บทที่ 227: การชดเชย

แม้ว่าพวกทหารรับจ้างจะลงจากรถม้าไปแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่ออกไปไกลเท่าไหร่นัก เนื่องจากเป็นห่วงความปลอดภัยของโรเอล ซินเทียจ้องมองทหารรับจ้างเหล่านั้น พร้อมเตือนให้พวกเขาเงียบซะ

ขณะเดียวกัน ภายในรถม้าที่พวกเขากำลังล้อมอยู่ อลิเซียนั้นกำลังนั่งก้มหน้าลงภายใต้สายตาอันเดือดดาลของโรเอล

‘การจู่โจมตอนกลางคืน’ นี่คือสิ่งที่โรเอลเคยเห็นในภาพยนตร์และละครอยู่บ่อยครั้ง มันมักจะมีพล็อตเรื่องที่สนุกและรับประกันความขบขันบางอย่าง… แต่เมื่อเขาได้เผชิญกับมันด้วยตัวเอง มันกลับ ‘ไม่สนุก’ เท่าไหร่

เหตุผลก็คือผลกระทบที่เกิดขึ้นจากมัน

แวดวงขุนนางล้วนเกี่ยวกับความสง่างามและมารยาทในสมัยโบราณ มีแม้กระทั่งตำแหน่งมาตรฐานที่ขุนนางควรจะใช้ในระหว่างการจูบกันในงานแต่งงานเพื่อให้ดูสง่างาม แม้จะเป็นในช่วงการมีเพศสัมพันธ์ แน่นอน ประเพณีอันเคร่งครัดนี้ได้ผ่อนคลายลงไปมากแล้ว ตามกาลเวลา แต่มันก็ยังสำคัญสำหรับขุนนางที่จะต้องรักษาความสุภาพเรียบร้อยเอาไว้

การจู่โจมในตอนกลางคืนนั้นเป็นเรื่องที่ทั้งบัดสี วิปริตและไร้มารยาทมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเป็นฝีมือของ น้องสาวที่คิดจะเข้าหาพี่ชายของตน!

เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับโรเอลมาก่อน ภายนอกห้องของเขามักจะมีองครักษ์และสาวใช้คอยเฝ้าดูแลอยู่เสมอ ป้องกันไม่ให้ใครบุกรุกเข้ามา นอกจากนี้ผู้คนที่เขาเกี่ยวข้องด้วยเองก็มักจะเป็นขุนนางเช่นกัน พวกเขาจึงไม่น่าที่จะทำอะไรแบบนี้

หากเป็นแค่ชื่อเสียงของโรเอลมันคงไม่ได้สำคัญเท่าไหร่ สิ่งที่ทำให้เขาลำบากใจมากที่สุดก็คือเหตุการณ์นี้จะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของอลิเซียในอนาคต!

โชคดีที่เหล่าทหารรับจ้างที่บุกเข้ามาในรถม้าก่อนหน้านี้ ล้วนเป็นผู้คนที่มีคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดความแน่วแน่ ซึ่งเป็นคนของเขาเอง มิฉะนั้นผลที่ตามมาคงจะเลวร้ายมาก

“บอกฉันทีสิ ว่าเธอกำลังคิดจะทำอะไร?”

“หนู… หนูก็แค่ไม่อยากแยกจากกับพี่ใหญ่ ดังนั้น…”

“นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เธอโกหกฉันและแอบมาด้วยกันสินะ?”

โรเอลถามด้วยน้ำเสียงอันเฉียบขาด

ใบหน้าของอลิเซียซีดลงทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น เธอกัดริมฝีปากอย่างน่าสงสาร

“แต่… ที่คฤหาสน์มีแอนนาคอยจัดการเรื่องภายในตระกูลแอสคาร์ดให้แล้ว ดังนั้นหนูไม่ต้องทำอะไรก็ยังได้ ถึงหนูจะกลับไปก็ไม่มีอะไรให้ทำ สู้ตามพี่ใหญ่มาที่นี่ดีกว่า จะได้ใช้เวลาร่วมกับพี่ใหญ่…”

“ตามฉันมา? นั่นมันเกี่ยวข้องกับการแอบเข้าไปในรถม้าของฉันตอนกลางดึกงั้นเหรอ? เธอรู้ไหมว่าคนอื่นเขาจะคิดยังไงกับเรื่องนี้!”

