เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมตอบอะไร ฉีถงจึงนั่งกลับลงไปที่เก้าอี้ผู้บริหารของเขาเองด้วยสีหน้าครุ่นคิด

“มันเป็นความจริงอย่างที่นายว่า หวังเจามีหลักฐานที่ฉันเลี้ยงดูผู้หญิงคนนั้นจริง ๆ เขาใช้มันในการขู่ให้ฉันทำลายบริษัทชิวเฮิงเพื่อแลกกับการที่เขาจะไม่เอาเรื่องของฉันไปแฉให้เมียฉันรู้”

หลังจากพูดจบ ฉีถงถอนหายใจด้วยความหนักใจ

“ฉันไม่มีทางเลือก บริษัทนี้เป็นความพยายามค่อนชีวิตของฉัน ฉันไม่สามารถทนดูมันหายไปได้ถึงแม้ว่าคนรอบข้างของฉันจะพยายามโน้มน้าวไม่ให้ฉันทำ…แต่ฉันจำเป็นต้องทำจริงๆ”

อวี้ฮ่าวหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า “เข้าใจแล้ว เดี๋ยวผมจะแก้ปัญหานี้ให้คุณเอง ผมจะไปเอาหลักฐานที่หวังเจามีทั้งหมดมามอบให้กับคุณ แต่หลังจากนั้นคุณจะต้องแก้ไขสิ่งที่ทำเอาไว้กับบริษัทชิวเฮิงให้ถูกต้องไม่เช่นนั้นคุณเตรียมตัวสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างได้เลย!”

หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานเดินออกจากออฟฟิศไปในทันที

หลังจากออกมาจากโรงงานของฉีถง อวี้ฮ่าวหรานมีแผนในใจอยู่เรียบร้อยแล้ว เขาโทรหาหลี่หรงทันที

“วันนี้พี่คงกลับบ้านช้า เธอช่วยไปรับถวนถวนให้พี่ด้วยนะ”

“ได้สิพี่เขย ว่าแต่ฉันได้ข่าวว่าตอนนี้บริษัทชิวเฮิงกำลังมีปัญหาเรื่องนี้กระทบถึงพี่หรือเปล่า?” หลี่หรงถามกลับด้วยน้ำเสียงกังวล

“ไม่มีอะไรมากหรอกไม่ต้องกังวล วันนี้ไม่ต้องรอพี่กินข้าว เธอกินข้าวและพาถวนถวนเข้านอนก่อนได้เลย”

หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็วางสายและขับรถมุ่งหน้าไปยังบริษัทไป๋เชาของหวังเจาอย่างรวดเร็ว

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนในที่สุดฟ้าก็มืดลง

ขณะนี้เวลาห้าทุ่มครึ่ง ตึกสำนักงานของบริษัทเวชภัณฑ์ไป๋เชาเงียบสงัดไปเป็นที่เรียบร้อย

อย่างไรก็ตามที่ด้านหลังกำแพงสูงสองเมตร มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนกำลังเดินตรวจตราบริเวณโดยรอยอย่างไม่หยุดหย่อน

เป็นไปตามที่ฉีถงเคยเตือนเขาเอาไว้ ระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่เข้มงวดเป็นอย่างมาก มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนธรรมดาจะแอบเข้าไปข้างในได้โดยไม่ถูกตรวจพบ

แต่กับอวี้ฮ่าวหรานมันไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย

หลังจากกระโดดข้ามกำแพง อวี้ฮ่าวหรานใช้เนตรเทวะตรวจสอบบริเวณโดยรอบหาจุดอับของกล้องวงจรปิดและตำแหน่งที่พวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำอยู่แล้วจากนั้นเขาลอบเข้าไปด้านในตึกสำนักงานได้อย่างเงียบเชียบโดยไม่มีใครจับได้

หลังจากเข้าไปในตึกสำนักงานได้ไม่นาน อวี้ฮ่าวหรานก็ลอบเข้าไปถึงในออฟฟิศของหวังเจาได้สำเร็จ

หากหวังเจาต้องการจะซ่อนหลักฐานของฉีถง ที่นี่น่าจะเป็นที่ ๆ เหมาะสมที่สุด

ขณะนี้ภายในออฟฟิศมืดสนิทไร้แสงไฟ อวี้ฮ่าวหรานใช้เนตรเทวะกวาดสายตามองไปรอบห้องทันทีซึ่งหลังจากสำรวจอยู่สักพักเขาก็เห็นกระเบื้องพื้นที่มุมห้องด้านหนึ่ดูแปลกกว่าจุดอื่น ๆ แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันโคจรพลังวิญญาณเพิ่มเพื่อมองให้ทะลุแผ่นกระเบื้อง จู่ ๆ ที่ด้านนอกกลับมีเสียงคนกำลังเดินเข้ามาใกล้!

“อาเซี่ย ฉันว่าเมื่อกี้ฉันได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวข้างในห้องท่านประธาน?”

“ไม่น่าจะใช่หรอก ใครมันจะสามารถผ่านเวรยามที่แน่นหนาของเราเข้ามาได้ถึงตรงนี้กัน?”

