หลี่เสวี่ยอิงได้ยินดังนั้นก็หยั่งเชิงลองออกแรงเหยียบดู รู้สึกว่าที่รองเท้าไม่ใช่มือ แต่เป็นดั่งแผ่นดินแข็งทนทาน มั่นคงมาก! เธอถึงวางใจหย่อนเท้าอีกข้างลงไป

ฟางเจิ้งสวดมนต์อยู่ในใจ พยยามไม่มองกางเกงหนังรัดรูปที่ร่างออกมาเป็นร่างโค้งสมบูรณ์แบบ เขาเบนความสนใจไปยังเท้าสองข้างของหลี่เสวี่ยอิง สองมือค้ำยันอย่างมั่นคง หลี่เสวี่ยอิงประคองต้นไม้พลางค่อยๆ หย่อนลงมา สุดท้ายลงพื้นอย่างปลอดภัย

ทุกขั้นตอนฟางเจิ้งแทบจะไม่ได้สัมผัสเธอเลย นี่ทำให้หลี่เสวี่ยอิงปลงอนิจจังอีกครั้ง ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะตั้งใจสั่นมือแล้วฉวยโอกาสเข้ามากอด แต่หลวงจีนนี่เป็นสุภาพบุรุษจริงๆ…

นึกถึงสุภาพบุรุษ หลี่เสวี่ยอิงพลันนึกถึงเสื้อในของตน “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ท่านไม่แปลกใจเหรอคะว่าทำไมฉันถึงปีนต้นไม้?”

ฟางเจิ้งยิ้มแห้งๆ “อมิตาพุทธ อาตมารู้ว่าสีกาปีนทำไม” เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ฟางเจิ้งก็รู้ว่าอาจจะปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ได้แล้ว ถึงยังไงเขาก็ไม่ได้ทำ ในเมื่อเจอแล้วก็บอกความจริงเลย

“เอ่อ…หลวงพี่รู้?” หลี่เสวี่ยอิงอึ้งไป เธอไม่นึกเลยว่าฟางเจิ้งจะเป็นโจรขโมยกางเกงในจริงๆ คิดว่ากระรอกน้อยขโมย บางทีอาจเก็บชุดชั้นในของเธอได้เลยแอบยัดเข้าไปในโพรง ฟางเจิ้งไม่รู้ แต่ตอนนี้เรื่องราวเหมือนจะไม่ใช่แบบนี้แล้ว

ฟางเจิ้งถอนหายใจ “สีกามากับอาตมา”

หลี่เสวี่ยอิงมองเงาแผ่นหลังฟางเจิ้งพลางเดินตามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอเข้าไปหลังวัดก็เห็นหมาป่าเดียวดายกับลิงกำลังนั่งยองอยู่ ไม่รู้กำลังทำอะไร พอเห็นฟางเจิ้งก็หลบไปข้างๆ

“พวกนายสองคนมานี่ ทำอะไรไว้ยังคิดจะหลบอีก?” ฟางเจิ้งต่อว่า

เจ้าสองตัวนี้ตามมาอย่างเหงาหงอย

หลี่เสวี่ยอิงเห็นปฏิกิริยาของสัตว์สองตัวนี้ก็นึกแปลกใจกว่าเดิม สัตว์นี่มีสติปัญญา!

ฟางเจิ้งเปิดประตูใหญ่กุฏิ พาหลี่เสวี่ยอิงมาที่หน้าตู้เสื้อผ้า “สีกาเปิดดู”

หลี่เสวี่ยอิงพยักหน้า พอเปิดตู้เสื้อผ้าถึงกับผงะ!

ฟางเจิ้งยิ้มเจื่อนๆ “น่าจะอยู่ในนี้หมดเลยใช่ไหม”

“นี่…หลวงพี่ฟางเจิ้ง มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ?” หลี่เสวี่ยอิงมองฟางเจิ้งอย่างไม่กล้าเชื่อสายตา เธอมองยังไงฟางเจิ้งก็ไม่เหมือนพวกหื่นกาม หรือว่าจะมองพลาดไป? อีกฝ่ายเป็นหมาป่าที่คลุมด้วยหนังแกะ?