มันเป็นเรื่องที่หาดูได้ยากสำหรับโรเอลที่จะสั่งสอนอลิเซียแบบนี้ เด็กชายนั้นมักจะตามใจน้องสาวของตัวเอง จนแทบจะไม่เคยขึ้นเสียงกับเธอเลยสักครั้ง แต่ดูเหมือนว่าคราวนี้เขากำลังโกรธแล้วจริง ๆ ทำให้ดวงตาของอลิเซียชื้นขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักเธอก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร

เมื่อเห็นเช่นนี้ โรเอลก็รู้สึกเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะต้องกลืนคำหยาบที่ปลายลิ้นของตัวเองลง และปรับน้ำเสียงให้อ่อนลงเล็กน้อย

“เฮ้อ เธอรู้ใช่ไหมว่า เธออาจจะไม่สามารถแต่งงานได้อีกเลย หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป”

“ฮืออออ หนูขอโทษค่ะ หนู… เอ๋?”

อลิเซียขอโทษสำหรับการกระทำของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะหยุดลงอย่างกะทันหัน

ไม่สามารถแต่งงานได้… เรื่องนี้มีประโยชน์ขนาดนี้เลยเหรอ?

อลิเซียตกตะลึงกับผลประโยชน์เกินคาดที่ได้มาโดยกะทันหัน ทำให้เธอดีใจไปแวบหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ความงุนงงชั่วขณะของเธอเองก็ทำให้โรเอลงงงวยเช่นกัน

“อลิเซีย?”

“เอ๋? ฮือออ หนูผิดไปแล้วค่ะ…”

เมื่อสังเกตเห็นใบหน้าที่ประหลาดใจของโรเอล อลิเซียก็รีบกลับไปร้องไห้อย่างรวดเร็ว พร้อมขอโทษอย่างต่อเนื่อง ทว่าในใจนั้นกลับยิ้มร่าเปล่งประกายเจิดจ้าด้วยความหวัง

“พี่ใหญ่ ในอนาคตหนูจะไม่สามารถแต่งงานได้จริง ๆ งั้นเหรอคะ?”

“มันก็ขึ้นอยู่กับเธอ เธอโชคดีมากนะที่คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เป็นองครักษ์ของฉัน ดังนั้นพวกเขาจะไม่ปล่อยให้มันรั่วไหลออกไปแน่ ”

“อือ! พี่ใหญ่จะคอยดูแลหนูไหมคะ ถ้าในอนาคตไม่มีใครต้องการหนู”

“พูดแบบนั้นออกมาได้ยังไง ถ้าเธอไม่สามารถแต่งงานกับใครได้ ฉันจะดูแลเธอไปตลอดชีวิตเอง!”

เมื่อได้ยินเสียงสะอื้นของเด็กสาวผมสีเงิน โรเอลก็ตบหน้าอกของตนพร้อมให้คำมั่นสัญญา โดยที่ไม่รู้เลยว่าคำพูดของเขาทำให้หัวใจของอลิเซียเต้นระรัว และตระหนักได้ว่านี่อาจเป็นกุญแจสู่ชัยชนะทางความสัมพันธ์นี้ของเธอ…

เข้าใจแล้ว ที่ต้องทำทั้งหมดมีเพียงแค่ทำให้ข่าวลือเรื่องนี้หลุดออกไป…

อลิเซียยังคงทำทีเป็นร้องไห้ต่อไป ในขณะที่แอบยิ้มอย่างมีความสุขด้วยความคิดเหล่านี้ในใจของเธอ พยายามปิดไม่ให้โรเอลรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติใด ๆ

