ชั่วขณะที่พวกเขาคุยกัน หลี่เสวี่ยอิงขยิบตาให้ฟางเจิ้งเงียบๆ เหมือนกำลังพูดว่า ‘อย่าลืมขอบคุณฉันล่ะ’

จากนั้นหลี่เสวี่ยอิงว่า “เอาล่ะ ทุกคน วัดเป็นแดนเงียบสงบ พวกเราออกไปคุยเรื่องอื่นกันข้างนอกดีกว่า”

ดังนั้นกลุ่มคนจึงถูกหลี่เสวี่ยอิงพาออกไป

ฟางเจิ้งเห็นไปกันแล้วจึงถอนหายใจโล่งอก ยังรู้สึกกลัวๆ กลับเรื่องที่ผ่านมา!

ถึงเขาจะไม่ใช่คนทำ แต่บอกว่าลิงทำใครจะเชื่อ? จะให้ทุกคนเข้ามาสื่อสารกับลิงเพื่อยืนยันความฉลาดของมันและว่าเป็นขโมยก็ไม่ได้มั้ง? ถึงตอนนั้นคงยากจะไม่มีเอี่ยวด้วย อย่างหนักคงติดคุกสองสามวันก็ปกติ ถ้าเรื่องแพร่งพรายออกไปชื่อเสียงคงเหม็นโฉ่ว…

หลังผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว ฟางเจิ้งนั่งลงกับพื้นประหนึ่งปล่อยวางภาระหนักอึ้งลง มองลิง หมาป่าเดียวดาย กระรอกที่ยักคิ้วหลิ่วตาข้างๆ

ฟางเจิ้งตบหัวพวกมันจนเจ้าสวมตัวนี้กุมหัว น้ำตานอง “พวกนายสามคนไม่ต้องกินข้าวเย็นวันนี้! พิจาณาตัวเองด้วย! อืม…อาตมาก็ต้องพิจารณาตัวเองเหมือนกัน หิวด้วยกัน! จากนี้ถ้าทำผิดอีกจะหิวหนึ่งวัน!”

พอพูดว่าหิวฟางเจิ้งก็หิวจริงๆ ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย นี่จะเที่ยงแล้ว ถ้าไม่กินอีกได้หิวทั้งวันแน่ๆ เลยรีบปิดประตูวัดแล้วทำอาหารกิน

ตกเย็นหลี่เสวี่ยอิงหยิบสัมภาระเข้ามาในวัด เก็บชุดชั้นในเหล่านั้นไป ฟางเจิ้งมองเงาแผ่นหลังหลี่เสวี่ยอิงพลางประนมสองมือ “ขอบคุณสีกามากนะ”

หลี่เสวี่ยอิงหันกลับมายิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะหลวงพี่ฟางเจิ้ง พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ?”

ฟางเจิ้งงงงัน เพื่อน? เขาเกือบลืมคำนี้ไปแล้ว ตอนเรียนหนังสือเคยมีเพื่อนอยู่หลายคน แต่พอเขาออกมาก็หายไปหมด ส่วนชาวบ้านตรงตีนเขาเป็นญาติพี่น้อง ไม่นับว่าเพื่อน ส่วนบนเขา ที่นับว่าเป็นเพื่อนได้ก็มีลิง หมาป่าและกระรอก

หลี่เสวี่ยอิงพูดคำว่าเพื่อนกับเขาอย่างกะทันหัน ในใจฟางเจิ้งเกิดระลอกกระเพื่อม

หลี่เสวี่ยอิงเห็นฟางเจิ้งเงียบจึงคิดว่าฟางเจิ้งไม่ยอมรับเธอ เลยยิ้มเจื่อนๆ “ขอโทษค่ะ ฉันบุ่มบ่ามไป”

ฟางเจิ้งเห็นแววตาผิดหวังของหลี่เสวี่ยอิงจึงตั้งสติได้ ยิ้มพูด “เป็นเพื่อนกันจริงๆ”

เงาแผ่นหลังหลี่เสวี่ยอิงสั่นนิดๆ ครั้งนี้ไม่ได้หันกลับมา แต่เดินหน้าไปอย่างสดใสพลางว่า “ถ้ามีโอกาสฉันจะมาเยี่ยมท่านอีกนะ”

ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย “อมิตาพุทธ”

ส่งหลี่เสวี่ยอิงแล้ว ก็ถือว่าส่งปัญหากองนั้นไปด้วย เขาเลยโล่งอกจริงๆ

วันที่สอง ในที่สุดนักแสดงมือเก๋าที่รอคอยมาถึง ทั้งกองถ่ายยุ่งกว่าเดิม ขณะเดียวกันวัดฟางเจิ้งก็ยุ่งเหมือนกัน ได้ยินว่าจะถ่ายหนังกันที่นี่ ชาวบ้านแปดหมู่บ้านในสิบลี้รีบมาดูกัน แต่กองถ่ายไม่ให้ดู พวกเขาเลยให้เหตุผลว่าจะมาจุดธูปไหว้พระบนเขา มองไกลๆ ก็มีความสุขเหมือนกัน

แต่หลักๆ แล้วชาวบ้านเหล่านี้จุดธูปธรรมดา ก่อนยัดเงินสองหยวนใส่ไว้ในกล่องบริจาค รีบไปจุดธูปก่อนออกไปดูถ่ายหนัง ถึงช่วงท้ายคนเยอะขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่บ้านเองก็จัดการอะไรไม่ได้ สุดท้ายจึงปิดภูเขา

วัดฟางเจิ้งกลับมามีคน หมาป่า ลิงและกระรอกอีกครั้ง

แต่ฟางเจิ้งก็มีความสุข อ่านพุทธคัมภีร์ทุกวัน ยามว่างจะไปดูกองถ่าย คนกองคุ้นเคยกับเจ้าอาวาสน้อยขาวสะอาดรูปนี้มาก โดยเฉพาะการแสดงในวันนั้นที่เอาชนะทุกคนได้ ทุกคนเลยเรียกฟางเจิ้งว่าจักรพรรดิภาพยนตร์น้อย แน่นอนว่าการมาของเขาเป็นที่ต้อนรับอย่างยิ่ง

ฟางเจิ้งเห็นถึงความลำบากของนักแสดงเป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นลูกมือหรือหลี่เสวี่ยอิงนักแสดงหลัก หรือตัวประกอบ แทบทุกคนแสดงหลายครั้งจนกระทั่งผ่านถึงจะหยุด กินข้าวไม่ตรงเวลาเป็นประจำ เชือกสลิงลอยไปลอยมา กลิ้งไปมาในโคลนเป็นเรื่องปกติ…

ทุกคนเหนื่อยกันมาก ใจไม่คิดถึงอย่างอื่นแล้ว

หนึ่งสัปดาห์จวนจะผ่านไป ฟางเจิ้งก็มาสวดมนต์ให้ข้าวผลึกอีก วันนี้จัดการทุกอย่างแล้ว ปิดประตูวัดแล้วเดินมาข้างนาข้าว หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปเห็นเงาหน่ออ่อนสีเขียวในนาข้าวเล็กน้อย เขาถกขากางเกงขึ้น ลงไปดึงหญ้าในนาออก ดูแลนาข้าวผลึกอย่างดีที่สุด

เมื่อจัดการทุกอย่างแล้วก็มาที่ริมนาข้าว สวดมนต์

“หลวงพี่ฟางเจิ้งสวดมนต์อีกแล้ว!” สองวันนี้หลินตงสือเหนื่อยจนแทบยกเอวไม่ขึ้น พลันเห็นฟางเจิ้งนั่งลงสวดมนต์จึงร้องเรียกทันที

ผลคือทุกคนที่พักผ่อนต่างหันมามอง คนที่เคยฟังฟางเจิ้งสวดมนต์ต่างให้ความสนใจ ความรู้สึกที่จิตวิญญาณหลุดพ้น ทั้งกายและใจผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์แบบนั้นมันน่าหลงใหล!

