เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของฉีถง ผู้จัดการโรงงานก็ยิ่งรู้สึกยอมรับไม่ได้ เขาคือคนที่อยู่มาตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทและเห็นการพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ของบริษัทจนถึงปัจจุบัน เขาจะยอมทนเห็นความย่อยยับที่กำลังจะเกิดขึ้นกับบริษัทได้ยังไงโดยที่เขาไม่ทำอะไรเลย?

“ท่านประธาน! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นวันนี้ผมคงต้องขอพูดกับท่านตรง ๆ เราทำแบบนี้ไม่ได้! การที่เราขายวัตถุดิบคุณภาพต่ำแบบนี้ อีกไม่นานบริษัทอื่น ๆ จะรู้ข่าวนี้เข้าแน่นอนและเมื่อถึงวันนั้นชื่อเสียงเราจะป่นปี้จนไม่มีใครกล้าทำธุรกิจด้วย! ทุกบริษัทจะต้องพากันหันหลังให้กับบริษัทเราและไปหาบริษัทป้อนวัตถุดิบใหม่!”

ผู้จัดการโรงงานพูดตรง ๆ โดยที่ไม่เกรงใจอะไรอีกแล้ว

สีหน้าของฉีถงยิ่งมืดหม่นเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาส่ายหัวและถอนหายใจราวกับว่ามันมีบางอย่างที่เขาไม่อาจพูดออกมาได้

“เฮ้อ…ฉันเข้าใจ เอาเป็นว่าหลังจากนี้นายไม่ต้องติดตามฉันต่อไปอีกแล้ว ไม่เช่นนั้นการกระทำของฉันในครั้งนี้มันจะพาทำให้นายลำบากไปด้วยในอนาคต”

หลังจากพูดจบ ฉีถงก็เดินออกไปจากส่วนการผลิตและเข้าไปในออฟฟิศของเขาอย่างโดดเดี่ยว

เมื่อเข้าไปในออฟฟิศของตัวเอง ฉีถงนั่งลงที่เก้าอี้ของเขาก่อนที่จะถอนหายใจยาวด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง

ในขณะเดียวกัน อวี้ฮ่าวหรานก็ขับรถมาถึงโรงงานของฉีถงแล้วเช่นกัน!

ที่ด้านหน้าประตูทางเข้าโรงงานมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเฝ้าอยู่เช่นกันแต่รอบนี้ อวี้ฮ่าวหรานไม่ต้องการเสียเวลาคุยให้เมื่อยปาก เขาขับรถพุ่งชนประตูจนพังและขับรถไปจอดที่หน้าตึกโรงงานทันที!

“หืม? นั่นใครกัน?”

ฉีถงมองผ่านหน้าต่างออฟฟิศของเขาเองลงไปยังรถของอวี้ฮ่าวหราน ที่จอดสนิทแล้ว

“บ้าเอ๊ย! แกเป็นใครกันวะ กล้าพังประตูเข้ามาแบบนี้อยากเจ็บตัวนักใช่ไหม?!”

เจ้าหน้าที่รักษษความปลอดภัยเกือบสิบคนต่างวิ่งกรูเข้ามาหาอวี้ฮ่าวหรานจากทุกทิศทาง

พวกเขาต่างแสดงสีหน้าเดือดดาลที่จู่ ๆ มีไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้พังประตูเข้ามาอย่างอุกอาจแบบนี้!

อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานไม่มีอารมณ์ที่จะมาเสียเวลากับมดแมลงเหล่านี้ ในทันทีที่เขาลงจากรถ เขาพุ่งตัวเข้าไปในตึกโรงงานและพังประตูออฟฟิศของฉีถงในทันที

“โครม!”

แค่การถีบเพียงครั้งเดียวประตูทั้งบานถึงกับล้มตึงลงไปกับพื้น

“ฉันกำลังตามหาฉีถง แกคือฉีถงใช่ไหม?” อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยถามกับชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ในห้องคนเดียวทันที

ฉีถงแสดงสีหน้างุนงง เขามองสำรวจอวี้ฮ่าวหรานด้วยความรู้สึกสับสน

“นายเป็นใคร? ทำไมนายถึงตามหาฉัน? ฉันคิดว่าฉันไม่เคยรู้จักนายถูกต้องไหม?”

เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายยอมรับว่าตัวเองคือฉีถง อวี้ฮ่าวหรานเลิกคิ้วขึ้นทันที ในที่สุดเขาก็ได้เจอต้นตอของปัญหาสักที!

“เป็นเฉิงกัวอันที่ให้ฉันมาคุยกับแก แกควรจะรู้ตัวดีว่าแกทำอะไรลงไป”

หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานเดินเข้าไปหาฉีถง พื่อที่จะเค้นถามว่ามีเหตุผลอะไรที่เล่นงานบริษัทชิวเฮิงเช่นนี้?

แต่อย่างไรก็ตามก่อนที่จะได้เอ่ยปากถาม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสิบกว่าคนก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับกระบองซะก่อน!

พวกเขาต่างมองมาที่ อวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าเคร่งเครียดกังวลว่าชายหนุ่มปริศนาคนนี้จะทำอันตรายเจ้านายของพวกเขา

“เร็วเข้า รีบเข้าไปลากไอ้หนุ่มนี่ออกมาก่อน!”

“อย่าให้มันหนีไปได้! บ้าเอ๊ย กล้านักนะที่มาสร้างความวุ่นวายให้กับที่นี่!”

แววตาของอวี้ฮ่าวหรานเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันทีแต่ก่อนที่เขาจะได้ลงมือทำอะไร ฉีถงกลับตะโกนขึ้นก่อน

“ไม่เป็นไร ทุกคนถอยออกไปก่อน เขาเป็นแขกของฉันเอง”

ถึงแม้ว่า ฉีถงจะไม่ได้พูดดังมาก แต่น้ำเสียงที่เด็ดขาดของเขาทำให้พวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทำได้แต่ถอยหลังออกไปอย่างที่พวกเขาไม่อาจจัดได้

ล้อเล่นแล้ว นี่คือเจ้านายของพวกเขา ขืนพวกเขาขัดคำสั่งพวกเขาคงถูกไล่ออกแน่ๆ

หลังจากพวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจากไปทั้งหมดแล้ว ฉีถงจึงผายมือแสดงท่าทีเชิญชวนอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าเป็นมิตร

“นั่งลงก่อนสิแล้วค่อยคุยกัน ฉันฉีถงเองคนที่นายอยากจะคุยด้วย”

เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกประหลาดใจกับท่าทีของอีกฝ่ายที่ดูเป็นมิตรกับเขา ดังนั้นเขาจึงรู้สึกรังเกียจฝั่งตรงข้ามน้อยลง

“ในเมื่อคุณคือฉีถง ถ้างั้นผมขอถามคุณสักหน่อยว่าทำไมคุณถึงส่งวัตถุดิบที่ไร้คุณภาพให้กับบริษัทชิวเฮิง?”

“เฮ้อ…สำหรับเรื่องนี้ฉัน…”

ในทันทีที่เผชิญกับคำถามนี้ ฉีถงก็ถอนหายอย่างแรง เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่ได้มีความสุขกับเรื่องนี้เช่นกัน

“เรื่องนี้มันมีเบื้องหลังที่คุณไม่สามารถเอ่ยได้ใช่ไหม?” อวี้ฮ่าวหราน ถามกลับอย่างรู้ทัน

“หึหึ น้องชายนี่ช่างมีสายตาที่แหลมคม เฉิงกัวอันดูคนไม่ผิดเลยจริงๆ” ฉีถงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้วิเศษ แต่ด้วยประสบการณ์การมองคนของเขาเอง แค่เพียงมองครู่เดียวเขาก็บอกได้ว่าอวี้ฮ่าวหรานไม่ธรรมดา