“อย่างไรก็ตาม ฉันไม่สามารถเพิกเฉยต่อเรื่องในคราวนี้ได้ เพราะคราวนี้เธอทำเกินไปแล้วจริง ๆ นับจากนี้เป็นต้นไปเป็นเวลาหนึ่งเดือนหลังจากที่พวกเรากลับถึงบ้าน เธอจะต้องอดขนมหวาน และเพื่อตัวเธอเอง ฉันจะไม่ให้เธอขึ้นมาบนเตียงของฉันอีก ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป”

อลิเซียถึงกับน้ำตาซึมไปเลยจริง ๆ เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น เธอแทบจะไม่สนใจการลงโทษแรกที่ต้องอดขนมหวาน แต่การลงโทษอย่างที่สองนั้นทำให้เด็กสาวรู้สึกราวกับว่า ท้องฟ้าได้ถล่มลงมาใส่เธอจนอยากจะประท้วงขอความเป็นธรรม

แต่เมื่อดูจากการตัดสินใจของโรเอลแล้ว เห็นได้ชัดเลยว่าเขาโกรธเอามาก ๆ เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ อลิเซียจึงทำได้เพียงแค่หาทางพยายามปลอบเขาอย่างช้า ๆ และหวังว่าเขาจะเพิกถอนการตัดสินใจดังกล่าว

ทางโรเอล เมื่อเด็กชายเห็นว่าอลิเซียสำนึกผิดต่อการกระทำของเธอเพียงใด เขาก็ไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์เด็กสาวต่อไปได้อีก

เด็กชายคิดว่าตัวเองเป็นผู้ปกครองของอลิเซียครึ่งหนึ่ง เนื่องจากการคาร์เตอร์นั้นแทบจะไม่ได้อยู่ที่คฤหาสน์เลย ซึ่งโรเอลเชื่อว่าสิ่งสำคัญในการสั่งสอนลูกก็คือการทำให้พวกเขายอมรับความผิดพลาดของตัวเองอย่างจริงจัง และทำให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันขึ้นอีกในอนาคต การต่อว่าเด็ก ๆ มากเกินไปก็นั้นไม่มีประโยชน์อะไรนอกเสียจากการระบายอารมณ์อย่างไร้เหตุผล

ดังนั้นโรเอลจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เขาเริ่มถามอลิเซียว่าเธอรู้สึกอย่างไรบ้างในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ปรากฏว่าเรื่องของอลิเซียไม่ได้ไร้สาระอย่างที่เขาคิด

แท้จริงแล้ว ที่อลิเซียรีบกลับไปก่อนหน้านี้ ไม่ใช่แค่เพื่อหลอกโรเอลเท่านั้น แต่เพื่อไล่ตามม้าของคาร์เตอร์ด้วย เธอทำการขออนุญาตจากบิดาของพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ที่สำคัญคือไม่มีใครรู้ตัวเลยว่าอลิเซียได้ซ่อนตัว และแอบเข้ามาในรถม้าของโรเอลทุก ๆ คืน

ในช่วงเวลากลางวัน อลิเซียจะแอบติดตามรถม้าจากทางด้านหลัง โชคดีสำหรับเธอที่โรเอลวางตัวเป็นขบวนรถม้าของกลุ่มพ่อค้า ดังนั้นความเร็วในการเดินทางของพวกเขาจึงช้ากว่าขบวนรถทางทหารมาก มันจึงไม่ยากเกินไปสำหรับเธอที่เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 4 ในการไล่ตามพวกเขาให้ทัน ในแง่ของปัจจัยสี่ ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับอลิเซียแล้ว เธอสามารถอยู่รอดได้สบายโดยไม่ต้องกินอาหารอะไรเลยเป็นเวลาหลายวัน สำหรับการพักผ่อนแล้ว จะมีที่ไหนจะสุขสบายไปกว่าเตียงของโรเอลกันล่ะ?

