ตอนที่ 223 การตัดสินใจครั้งสุดท้าย

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

เสียงร้องขอความช่วยเหลือของผู้ชายยังคงดังก้อง

มุมปากของรองผู้อำนวยการอวี้หัวกระตุก แก้ไขคำพูดว่า

“หลิวเชียนฮ่วนจากสรวงสวรรค์ตกรอบ!”

ส่วนชายที่ฝังร่างอยู่ใต้ก้อนอิฐ รอบๆ ไม่มีแสงทองส่องสว่าง จึงไม่นับว่าตกรอบ

นักเรียนหลายหมื่นชีวิตเห็นว่าเทพอันของพวกเขาไม่ตกรอบ เดิมควรดีอกดีใจ แต่ตอนนี้กลับโห่ร้องไม่ออก

เพราะแม้แต่พลังที่น่ากลัวปานนั้นเทพอันยังรอดมาได้ ทว่าบัดนี้กลับถูกก้อนอิฐทับ มันช่าง…

“ช่วยด้วย…”

เสียงร้องของชายหนุ่มอ่อนแรงลงทุกที

จนกระทั่งเสียงประกาศว่า ‘หลิวเชียนฮ่วนตกรอบ’ ของรองผู้อำนวยการอวี้หัวดังขึ้น เขาจึงหยุดดิ้นรน

เขารู้ว่า ตอนนี้ไม่มีใครช่วยเขาได้แล้ว

อันหลินหายใจรวยรินอยู่ใต้ก้อนอิฐสีดำ

เขาอยากให้อิฐก้อนนี้หดเล็กลง แต่เขาที่หมดสิ้นแรงกายแถมยังบาดเจ็บสาหัส กลับทำสิ่งนี้ได้ยากเหลือเกิน

เมื่อได้ยินว่าทุกคนตกรอบกันหมดแล้ว จู่ๆ เขาก็ตระหนักได้ถึงประการหนึ่งนั่นก็คือ สรวงสวรรค์ของพวกเขาชนะแล้ว! หากชนะแล้วทำไมเขาถึงถูกทับอยู่ตรงนี้เล่า

“ข้าจะกลับไป รีบช่วยส่งข้าออกไปที!”

“ข้าจะกลับไป รีบช่วยส่งข้าออกไปที…”

ผ่านไปครู่ใหญ่ มีเสียงดังขึ้นในอากาศ

“การออกจากการแข่งขันมีเพียงสองวิธี หนึ่งคือแพ้พ่าย กระตุ้นยันต์ประเมินผลแพ้รบ สองคือชิงจอกศักดิ์สิทธิ์ คว้าชัยชนะมาครอง ไม่มีวิธีอื่นแล้ว”

มุมปากของอันหลินกระตุกเมื่อได้ฟัง

แพ้งั้นเหรอ ไม่เห็นเหรอว่าฉันแพ้อิฐดำแล้วเนี่ย!

ชิงจอกศักดิ์สิทธิ์มาครองเหรอ ฉันถูกอิฐดำทับ ชิงจอกศักดิ์สิทธิ์กับผีอะไร!

“ได้ๆ ๆ…ไม่ปล่อยข้าออกไป เช่นนั้นทุกคนก็ดูข้าถูกทับไปเถอะ…” อันหลินพูดอย่างอ่อนระโหยโรยแรง

ผู้ชมหลายหมื่นคนในจัตุรัสฟ้าครามเอือมระอาเมื่อได้ยินคำพูดของอันหลิน

พวกเขาอยากเห็นอันหลินถูกทับงั้นหรือ แน่นอนว่าไม่อยาก!

แต่การประลองครั้งนี้ยังไม่สิ้นสุด พวกเขาจะทำอย่างไรได้

โชคดีที่ไม่นานเรื่องราวก็พลิกผัน เด็กหญิงคนหนึ่งเดินกะเผลกเข้ามา ปรากฏสู่สายตาของผู้คน

ชุดกระโปรงสีขาวของนางเปื้อนเลือด ใบหน้าขาวผุดผ่องราวหิมะก็มีบาดแผลจากไฟคลอกด้วยเช่นกัน แลดูจนตรอก

นางเดินไปหยุดข้างอิฐดำ เตะมันจนกระเด็น

ตูม! ดูเหมือนจะแรงไปหน่อย อิฐดำลอยออกไปค่อนข้างไกล

อันหลินเองก็ถูกทำร้ายเป็นครั้งที่สอง ครวญครางเสียงต่ำ แต่แรงกดดันก็หายไปแล้วในที่สุด

