บทที่ 226: ความละอาย

สามวันหลังจากออกจากเมืองโรซ่า โรเอลก็สังเกตเห็นว่ามีบางสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวเขา

“ทำไมปากของเราถึงบวม?”

โรเอล จ้องไปที่ริมฝีปากสีแดงที่บวมขึ้นมาในกระจก ด้วยความสับสน เขาเตรียมพร้อมสำหรับความเป็นไปได้ที่ตัวเองจะป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บทุกประเภทจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป แต่อาการแปลก ๆ ที่เด็กชายกำลังเผชิญนั้น อยู่เหนือความเข้าใจของเขาไปมาก

อะไรทำให้ริมฝีปากของเราบวมได้กัน? เราสะสม ‘ความร้อน’ ในร่างกายมากเกินไปจากการกินเนื้อย่างงั้นเหรอ? ไม่สิ มันไม่ควรจะเป็น เราไม่เคยมีอาการแบบนี้มาก่อน อีกอย่างร่างกายของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นด้วย!

โรเอลไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เด็กชายจึงเรียกซินเทียมาเพื่อสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว หญิงสาวก็ตอบด้วยความระมัดระวัง

“นายน้อย ข้าว่า มันก็แค่… บวม”

โรเอลถึงกับอึ้งเล็กน้อย เขาก้มลงครุ่นคิดพลางลูบคางไปด้วย พยายามเข้าใจสาเหตุของสถานการณ์นี้ อย่างไรก็ตามนี่ทำให้เขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ที่ทำให้ดวงตาของเขาต้องเบิกกว้าง

เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการต่อสู้เกิดขึ้น รถม้าที่ถูกดัดแปลงโดยตระกูลโซโรฟยาจึงไม่ได้ใช้พรมอันนุ่มสบายแบบปกติที่ใช้กัน เพราะมันทำให้ผู้โดยสารรักษาสมดุลการทรงตัวได้ยาก โดยเปลี่ยนเป็นวัสดุชนิดพิเศษที่ทำให้เท้าของผู้โดยสารเกาะติดกับพื้นรถได้ง่ายขึ้น และวัสดุชนิดพิเศษนี้ก็มีคุณสมบัติพิเศษที่จะทำให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่มักจะมองไม่เห็น… เช่น รอยเท้าได้

โรเอลจ้องไปที่รอยเท้าบนพื้น ขณะที่ผิวของเขาค่อย ๆ ซีดเซียวลงด้วยความกลัว

ซินเทียและทหารรับจ้างคนอื่น ๆ จะขึ้นไปบนรถม้าเป็นครั้งคราวเพื่อรายงานตารางเวลาของพวกเขาให้กับโรเอลในทุก ๆ วัน แต่เด็กชายมั่นใจว่ารอยเท้าเหล่านี้ไม่ใช่ของเหล่าทหารรับจ้าง มันเล็กเกินไปจนเขาสงสัยว่ามันน่าจะมาจากเด็ก

ต้องเป็นเด็กแบบไหนกัน ถึงจะสามารถหลบเลี่ยงการป้องกันของเรา และแอบเข้ามาในรถขณะที่เราหลับได้?

ความคิดนี้ทำให้โรเอลรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง

โรเอลนึกถึงผีเป็นอย่างแรก แม้ว่าผีจะมีตัวตนอยู่จริงในทวีปเซีย แต่พวกมันก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เขาเข้าใจจากเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตชาติ เนื่องจากบนโลกนี้มีวิธีที่มากมายในการจัดการกับพวกมัน อย่างไรก็ตาม การที่ได้รู้ว่ามีคนแอบมาจ้อง ๆ มอง ๆ ช่วงกลางคืนตอนที่เขาหลับ ก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างหนัก

มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลยที่ผีจะทิ้งรอยเท้าไว้ได้ นี่หมายความว่าอะไรก็ตามที่แอบเข้าไปในรถม้าของเขานั้นจะต้องทรงพลังสุด ๆ มันทำให้เขานึกถึงตำนานของเหล่าผีพรายที่ลือกันว่ากินพลังชีวิตของนักเดินทางชาวมนุษย์ อย่างไรก็ตามครั้งล่าสุดที่มีคนเจอผีพรายนั้นก็คือเมื่อหลายศตวรรษก่อน