“เข้าไปตรวจดูกันสักหน่อยจะดีกว่า ฉันไม่สบายใจ”

หลังจากคุยกันจบ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนก็เปิดประตูห้องออฟฟิศของหวังเจาเข้ามาและใช้ไฟฉายส่องดูไปทั่ว ๆ ห้อง

“ไม่เห็นจะมีใครเลยนี่นา?”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสอง เดินไปเปิดสวิตช์ไฟของห้องซึ่งพวกเขาก็ยังไม่เห็นใครในห้องอยู่ดีนอกจากพวกเขาเอง

“เอ๊? ทำไมในห้องยังมีรอยฝุ่นจากรองเท้าแบบนี้? มีใครบางคนเข้ามาจริง ๆ งั้นเหรอ?” หนึ่งในเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจ้องเขม็งไปที่รอยเท้าที่อวี้ฮ่าวหรานทิ้งไว้ด้วยสีหน้าสงสัย

“นายคิดมากเกินไปแล้ว จำไม่ได้รึไงว่าเมื่อตอนเย็นวันนี้คนทำความสะอาดห้องท่านประธานขอลาป่วยกลับบ้านไปก่อนดังนั้นหลังจากท่านประธานกลับออกไปมันก็เลยยังไม่มีใครเข้ามาทำความสะอาดห้องนี้ยังไงล่ะ เดี๋ยวตอนเช้าก็มีคนมาทำความสะอาดเองนั่นแหละ ที่นี่ไม่มีใครทั้งนั้น ถ้าจะมีอะไรที่หลุดรอดเข้ามาถึงตรงนี้ได้มันก็คงมีแค่ผีเท่านั้น!”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกคนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

แน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้อวี้ฮ่าวหรานกำลังเกาะอยู่บนมุมเพดานห้องราวกับเป็นไอ้มนุษย์แมงมุมเพื่อหลบสายตาของพวกเขา!

เขากำลังจ้องเขม็งไปที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองด้วยสายตาจดจ่อเตรียมพร้อมว่าถ้าหากเมื่อไหร่ที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพวกนี้เงยหน้าขึ้นมาเขาจะพุ่งเข้าไปจู่โจมให้หมดสติทันที!

“ก็ได้ ๆ ช่างเถอะ ฉันว่าฉันคงหูแว่วไปเองล่ะมั้ง”

“ไม่เป็นไร ไม่ว่ากัน เป็นปกติแหละที่นายจะตื่นตัวมากกว่าเดิมเพราะเจ้านายสั่งย้ำมาขนาดนั้นให้เราตรวจตราทุกที่ในบริษัทให้มากกว่าเดิม ฉันล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าเจ้านายให้เราเฝ้าอะไรกันแน่”

หลังจากตรวจสอบทุกอย่างเรียบร้อย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองคุยกันอีกพักหนึ่งและเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติพวกเขาก็ปิดไฟในห้องและพากันเดินจากไป

อวี้ฮ่าวหรานกระโดดกลับลงมาบนพื้นห้องอย่างเงียบเชียบเมื่อสัมผัสได้ว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองคนได้เดินออกห่างไปแล้ว

ถัดมาเขาเดินไปที่มุมห้องที่เขาสังเกตเห็นว่าแผ่นกระเบื้องมันดูมีร่องรอยถูกจับต้องซึ่งเป็นเรื่องแปลกกว่าพื้นตรงจุดอื่นทันที

เขาใช้เนตรเทวะอีกรอบและคราวนี้เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอะไรมันอยู่หลังกระเบื้องนี้

หลังกระเบื้องนี้มันมีตู้เซฟถูกซ่อนเอาไว้นี่เอง!

อวี้ฮ่าวหรานกดไปที่กลไกเพื่อเปิดแผ่นกระเบื้องอย่างรวดเร็ว และเมื่อตู้เซฟประจักษ์แก่สายตา เขาโคจรพลังวิญญาณจนถึงขีดสุดไปที่แขนทั้งสองข้างของเขาและค่อย ๆ ฉีกประตูตู้เซฟให้เงียบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

หลังจากผ่านไปอีกไม่กี่อึดใจ อวี้ฮ่าวหรานก็ได้เห็นว่าด้านในตู้เซฟนั้นเต็มไปด้วยของมีค่าหลายรายการและมีแฟ้มเล่มหนึ่งวางอยู่

เมื่อเขาเปิดแฟ้มดู ด้านในมีรูปภาพและรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับฉีถงและหญิงสาวอีกคนหนึ่งเต็มไปหมด

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือหลักฐานที่ฉีถงกำลังกังวลอยู่!

จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานใช้เนตรเทวะตรวจสอบอีกรอบเพื่อดูว่ามีหลักฐานอื่น ๆ เหลืออยู่อีกไหมและเมื่อเขาไม่เห็นว่ามีอะไรหลงเหลืออยู่แล้วเขาจึงออกจากออฟฟิศของหวังเจาโดยปิดกระเบื้องที่พื้นให้แนบเนียนเหมือนเดิมราวกับเขาไม่เคยเข้ามาที่นี่

ไอ้หวังเจามันจะต้องตะลึงตาค้างแน่หากมันเปิดแผ่นกระเบื้องออกดู!

เวลาล่วงเลยไปถึงเที่ยงคืนกว่า กว่าเขาจะลอบออกมาจากบริษัทไป๋เชาได้สำเร็จและกลับมาถึงรถตัวเอง

อย่างไรก็ตามตอนนี้มันดึกมากแล้วดังนั้นเขาจึงตัดสินที่จะกลับไปที่คอนโดก่อน แล้วจากนั้นพรุ่งนี้เขาค่อยเอาหลักฐานพวกนี้ไปให้กับฉีถง

อวี้ฮ่าวหรานขับรถกลับไปถึงบ้านตอนตี1กว่า ๆ

เวลาดึกขนาดนี้รอบ ๆ ย่านคอนโดของอวี้ฮ่าวหรานเงียบสงัดหมดแล้ว

แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเปิดประตูห้องเข้าไป เขากลับต้องประหลาดใจที่เห็นว่าหลี่หรงยังคงนั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นดูทีวีอยู่…