ใต้แสงจันทร์สีขาวนวล เขาเห็นร่างที่ดูเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย

เด็กหญิงแย้มยิ้ม หิ้วตัวอันหลินขึ้นปานเป็นกระต่าย เสียงใสแจ๋วแต่กลับเจือความแหบพร่าดังขึ้น “ผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้าย พวกเราชนะแล้ว”

อันหลินมองรอยยิ้มใสซื่อ พยักหน้า เค้นรอยยิ้มออกมาหยอกเย้าว่า “พวกเราเอาชนะพวกเขาได้ด้วยพลังชีวิตเหมือนแมลงสาบ เนื้อหยาบหนังหนาต่างหากที่ถูกต้อง”

เด็กหญิงขมวดคิ้วโก่ง ปล่อยอันหลินลง พูดอย่างเสียดายว่า “น่าเสียดาย…ตำหนักของข้าหนังหยาบไม่พอ เนื้อหนาไม่พอ ถูกระเบิดเสียแล้ว…”

อันหลินกวาดมองรอบตัว มีเพียงซากปรักหักพัง ไหนเล่าจะเห็นตำหนัก จึงอดถอนหายใจไม่ได้ ความจริงเขาไม่ได้ผูกพันอะไรกับตำหนักนั่นหรอก เพียงแต่เมื่อเห็นเด็กหญิงไม่มีบ้าน ต้องใช้ชีวิตตากแดดตากลม ในใจก็เกิดความสงสารและเสียดายอย่างช่วยไม่ได้

ขณะที่เขากำลังจะพูดปลอบใจว่า ‘เมื่อสิ้นบ้านแล้ว ยังสร้างใหม่ได้’ แต่เด็กหญิงกลับชิงพูดก่อนว่า “ออกมาเถอะ วังหมายเลขยี่สิบสี่!”

แหวนมิติสว่างวาบ ผิวดินสั่นไหวดังครืน วังเล็กกะทัดรัดวิจิตรอีกหลังปรากฏขึ้นตรงหน้าอันหลิน

อันหลิน “…”

เอาเถอะ เรื่องนี้เขาไม่ต้องเป็นกังวล

อันหลินกินยาบำรุงลมปราณ เดินไปเก็บอิฐดำกลับมา จากนั้นก็พูดกับเด็กหญิงว่า “องค์ราชินี ต่อไปช่วยต่อยข้าที”

เด็กหญิงจ้องเขาด้วยความงุนงง “ทำไมล่ะ”

“เพราะมีเพียงชิงจอกศักดิ์สิทธิ์กับยันต์ประเมินผลการแพ้รบถูกกระตุ้นเท่านั้น ข้าจึงจะไปจากที่นี่ได้” อันหลินชี้แจงยิ้มๆ

“อ้อ อย่างนี้นี่เอง…” เด็กหญิงชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็หลุบตาลง น้ำเสียงแผ่วเบา “จะไปแล้วหรือ…”

อันหลินพยักหน้า “ใช่แล้ว ข้ายังต้องกลับไปรับรางวัล ลงมือเบาหน่อยนะ อ้อ เบาเกินไปก็ไม่ได้ ราวๆ ครึ่งหนึ่งของหมัดปกติกระมัง…”

เขาคิดว่าร่างเล็กๆ ของตน หมัดทั่วไปต้องตายแน่ พลังครึ่งเดียวก็พอประมาณแล้ว

บอกตามตรงสภาพจิตใจที่ถูกชก มันทำให้ตึงเครียดและน่ากลัวมาก

เด็กหญิงกัดริมฝีปากนุ่มละมุน ยกมือขึ้นถอดมงกุฎอันวิจิตรบนศีรษะ จากนั้นก็หยิบลงมาประคองไว้ในมือ สองมือขาวผ่องเป็นยองใยยื่นออกไป วางลงตรงหน้าอันหลิน

อันหลินนิ่งอยู่กับที่ จ้องมองมงกุฎที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อม กะพริบตาปริบๆ “ท่าน…องค์ราชินี นี่มันหมายความว่าอย่างไร”

“ข้าเป็นถึงราชินี จะลงมือกับผู้พิทักษ์ของตัวเองได้อย่างไร ฉะนั้น เจ้าเอามงกุฎไปเถอะ!” เด็กหญิงยิ้มบางๆ สายลมโชยพัดเส้นผมดำขลับของนาง แววตาค่อนข้างสุกใสและจริงใจ