โรเอลไม่คิดว่าตนเองจะโชคดีมากพอที่ได้พบกับสัตว์ประหลาดในตำนาน แต่ถึงกระนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ใช่อะไรที่เขาควรจะปล่อยไปเลยตามเลย รถม้าของทายาทแห่งตระกูลแอสคาร์ด ไม่ใช่สถานที่ที่ทุกคนจะสามารถลอบขึ้นมาได้ทุกเมื่อตามที่ต้องการ

หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว โรเอลก็สงบสติอารมณ์และออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงปกติ

“ซินเทีย เอาแผนที่มาให้ฉันหน่อยสิ”

“ทราบแล้ว นายน้อย”

ซินเทียรีบนำแผนที่ส่งเข้าไปในรถม้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะได้เห็นใบหน้าอันเคร่งขรึมของโรเอล เขาเคาะเบา ๆ บนหน้าต่าง ทำให้ใบหน้าของหญิงสาวซีดลงเมื่อเข้าใจถึงความหมาย

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ซินเทียเดินออกจากรถม้า และเดินทางต่อไปโดยไม่พูดอะไร ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฝั่งทางโรเอลเองก็ประพฤติตัวตามปกติ และงีบหลับในยามบ่าย

เมื่อถึงช่วงเย็นขบวนรถก็หยุดลงที่ริมถนน ทหารรับจ้างรีบล่าสัตว์สองสามตัวในพื้นที่ เพื่อกักตุนเสบียงอาหาร ก่อนที่จะเริ่มเตรียมอาหารเย็น โรเอลดูเหมือนจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษในวันนี้ เขาเข้าร่วมงานเลี้ยงของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา ร้องเพลงร่วมกันกับพวกเขา จากนั้นภายในเวลาเดียวกันกับในวันก่อน ๆ เด็กชายก็ถอยกลับเข้าไปในรถม้าของตน

เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ จนกระทั่ง เมื่อดวงจันทร์ปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้า และโรเอล ‘หลับสนิท’ ลงในรถม้า แสงสีเงินสลัวก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งพร้อมร่างอันเพรียวบาง

วินาทีถัดมา โรเอลก็ตื่นขึ้น เข้าต่อสู้กับเงาปริศนาทันที

“…”

“…”

ครึ่งชั่วโมงต่อมา โรเอลนั่งลงบนโต๊ะจ้องมองอย่างเฉยเมยไปที่ ‘ผีพราย’ ที่แอบขึ้นมาบนรถม้าของเขา เด็กสาวผู้น่าสงสารนั่งอยู่บนเตียงฝั่งตรงข้ามอย่างเขินอาย ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความละอายอย่างถึงที่สุด

ตัวล่อของโรเอลและซินเทียได้ผลเป็นอย่างดี ในแคมป์มีบรรยากาศสบาย ๆ ลอยมาจากงานเลี้ยง และการที่โรเอลได้เข้าไปร่วมร้องเพลงกับเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา ทำให้อลิเซียลดความระมัดระวังของเธอลง และปรากฏตัวตามปกติโดยคิดว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าเด็กสาวกลับถูกจับตัวไว้โดยกรงเล็บของโครงกระดูกขนาดยักษ์ และวงล้อมของเหล่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมากมายนอกรถม้า

ทันทีที่โรเอลเห็นใบหน้าของอลิเซีย เขาก็หยุดสิ่งที่ทำอยู่ แต่มันก็สายเกินไปแล้วที่จะหยุดเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาที่อยู่ภายนอก

ซินเทีย ผู้นำของกลุ่มทหารรับจ้างกำแพงเหล็ก กำหนดให้ภารกิจนี้มีความสำคัญสูงสุด หญิงสาวไม่เคยคิดว่าจะมีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นภายใต้การเฝ้ามองของตน ดังนั้นซินเทียจึงทุ่มสุดตัวถึง 120% ในครั้งนี้เพื่อชดเชยความล้มเหลวของตัวเอง ทำให้ทันทีที่โรเอลหยุดการโจมตีลง เธอก็บุกเข้าไปในรถม้าพร้อมกับทหารรับจ้างคนอื่น ๆ

