถึงได้ไปเอ่ยลากลับองค์หญิงซีฝูและเตรียมตัวเดินทางกลับเมืองหลวง

 

 

องค์หญิงยิ้มมองเยี่ยหลีอย่างมีเลศนัย “ควรกลับได้แล้วล่ะ เจ้าเป็นถึงพระชายาติ้งอ๋อง จะมาอยู่เป็นเพื่อนคนแก่อย่างข้าที่นอกเมืองเช่นนี้ ใช้ได้ที่ใดกัน อีกอย่างม่อซิวเหยาไม่มีชายาคอยช่วยเหลือดูแล อย่างไรก็คงไม่สะดวกสบายเท่าไรนัก”

 

 

เมื่อได้ยินองค์หญิงเอ่ยเช่นนี้ เยี่ยหลีก็อึ้งไปเล็กน้อย ยิ่งรู้สึกว่าในเมืองหลวงจะต้องมีเรื่องที่ตนไม่รู้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อคารวะลาองค์หญิงออกมาแล้ว ก็เห็นฉินเฟิงยืนรอตนอยู่ที่ปากประตู เยี่ยหลีปรายตามองด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “ที่เมืองหลวงมีเรื่องอันใดที่ข้าไม่รู้เกิดขึ้นหรือไม่”

 

 

ฉินเฟิงหน้าแข็งค้างไป ยิ้มตามนางก่อนเอ่ยว่า “หากเป็นเรื่องสำคัญแล้ว ผู้ใดเลยจะกล้าไม่รายงานต่อพระชายาเล่าพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีหรี่ตาลง ยิ้มเอียงคอมองเขา “เช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญเท่าไรกระมัง ไหนลองว่ามาสิ”

 

 

เยี่ยหลีหมุนตัวเดินออกไปด้านนอก ฉินเฟิงรีบออกเดินตาม “อันที่จริงก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใด เอ่อคือ…หลายวันก่อนคณะทูตรับตัวเจ้าสาวของเป่ยหรงเดินทางมาถึงเมืองหลวง องค์ชายเยียหลี่ว์ยื่นหนังสือถึงฝ่าบาทความว่า ในเมื่อทั้งสองแคว้นจะมีการผูกสัมพันธ์กทางการแต่งงานกันแล้ว ก็ควรมีทั้งการแต่งเข้าและแต่งออก เพื่อแสดงถึงมิตรภาพระหว่างสองแคว้นพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีหันมองเขาก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “ดังนั้นครานี้จึงมีองค์หญิงจากเป่ยหรงมาด้วย และจะให้ท่านอ๋องแต่งงานกับนางอย่างนั้นหรือ ฝ่าบาทเห็นตำหนักติ้งอ๋องเป็นอันใดกัน เอะอะอันใดก็จะจับคนยัดเข้าตำหนักเสียหมดอย่างนั้นหรือ”

 

 

ฉินเฟิงถึงกับหดคอ นี่พระชายากำลังนึกหึงหวงอย่างนั้นหรือ หากท่านอ๋องรู้เข้าคงต้องดีใจมากเป็นแน่กระมัง พอเห็นสีหน้าของเยี่ยหลี ฉินเฟิงจึงรีบเอ่ยอธิบายว่า “มิใช่องค์หญิงเป่ยหรง…แต่เป็นบุตรสาวบุญธรรมของท่านแม่ทัพใหญ่เหลียนเฮ่อเจินของกองทัพเฟยฉีแห่งแคว้นเป่ยหรง นามเหลียนเฮ่อฮุ่ยหมิ่นพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

มุมปากเยี่ยหลีถึงกับกระตุกขึ้นอย่างอดไม่ได้ บุตรบุญธรรมของเหลียนเฮ่อเจิน…ผู้ใดมิรู้บ้างว่าเหลียนเฮ่อเจินมีความแค้นที่ฝังลึกกับตำหนักติ้งอ๋อง แล้วยังบุตรบุญธรรมผู้นี้อีก…ดูท่าอีกฝ่ายคงมีความมั่นใจมาก ถึงได้กล้าส่งคนมายังต้าฉู่โดยใช้ฐานะเช่นนี้ “เหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้”