ฟางเจิ้งชี้ลิงบนพื้น “เจ้านี่ขโมยจนเป็นนิสัย อาตมาไม่นึกเลยว่าครั้งนี้มันจะลงมือกับพวกโยม”

หลี่เสวี่ยอิงมองลิงที่ปิดหน้า อายจนกระดกก้นขึ้น สีหน้าเธอดูแปลกใจอย่างยิ่ง “ลิง ขโมยชุดชั้นใน? นี่…” หลี่เสวี่ยอิงรู้สึกคิดไม่ทัน ลิงรู้จักขโมยชุดชั้นในด้วย?

ฟางเจิ้งส่ายหน้า “ไม่ใช่แค่มัน แต่เป็นพวกมันสามตัว”

หมาป่าเดียวดายนอนหมอบบนพื้น เอากรงเล็บปิดหน้า น่าขายหน้า…

กระรอกเอาหัวมุดเข้าไปในขนยาวๆ ของหมาป่าเดียวดาย

หลี่เสวี่ยอิงมองเจ้าสามตัวนี้ที่ประหนึ่งคนพร้อมเอ่ยอย่างเหลือเชื่อ “หลวงพี่ฟางเจิ้ง บอกความจริงมาเถอะ นี่…มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ แล้วก็ทำไมพวกมัน…ถึงเหมือนเข้าใจคำพูดท่านเลยล่ะ?”

ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ “เจ้าสามตัวน้อยนี่ฉลาด พวกมันเข้าใจความหมายของอาตมา และก็เข้าใจความหมายของสีกา ไม่เชื่อก็ลองสื่อสารกับพวกมันดู” พูดจบฟางเจิ้งก็เดินออกไป

หลี่เสวี่ยอิงเห็นแบบนั้นจึงยิ้มบางๆ เธอรู้ว่าฟางเจิ้งเลี่ยงการสงสัย เขาอยู่ที่นี่จะพิสูจน์ว่าเจ้าสามตัวนี้ฉลาดได้ยังไง? บางทีเขาอาจจะแอบชี้นำอยู่ก็ได้

หลี่เสวี่ยอิงสูดลมหายใจเข้าลึก มองเจ้าสามตัวน้อยตรงหน้า พูดไปหลายประโยค แต่เจ้าสามตัวนี้ส่งสายตามึนงงให้ เธอจึงวาดมือ ผลคือลิงคึกคักขึ้นมา วาดมือตอบ เธอพบสิ่งที่น่าตกใจคือลิงสื่อสารกับเธอได้จริงๆ

หมาป่ากับกระรอกก็เหมือนกัน ขอแค่เธอวาดมือเข้าใจ โดยพื้นฐานพวกมันจะเข้าใจเล็กน้อย ทั้งยังโต้กลับ…ดังนั้นหลี่เสวี่ยอิงจึงเล่นสนุก ถามว่าทำไมพวกมันถึงขโมยชุดชั้นใน

ลิงหยิบชุดชั้นในขึ้นมาสวมที่หัว วาดมืออธิบายว่ามันสบาย หอม…

กระรอกห่อเป็นผ้าคลุมหัว อบอุ่น

หมาป่าสื่อว่ามันถูกลากไปใช้แรงงานเฉยๆ…

หลี่เสวี่ยอิงหัวเราะ ยิ่งคุยยิ่งชอบ เลยนั่งคุยกับเจ้าสามตัวนี้ไม่ยอมออกไป

ฟางเจิ้งรออยู่ข้างนอกนานมาก ได้ยินเสียงหัวเราะจากข้างในไม่หยุด ไม่เห็นหลี่เสวี่ยอิงออกมา แต่เขาก็วางใจ คุยกันแบบนี้คงจะไม่เกี่ยวอะไรกับเขาแล้ว ทำให้เรื่องมันชัดเจนก็พอ เขากำลังตรึกตรองอยู่ว่าจะชดใช้ยังไงดี ชุดชั้นในเยอะขนาดนี้น่าจะไม่ถูก แต่เขามีเงินเหรอ?