สิ่งนี้ส่งผลให้เกิดความอัปยศในที่สาธารณะขึ้น

ภาพที่พวกเขาเห็นคือ เด็กสาวผมสีเงินที่กำลังยืนนิ่งอยู่กับที่ ขณะพยายามถอดรองเท้าปีนขึ้นไปบนเตียงของพี่ชาย

ซินเทียตกตะลึงอย่างยิ่ง เพราะเธอจำอีกฝ่ายได้ว่าเป็นนายหญิงของตระกูลแอสคาร์ด หญิงสาวเคยพบอลิเซียมาก่อนในตอนที่เธอทำภารกิจคุ้มกันชาร์ล็อตไปยังคฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ต น่าเสียดายที่ไม่มีสมาชิกคนอื่นในกลุ่มทหารรับจ้างจำเธอได้

ตามบริบทของทหารรับจ้างคนอื่น ๆ แล้ว พวกเขาอยู่ท่ามกลางความรกร้างว่างเปล่าในตอนกลางคืน ทว่าทันใดนั้นก็มีสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ ซึ่งมีความงามอันที่ไร้ที่ติปรากฏตัวขึ้นกลางรถม้าของนายน้อยที่พวกเขารับใช้ ไม่ว่าจะมองมุมไหนอีกฝ่ายก็น่าจะมีเจตนาร้าย ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาจึงเป็นการโจมตีสิ่งมีชีวิตปริศนานั้น

“ระวัง นั่นมันผีพราย!”

“ปกป้องบุตรศักดิ์สิทธิ์เร็ว!”

“รถม้านี้มันเล็กเกินไป เราต้องล่อมันออกมา!”

เหล่าทหารรับจ้างที่กำลังตื่นตระหนกต่างเต็มไปด้วยจิตสังหาร พวกที่อยู่แถวหน้ายกโล่ขึ้นเตรียมจะฟาดอลิเซียออกไป เมื่อไม่มีทางเลือกโรเอลทำได้เพียงแค่ตะโกนคำที่เขาไม่ต้องการจะพูดออกมามากที่สุด

“หยุดก่อน! เธอเป็นน้องสาวของฉันเอง!”

บริเวณโดยรอบตกอยู่ในความเงียบสงัดในทันที ทหารรับจ้างบางคนที่กำลังอยู่ในระหว่างการโจมตีถึงกับต้องเบี่ยงเป้าหมายไปทางอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงอลิเซีย และจบลงด้วยการกระแทกเข้าไปในประตูที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจนเกิดเป็นเสียงดังสนั่น

ซินเทียมีสีหน้าที่แข็งทื่อ ส่วนเหล่าทหารรับจ้างคนอื่น ๆ แทบไม่มีใครสามารถปกปิดใบหน้าที่เต็มไปด้วความประหลาดใจของตนกันได้เลย

ใบหน้าของอลิเซียเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มด้วยสายตาของทุกคนที่จับจ้องมาทางเธอ เด็กสาวเบียดตัวเป็นลูกบอลพร้อมส่งเสียงร้องไห้เบา ๆ เมื่อเห็นสิ่งนี้โรเอลก็พลิกผ้าห่มมาห่มเธออย่างรวดเร็ว

“ไม่เป็นไร ๆ มันเป็นเพียงแค่การเข้าใจผิด พวกนายกลับไปประจำตำแหน่งได้แล้ว”

โรเอลจับหน้าผากของตน พยายามรีดเร้นพูดคำเหล่านั้นออกมา จากนั้นฝูงชนก็รีบถอยออกจากรถม้าด้วยความคิดที่ว่าพวกเขาได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรจะเห็นเข้าเสียแล้ว

หลังจากที่ทหารรับจ้างติดประตูรถสำรองเรียบร้อย ในที่สุดโรเอลก็ดึงผ้าห่มออกจากอลิเซีย เผยให้เห็นใบหน้าอันเขินอายของเด็กสาว ทั้งสองนั่งนิ่งอยู่แบบนั้นกว่าสิบนาทีเต็ม โดยไม่รู้ว่าจะเริ่มบทสนทนากันอย่างไรดี

ผ่านไปพักใหญ่ ๆ โรเอลก็ถอนหายใจแล้วถามออกมา

“บอกฉันทีสิ ว่าเธอคิดอะไรอยู่กันแน่?”