 

 

“พระชายาโปรดอภัยด้วย” ฉินเฟิงรีบเอ่ยขอโทษ เยี่ยหลีปรายตามองเขา ฉินเฟิงถึงได้เพิ่งนึกได้ว่า พระชายาไม่ชอบให้ลูกน้องเอ่ยคำขอโทษตามมารยาทอันใดเทือกนี้ จึงรีบเอ่ยรายงานว่า “เป็นความประสงค์ของท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องกล่าวว่า ในเมื่อพระชายาอยู่นอกเมือง ก็อย่าได้นำเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้มารบกวนพระชายา ก็แค่หญิงสาวจากเป่ยหรงเพียงคนเดียว ท่านอ๋องไม่เก็บมาใส่ใจพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าเล็กน้อย ถือเป็นการรับฟังคำอธิบายของเขา ก่อนเอ่ยถามว่า “ถ้าเช่นนั้น เหตุใดถึงได้ลือกันจนรู้ไปทั่วเมืองเล่า”

 

 

ท่านหญิงหรงหวาอยู่ในเมืองหลวงตลอดก็ยังไม่เท่าไร แต่แม้แต่องค์หญิงที่พักอาศัยอยู่นอกเมืองหลวงก็รู้เรื่องนี้ จะบอกว่าเรื่องนี้มิใช่เรื่องใหญ่คงไม่ได้

 

 

ฉินเฟิงตอบว่า “ฮ่องเต้กับฮองเฮารับสั่งว่า พระชายากับท่านอ๋องแต่งงานกันมาได้กว่าหนึ่งปีแล้ว แต่พระชายากลับ…ยังไม่มีข่าวดี ดังนั้นถึงได้อนุญาตตามที่องค์ชายเยียหลี่ว์ขอ บอกว่าเพื่อช่วยให้ตำหนักอ๋องได้แตกกิ่งก้านสาขาพ่ะย่ะค่ะ” พูดจบฉินเฟิงก็เหลือบตาขึ้นมองเยี่ยหลีด้วยความระมัดระวัง นี่ต่างหากที่เป็นเหตุใด้พวกเขามิกล้ารายงานเรื่องนี้ต่อพระชายา

 

 

“ช่างหาเรื่องแตกกิ่งก้านสาขาได้ดีเสียจริง” เยี่ยหลีหัวเราะเสียงเย็น “แต่งหญิงสาวจากเป่ยหรงเพื่อแตกกิ่งก้านสาขาให้ตำหนักติ้งอ๋องอย่างนั้นหรือ กลับเมืองหลวง!”

 

 

นางมิได้รังเกียจคนต่างแคว้น แต่ต่อให้นางมิสามารถคลอดบุตรได้จริง ประชาชนของต้าฉู่และกองทัพตระกูลม่อก็ไม่มีทางยอมรับติ้งอ๋องในอนาคตที่มีสายเลือดของเป่ยหรงอยู่เป็นแน่ เรื่องนี้เป็นปัญหาทางการปกครองโดยแท้จริง ม่อจิ่งฉีช่างมีความคิดที่ดียิ่งนัก เขาคิดว่าคนทั้งใต้หล้าเป็นคนโง่หรือไร

 

 

ยังไม่ทันกลับถึงตำหนักดี ตลอดทางเยี่ยหลีก็ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับติ้งอ๋องกับเหลียนเฮ่อฮุ่ยหมิ่นไม่น้อย หนึ่งในข่าวลือนั้นก็คือชายาติ้งอ๋องแต่งงานมาได้ปีกว่าแล้วแต่กลับยังไม่ตั้งครรภ์ และไม่ยอมให้ติ้งอ๋องแต่งชายารองด้วยเพราะความหึงหวงและไม่มีศีลธรรมของภรรยาที่ดีรวมอยู่ด้วย