“เดี๋ยวสิ ซินเทียเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับ 3 เลยนะ มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่เธอสามารถหลบรอดสายตาของซินเทียไปได้”

“ด้วยที่มันเป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวง คาถาเวทสายเลือดของหนูจึงได้รับการเสริมพลังเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากค่ะ มันทำให้หนูสามารถลดการไหลเวียนของพลังเวทลงจนแทบจะไม่สามารถตรวจจับได้ และทันทีที่ดวงจันทร์ส่องแสงลงมาที่รถม้า หนูก็จะสามารถแทรกซึมเข้าไปในรถม้าได้ค่ะ”

อลิเซียอธิบายพลางชี้ไปที่ดวงจันทร์

นี่ทำให้โรเอลตกตะลึงไปเลย การเปิดเผยนี้ได้เปลี่ยนสามัญสำนึกของเขาถึงสิ่งที่เป็นไปได้และสิ่งที่ไม่ได้ในทวีปเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงพลังทางสายเลือด

เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ จริง ๆ แล้วทั้งนอร่า อลิเซีย และชาร์ล็อตต่างก็มีพลังสายเลือดที่แข็งแกร่งจนไม่สามารถใช้มาตรฐานทั่วไปเป็นเกณฑ์ได้ อันที่จริงพลังสายเลือดของโรเอลก็ด้วย แต่คนอื่นคงคิดว่าเขาเสียสติ ถ้าหากโรเอลบอกว่าตนเองสามารถเชื่อมต่อกับเทพเจ้าในยุคโบราณกาลได้

“อา ดูเหมือนว่าเธอจะเติบโตขึ้นแล้วจริง ๆ สินะ”

โรเอลมองไปที่อลิเซียพลางถอนหายใจออกมา เด็กชายรู้สึกเหมือนว่าตนได้สูญเสียอะไรไปบางอย่าง เมื่อตระหนักได้ว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เมื่อวันวาน กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างรวดเร็ว และคงไม่ต้องการการปกป้องและการเอาใจใส่จากเขาอีกต่อไป อย่างไรก็ตามเมื่อความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นมาในหัวของเขา อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาขัดจังหวะ

“พี่ใหญ่ จะไม่สนใจหนูแล้วเหรอคะ? ตอนนี้หนูกำลังรบกวนพี่รึเปล่า?”

เมื่อเห็นน้ำตาอันเป็นประกายในดวงตาที่มีสีแดงก่ำของอลิเซีย โรเอลก็ส่ายหน้าปฏิเสธในทันที เด็กสาวก้าวลงจากเตียงแล้วกระโดดเข้าไปในอ้อมกอดของพี่ชาย

หลังจากการร้องไห้สั้น ๆ ในที่สุดอลิเซียก็สงบลงอีกครั้งในอ้อมแขนของโรเอล เธอปรับตัวเองให้นั่งบนเข่าของเด็กชายพิงลงบนร่างกายของเขา นี่ทำให้โรเอลถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้อีกครั้ง

ปีหน้าโรเอลจะต้องเดินทางไปศึกษาที่สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า และความแตกต่างระหว่างอายุของพวกเขา ก็หมายความว่าอลิเซียจะตามเขาไปที่นั่นได้ในอีกหนึ่งปีต่อมา แม้ว่าเด็กชายจะกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ดได้เป็นครั้งคราวในช่วงวันหยุด แต่เธอก็คงจะเหงามากในตอนที่เขาไม่อยู่

ช่างมันไปก่อนเถอะ เราควรจะใช้การเดินทางครั้งนี้เป็นการชดเชยให้กับเธอล่วงหน้า

ด้วยความคิดดังกล่าว โรเอลจึงกอดเด็กสาวผมสีเงินที่อยู่ตรงหน้าเขา

ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งที่ห่างไกลออกไป ลึกเข้าไปในป่าเครอนอันเขียวชอุ่ม ต้นไม้โบราณสูงตระหง่านที่ผุดขึ้นไปสู่หมู่เมฆก็ได้ลืมตาขึ้น พร้อมก้มลงไปมองเงาปริศนาที่เพรียวบางเบื้องหน้า