บางอย่างในใจอันหลินถูกกระเทือน ลืมแสดงท่าทางใดๆ ไปชั่วขณะ

ฉากนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย ทั้งสองยืนสบตากันเงียบๆ ใต้แสงจันทร์

เด็กหญิงจริงใจและเป็นธรรมชาติ ชายหนุ่มทำอะไรไม่ถูก มงกุฎเปล่งรัศมีจันทราเรื่อยๆ ท่ามกลางพวกเขา หากไม่มีเส้นผมดำขลับพลิ้วไหวกลางอากาศ ฉากนี้จะเป็นดุจภาพวาดอันงดงาม เงียบสงบลึกซึ้ง

“แต่ว่า…หากท่านไม่มีมงกุฎแล้ว…”

“แม้ไม่มีมงกุฎข้าก็ยังเป็นราชินีของเจ้าอยู่ดี!”

“มีเหตุผล…องค์ราชินีของข้า”

อันหลินยิ้ม รับมงกุฎมาด้วยมือที่สั่นเทา บรรยายได้ยากนักว่าตอนนี้เขารู้สึกอย่างไร

ณ จัตุรัสฟ้าคราม ผู้ชมหลายหมื่นคนก็มองฉากนี้บนหน้าจอผลึกหินเงียบๆ เช่นกัน ไม่มีใครปริปากแม้สักคน

การดำเนินของเรื่องราวเหนือความคาดหมายเป็นอย่างมาก แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ฉากนี้เป็นธรรมชาติยิ่งนัก ไม่ชวนให้รู้สึกแปลกใดๆ เลย ทุกอย่างล้วนดูลงตัวสมเหตุสมผล

รองผู้อำนวยการอวี้หัวจ้องหน้าจอผลึกหินไม่วางตา ในใจดุจมีคลื่นโหมซัดอย่างบ้าคลั่ง พึมพำอย่างเหลือเชื่อว่า “เกือบจะร้อยปีมาแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะมีคนทำได้จริงๆ…”

สีหน้าของอวี้หัวมีหลายอารมณ์ผสมปนเป ทั้งตะลึง ตื่นเต้น ยิ่งไปกว่านั้นคือความปลาบปลื้ม

“ขอแสดงความยินดีด้วย สรวงสวรรค์ได้ห้าคะแนน!”

เสียงดังก้องไปทั่วจัตุรัส ขณะเดียวกันก็ดังกลางเวหาเหนือศีรษะอันหลินเช่นกัน

ไม่มีใครสงสัยในคำตัดสินนี้ รวมถึงยอดฝีมือระดับหวนสู่ความว่างเปล่าหลายชีวิต ต่างก็จับจ้องภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป ลืมพูดลืมจา

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาเข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนมรรคเทศนา เคยเห็นความแข็งแกร่งป่าเถื่อนของปีศาจจอกศักดิ์สิทธิ์ทอง เคยเห็นความไร้เทียมทานของนาง แต่กลับไม่เคยเห็นท่าทางที่จริงใจและเป็นธรรมชาติเช่นนี้มาก่อน

ร่างของอันหลินค่อยๆ กลายเป็นแสง เขาสวมมงกุฎในมือให้เด็กหญิงใหม่แล้วยิ้มบางๆ “ครั้งนี้ไม่ขาดทุน แค่ยืมมงกุฎครู่เดียวก็ได้มาห้าคะแนนแล้ว ขอบพระคุณองค์ราชินี!”

เด็กหญิงเม้มปากเล็กน้อย ดวงตาสุกใสจ้องอันหลิน ไม่พูดไม่จา

“อ้อ จริงสิ โครงกระดูกสีชาดก็มีมือถือเครื่องหนึ่งเหมือนกัน ถึงเวลาหากท่านเบื่อ ก็ประลองกันมันได้” จู่ๆ อันหลินก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยปากออกไป

เด็กหญิงชะงักไป นัยน์ตาแดงก่ำ พูดเสียงเบาว่า “พวกเจ้าสองคนเป็นผู้พิทักษ์ของข้า อย่าลืมข้านะ…”

“ไม่ต้องห่วง ไม่มีทางลืมเด็ดขาด!” อันหลินนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “แล้วพบกันใหม่องค์ราชินี”

คลองจักษุของอันหลินเริ่มมืดมน สติก็เริ่มเลือนราง เสียงอ่อนหวานหลั่งไหลเข้ามาในโสตประสาท

“แล้วพบกันใหม่ผู้พิทักษ์อันหลิน”