 

 

เมื่อเข้ามาในตำหนัก หัวหน้าพ่อบ้านม่อก็กระหืดกระหอบเข้ามาเชิญเยี่ยหลีไปยังห้องโถงหน้าทันที เยี่ยหลีขมวดคิ้วด้วยความสงสัย หัวหน้าพ่อบ้านม่อจึงรีบอธิบายว่า “องค์ชายเยียหลี่ว์กับคุณหนูเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นมาเยี่ยมพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องกำลังสนทนากับทั้งสองอยู่ที่โถงใหญ่ ในเมื่อพระชายามีฐานะเป็นนายหญิงแห่งตำหนักอ๋อง ย่อมควรออกไปรับแขกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีมองหัวหน้าพ่อบ้านม่ออย่างนึกสนุก “ข่าวลือด้านนอกนั่น อาม่อมีอันใดจะพูดหรือไม่” ถึงแม้การคาดเดากันไปต่างๆ นานานั้นทำให้เยี่ยหลีรู้สึกหงุดหงิดใจบ้าง แต่มีข้อหนึ่งที่ถูกต้อง นั่นคือนางแต่งงานมาหนึ่งปีแล้วแต่ยังไม่มีบุตร และไม่มีความตั้งใจที่จะแต่งชายารองให้ม่อซิวเหยา ในสายตาของคนยุคสมัยนี้ ถือว่านางทำหน้าที่ของภรรยาที่ดีได้ไม่ดีจริงๆ

 

 

หัวหน้าพ่อบ้านม่อตอบเสียงขรึมว่า “เรื่องของเจ้านาย บ่าวมีสิทธิมีความเห็นเป็นอื่นได้อย่างไร อีกอย่าง…ข่าวลือที่ด้านนอกนั่นกว่าครึ่ง เป็นข่าวที่ท่านอ๋องให้คนปล่อยออกไปพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“หือ ท่านอ๋องคิดทำอันใดกัน” เยี่ยหลีรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย แต่เมื่อลองคิดดูดีๆ ก็ฟังดูสมเหตุสมผลไม่น้อย ชั่วเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วันแต่กลับลือกันจนรู้ไปทั่วเมืองหลวง หนำซ้ำดูจะลือกันหนักข้อมากขึ้นอีกด้วย หากไม่มีตำหนักติ้งอ๋องเข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว คงไม่มาถึงขั้นนี้ ดูท่าม่อซิวเหยาคงมิได้ตั้งใจจบข่าวเรื่องนี้ แต่กลับยังคอยช่วยกระพือข่าวให้แพร่ไกลออกไปอีกด้วย

 

 

หัวหน้าพ่อบ้านม่อเอ่ยว่า “ท่านอ๋องกล่าวว่า ไว้รอพระชายากลับมา ย่อมเข้าใจถึงความตั้งใจของท่านอ๋องเองพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้พระชายา…”

 

 

เยี่ยหลียิ้มแย้มอย่างยินดี “ในเมื่อคนเขามาเยี่ยมถึงที่แล้ว ข้าจะเสียมารยาทไม่ออกไปพบได้หรือ”

 

 

เมื่อเดินไปถึงประตูด้านนอกของห้องโถงหน้า ก็ได้ยินเสียงเล็กใสของหญิงสาวดังลอยออกมา “ท่านอ๋อง ไม่รู้ว่าฮุ่ยหมิ่นจะได้รับเกียรติได้พบหน้าพระชายาหรือไม่เพคะ”

 

 

น้ำเสียงของม่อซิวเหยาเรียบเย็นเป็นปกติ “อาหลีออกนอกเมืองไปเยี่ยมเสด็จป้า เกรงว่าคงไม่มีวาสนาได้พบกับคุณหนูเหลียนเฮ่อ”

 

 