แต่…

“มองอะไรกัน? ถ่ายต่อสิ วันนี้ฉากสุดท้ายแล้ว ถ่ายเสร็จจะได้พักด้วยกัน พรุ่งนี้ต้องลงเขาแล้ว” อวี๋กว่างเจ๋อว่า

ทุกคนอึ้งไป ไม่นึกเลยว่าจะถ่ายหนังเสร็จเร็วขนาดนี้ พลันเกิดความรู้สึกเหมือนอยู่ในเมฆหมอก มองหลวงจีนที่อยู่ไกลๆ มองฟ้าตรงเส้นขอบฟ้า ทุกคนไม่รู้ว่าในใจรู้สึกยังไง มีความอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย มันเหมือนกับการฝึกทหาร ตอนฝึกร้องไห้จะเป็นจะตาย คิดจะหนีต่างๆ นาๆ แต่พอจะจบจริงๆ ดันเกิดความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ซึ่งมากพอจะทำให้ร้องไห้ไปพักหนึ่ง

แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนกลัดกลุ้มคือพวกเขาพยายามถ่ายหนังกันอย่างรวดเร็วมาก ทว่าเมื่อถ่ายเสร็จหลวงจีนหายไปแล้ว!

พวกเขาไม่รู้ว่าฟางเจิ้งใช้เวลาในการสวดมนต์สั้นนานไม่แน่นอนเลย แต่จะดูที่ความเข้าใจของตนทั้งหมด ถ้าอยู่ในสภาวะตระหนักก็จะสวดมนต์นาน เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่อยู่ในสภาวะ นั่งชั่วโมงเดียวก็ปวดก้นแล้ว ใครจะไปสวดต่อ?

เมื่อสิ้นเสียงคำว่าจบ ทุกคนเริ่มสนุกสนานสุดเหวี่ยง ตามด้วยเก็บข้าวของลงเขาไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ แต่สิ่งที่ฟางเจิ้งคาดไม่ถึงคือ…

“หลวงพี่ฟางเจิ้ง พวกเราไปแล้วนะ จากนี้ถ้าว่างจะมาเยี่ยม” นักแสดงที่ฟางเจิ้งไม่รู้จักคนหนึ่งทักทายเขา

ฟางเจิ้งมาที่หน้าประตู ประนมสองมือสวดไปบทหนึ่ง “อมิตาพุทธ”

ต่อมามีนักแสดงทยอยกันบอกลาฟางเจิ้ง เห็นดังนั้นจึงสวดไปอีกบท

เขามองคนที่คุ้นตาแต่ไม่รู้จักชื่อเหล่านี้ทยอยกันเอ่ยลาไป ในใจเขาก็อาลัยอาวรณ์เล็กน้อยเหมือนกัน คนพวกนี้มาจากทั่วทุกสารทิศ จากนี้ถ้าอยากพบกันอีกเกรงว่าคงยาก

หลินตงสือ หลัวลี่ อวี๋กว่างเจ๋อ เหล่าเถามาบอกลา ฟางเจิ้งบอกลาไปทีละคน

เห็นกองถ่ายลงเขาไป ฟางเจิ้งชำเลืองตามองจุดที่เคยถ่ายหนังแวบหนึ่ง คนไปแล้ว ไม่เหลืออะไรไว้เลย ยอดเขากลับมาเป็นพื้นที่กว้างโล่งอีกครั้ง จิตใจเขาว่างเปล่าเช่นกัน มองสถานที่ที่ถ่ายทำอีกครั้ง ไม่มีคนจริงๆ…

ฟางเจิ้งถอนหายใจ ภายในใจมีความหดหู่เล็กน้อย เพื่อนที่มีอยู่คนเดียวไปกันแบบนี้?

ตอนนี้เองหมาป่าเดียวดายเห่าเสียงดัง กระรอกขี่อยู่บนหัว ลิงตามมาข้างหลัง ลิงสะบัดอะไรบางอย่างในมือ ฟางเจิ้งเพ่งมองก็หน้ามืดทะมึน นี่มันเสื้อใน! เจ้าพวกนี้ยังซ่อนของโจรไว้อีก!

“พวกนายสามคนสอนไม่รู้จักจำจริงๆ วันนี้อาตมาจะต้องยึดตามกฎแล้ว!” ฟางเจิ้งคว้าไม้กวาด ตะโกนเสียงดังก่อนวิ่งไล่ล่า