นึกถึงเงิน ฟางเจิ้งน้ำตานองหน้าโดยพลัน เดาว่าเขาคงเป็นนักบวชที่ยากจนที่สุดในประวัติศาสตร์

ตอนนี้เองเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกประตู ตามด้วยตำรวจสองนายเดินเข้ามาพร้อมกับหวังโอ้วกุ้ยและอวี๋กว่างเจ๋อ

“หลวงพี่ฟางเจิ้ง ท่านอยู่ก็ดีแล้ว” พอเจอหน้า หวังโอ้วกุ้ยเรียกไว้

ฟางเจิ้งประนมสองมือ “พวกโยมมีเรื่องอะไรกัน?”

“หลวงพี่ฟางเจิ้ง คืออย่างนี้ครับ…” อวี๋กว่างเจ๋อเล่าเรื่องชุดชั้นในหายในตอนเช้าง่ายๆ รอบหนึ่ง ฟางเจิ้งรู้นานแล้ว แต่ก็ยังอดทนฟังจนจบ

“หลวงพี่ฟางเจิ้ง พวกเราตรวจที่อื่นๆ มาหมดแล้ว เอ่อ ถ้าสะดวกพวกเราอยากจะเยี่ยมชมวัดท่าน” ตำรวจนามลวี่เหลียงยิ้ม เขาตามมาตอนคดีครั้งก่อนด้วยเลยได้เรียนรู้มาบ้าง ไม่บอกว่าตรวจค้น แต่เยี่ยมชม

ฟางเจิ้งยิ้มเจื่อน “ไม่ต้องค้นหรอก อาตมารู้เรื่องนี้แล้ว ความจริง…”

ฟางเจิ้งเตรียมจะสารภาพ เขาคิดได้นานแล้วย่อมบอกความจริง แต่ตอนนี้เองมีคนพูดแทรก

“ผู้กำกับอวี๋ ผู้ใหญ่บ้าน แล้วก็ตำรวจสองท่าน ฉันมาเยี่ยมชมวัดก่อนพวกคุณไปก้าวหนึ่งน่ะ ดูข้างในข้างนอกหมดแล้ว หลวงพี่ฟางเจิ้งเป็นนักบวชแท้จริง ฉันเชื่อคุณธรรมของเขา และยินดีที่จะรับรองให้เขาด้วย” ขณะพูดอยู่นี้ หลี่เสวี่ยอิงพาหมาป่าเดียวดายออกมา กระรอกนั่งบนบ่าและลิงสวมชุดนักบวชเดินตามหลังมาด้วยท่าทางเหมือนฟางเจิ้งข้างหลัง

เห็นแบบนั้นอวี๋กว่างเจ๋อ หวังโอ้วกุ้ยและพวกตำรวจอึ้งไป นี่มันอะไรกัน? ดาราชื่อดังระดับนานาชาติช่วยพูดให้ฟางเจิ้ง?

ลวี่เหลียงยิ้ม “คุณหลี่ มั่นใจนะว่าคุณตรวจแล้ว?”

หลี่เสวี่ยอิงตอบ “แน่นอน อย่าลืมว่าฉันเป็นผู้เสียหายเหมือนกัน ฉันมาตั้งนานแล้ว ดูทั่วหมดแล้ว หลวงพี่ไม่ได้ทำจริงๆ” พูดจบหลี่เสวี่ยอิงก็เบี่ยงประเด็นไป “ผู้กำกับอวี๋ ฉันว่าอย่าให้เรื่องมันวุ่นวายไปมากกว่านี้เลย เราไปถ่ายหนังกันก่อนดีกว่า”

ผู้เสียหายไม่อยากสืบสาวต่อแล้ว คนอื่นๆ จะว่าไงได้? ส่วนผู้หญิงคนอื่นที่ถูกขโมยชุดชั้นใน เดาว่าคงไม่มีใครกล้าขัดความเห็นของหลี่เสวี่ยอิง

ผู้กำกับอวี๋จึงว่า “ถ้าเสวี่ยอิงไม่อยากเสียเวลาก็เอาตามนั้น ขอบคุณนายตำรวจลวี่ด้วยนะครับ ถ้าเป็นไปได้จะ…”

“ผู้กำกับอวี๋ พวกคุณเป็นแขกพิเศษของพวกเรานะ วางใจเถอะ ผมกับเพื่อนจะอยู่ที่นี่ ถ้าขโมยนั่นกล้ากลับมาอีกจะต้องจับให้ได้คาหนังคาเขา” นายตำรวจลวี่พูด