“ท่านอ๋องล้อกันเล่นแล้ว เหตุใดถึงว่าไม่มีวาสนาเล่า ไว้รอฮุ่ยหมิ่นแต่งเข้ามาอยู่ในตำหนักติ้งอ๋องแล้ว คงได้เรียกขานกับพระชายาว่าพี่สาวน้องสาว และย่อมมีวาสนาได้พบหน้ากันอย่างแน่นอน” เยียหลี่ว์เหยี่ยเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงก้อง “ฮุ่ยหมิ่น เจ้าก็ไม่ต้องรีบร้อนไป ชายาติ้งอ๋องนั้นสุภาพอ่อนหวาน เป็นแบบอย่างที่ดีของหญิงสาวต้าฉู่ ไม่มีทางทำให้เจ้าลำบากอย่างแน่นอน”

 

 

“พี่ชายพูดถูกแล้ว ฮุ่ยหมิ่นได้ยินชื่อเสียงอันดีงามของพระชายามานาน ทำให้ใจร้อนอยากพบหน้าโดยเร็ว คงทำให้ท่านอ๋องเห็นขันแล้ว” เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นเอ่ยหัวเราะเสียงแหลมเล็ก น้ำเสียงไม่มีความกระมิดกระเมี้ยนเขินอายอย่างเวลาหญิงสาวต้าฉู่เอ่ยถึงงานแต่งงานของตนเลยแม้แต่น้อย

 

 

“แต่งเข้าตำหนักติ้งอ๋องหรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ตำหนักติ้งอ๋องมิได้มีทายาทสายอื่น เสด็จพ่อและพี่ใหญ่ต่างก็เสียชีวิตกันไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าคุณหนูเฮ่อเหลียนมีการหมั้นหมายกับคนผู้ใดในตำหนักนี้หรือ”

 

 

“พรืด…” เยี่ยหลีถึงกับหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ ด้านนอกลือกันให้แซ่ดเช่นนั้น แต่ม่อซิวเหยากลับทำประหนึ่งไม่รู้เรื่อง ละครที่เขาเล่นดูจะเกินจริงไปเสียหน่อยกระมัง เยี่ยหลีกระแอมไอเบาๆ ก่อนก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องโถง

 

 

เมื่อม่อซิวเหยาเห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามาก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ลุกขึ้นเดินออกไปรับและจับมือเยี่ยหลีให้เดินเข้ามาด้วยตนเอง “อาหลีกลับมาเสียที อารมณ์เย็นไม่โกรธสามีแล้วหรือ”

 

 

เยี่ยหลียิ้มบางๆ “ท่านอ๋องคิดว่าตนเองทำผิดไปแล้วหรือ” นางลอบยื่นมือไปหยิกม่อซิวเหยาแรงๆ ทีหนึ่ง นางหันหลังให้เฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นและเยียหลี่ว์เหยี่ย พร้อมถามเขาทางสายตาว่า ท่านทำบ้าอันใดกัน

 

 

น้ำหนักมือของเยี่ยหลีย่อมไม่เบานัก ม่อซิวเหยาถึงกับตัวเกร็ง ทำหน้าละห้อยพร้อมเอ่ยว่า “อาหลียังโกรธอยู่อีกหรือ ข้ารู้ว่าข้าผิดไปแล้ว ขอเพียงภรรยาคิดว่าไม่ถูกต้อง นั่นย่อมเป็นเรื่องผิด ต่อให้คนทั้งใต้หล้าบอกว่าถูก นั่นก็ถือว่าพวกเขาทั้งหมดคิดผิด ภรรยานั่งลงก่อน”

 

 

ใบหน้าอันหล่อเหลาข้างหนึ่งของเขายังมีหน้ากากเย็นเยียบสวมอยู่ บวกกับชื่อเสียงของท่านติ้งอ๋องแล้ว การที่เขามีท่าทีประหนึ่งชาวบ้านธรรมดาทั่วไปที่กำลังงอนง้อภรรยาเช่นนี้ สำหรับคนนอกแล้วช่างดูเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดไม่น้อย