เมื่อเห็นเช่นนี้ เขาจึงพอที่จะเห็นความหวังขึ้นมาบ้าง

“พูดมาว่าคุณมีปัญหาอะไรกันแน่ ผมสามารถช่วยคุณแก้ไขได้ทุกอย่าง แต่หลังจากนั้นคุณต้องแก้ไขสิ่งที่คุณทำกับบริษัทชิวเฮิงในทันที”

“นายจะช่วยฉัน?”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของอวี้ฮ่าวหราน ฉีถงอึ้งไปชั่วครู่ เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเสนอความช่วยเหลือให้เขาอย่างเป็นมิตรเช่นนี้หลังจากที่เขาสร้างปัญหาให้กับอีกฝ่ายไปอย่างใหญ่หลวง

“ใช่ผมจะช่วยถ้าคุณยอมรับตามเงื่อนไขที่ผมบอก”

“นาย…เฮ้อ งั้นก็ได้ งั้นฉันจะเล่าให้นายฟังก็แล้วกัน…”

เมื่อเห็นสีหน้าที่มั่นใจของอีกฝ่าย ฉีถงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจยอมวัดดวงกับอวี้ฮ่าวหราน

“ในอดีตตอนที่ฉันยังเป็นหนุ่ม ฉันเป็นคนที่ทำอะไรก็ไม่สำเร็จเลยสักอย่างเดียว แต่ต่อมาฉันได้พบกับภรรยาของฉัน เธอมาจากตระกูลที่ร่ำรวยมาก ๆ ซึ่งหลังจากนั้นเธอก็ให้เงินฉันมาก้อนใหญ่เพื่อให้ฉันตั้งตัวทำธุรกิจ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงรู้สึกสำนึกในบุญคุณของเธอมากๆ”

“อย่างไรก็ตาม เมื่อฉันอายุย่างเข้าสามสิบปลาย ฉันกลับได้พบกับเด็กสาวคนหนึ่งที่มีอายุห่างกับฉันถึง15ปี ในเวลานั้นฉันไม่อาจห้ามใจตัวเองได้เลยจนท้ายที่สุดฉันก็ตกหลุมรักเด็กสาวคนนั้นและซื้อบ้านให้เธออยู่รวมถึงไปหาเธอบ่อยครั้ง”

“สรุปแล้วคุณมีบ้านเล็ก?” อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยถามกลับ

“แค่ก ๆ เอ่อ…นายพูดแบบนั้นมันก็ไม่ผิด เอาเป็นว่าฉันขอสรุปเลยก็แล้วกัน เรื่องนี้จะรู้ไปถึงหูภรรยาของฉันไม่ได้เด็ดขาดไม่เช่นนั้นฉันคงเสียบริษัทไปตลอดกาล”

หลังจากพูดจบประโยคนี้ ฉีถงแสดงสีหน้าอับอายและในเวลาเดียวกันท่าทีของเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดด้วย

เนื่องจากทุนเริ่มแรกของบริษัทเขาเป็นเงินของภรรยา ดังนั้นหากมีเรื่องฟ้องหย่ากันขึ้นมา ศาลจะตัดสินให้แบ่งทรัพย์สินซึ่งแน่นอนว่าบริษัทของเขาคงถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนแล้วหลังจากนั้นเขาจะดำเนินธุรกิจต่อไปอีกได้ยังไงจริงไหม?

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าอย่างเข้าใจเมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมด “ถ้าให้เดาตอนนี้หวังเจามีหลักฐานเรื่องของคุณกับเมียน้อยของคุณใช่ไหม?”

“หืม? นายรู้ได้ยังไงว่าคนที่กดดันฉันเป็นหวังเจา!?”

ฉีถงลุกขึ้นยืนพร้อมกับแสดงสีหน้าตกตะลึงทันที เขาไม่เข้าใจเลยว่าอวี้ฮ่าวหรานรู้ได้ยังไงว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับหวังเจา

คนที่รู้เรื่องนี้มันควรจะมีแค่เขากับหวังเจาไม่ใช่หรือไง?!