บทที่ 115 กระบวนท่าเดียว

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 115 กระบวนท่าเดียว

“ภายในระยะเวลาปีเดียว คนเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้เชียวหรือ? หรือว่าเพราะความทรมานที่ต้องเจอ จึงทำให้ผู้คนได้เติบโตขึ้นกันนะ?”

คฤหาสน์ประจำตำแหน่งขุนนางนักรบสวรรค์ถูกบุกค้นและยึดครอง หลินเป่ยเฉินผู้มีสถานะเป็นเศษขยะไร้ความสามารถประจำเมือง จึงมีโอกาสได้แสดงความสามารถที่แท้จริงออกมา

แม้แต่หลิงอู๋ก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้

เด็กหนุ่มตัดสินใจว่าต้องคอยสังเกตการณ์ต่อไปอย่างใกล้ชิด

ตรงส่วนของเวทีประลองนั้น…

“ทุกคนเข้ามาจับป้ายคู่ประลองได้แล้ว”

เฒ่าทะเลหยิบกระบอกไม้ไผ่ออกมาชิ้นหนึ่ง ด้านในกระบอกบรรจุด้วยแผ่นไม้ที่สลักหมายเลขประจำตัวของแต่ละคนเอาไว้

กลุ่มมือกระบี่ดาวรุ่งสุ่มหยิบแผ่นไม้มาคนละแผ่น

หลินเป่ยเฉินจับได้แผ่นไม้หมายเลข 4

มีคนเข้าร่วมการทดลองทั้งสิ้น 20 กว่าคน ทุกคนจับคู่ประลองกัน ผู้แพ้ต้องตกรอบ ส่วนผู้ชนะก็จะได้เข้ารอบต่อไป

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการประลองกระบี่นับเป็นส่วนที่ตื่นเต้นที่สุด

เมื่อจับคู่กันได้เรียบร้อย คู่แรกที่ต้องขึ้นเวทีก็คือเด็กหนุ่มร่างอ้วนเจ้าของนามปาต้าจุย พบกับอัจฉริยะจากเมืองเซ่อ นามหลิวเหยียนเว่ย

“หลิวเหยียนเว่ย เชิญ”

เด็กหนุ่มร่างอ้วนยัดเนื้อตากแห้งเข้าปาก ก่อนจะชักกระบี่กลืนกินออกจากฝัก

ว่ากันว่าชื่อกระบี่จะสะท้อนถึงตัวตนผู้เป็นเจ้าของ

นับเป็นชื่อที่ถ่ายทอดบุคลิกของเด็กหนุ่มร่างอ้วนได้เป็นอย่างดี

กลืนกิน

กระบี่กลืนกินของเขามีรูปทรงค่อนข้างประหลาดพิสดาร

ตัวกระบี่มีความหนาเท่านิ้วมือคน แต่มีความยาวไม่ต่ำกว่า 6 เซี๊ยะ ทว่า ใบกระบี่กลับมีความอ่อนนุ่มยืดหยุ่น มองแวบแรกจึงดูเหมือนเด็กหนุ่มกำลังถือแส้อยู่ในมือ และเมื่อพิจารณากระบี่ของปาต้าจุยให้ดีแล้ว ก็จะพบว่าบนสันกระบี่มีเงี่ยงแหลมแทงตัวขึ้นมามากมาย มิหนำซ้ำ ใบกระบี่ยังมีเกล็ดเหมือนเกล็ดงูเหลือมประดับอยู่อีกด้วย

งูเหลือมที่สามารถกลืนกินเหยื่อซึ่งตัวใหญ่มากกว่าตนเองหลายเท่า

กระบี่เล่มนี้มีนามว่ากลืนกิน นับว่าเหมาะสมกันจริงๆ

“เชิญ”

ส่วนกระบี่ในมือหลิวเหยียนเว่ยมีด้ามจับสีดำ ใบกระบี่เป็นทองคำ นามของมันคือกระบี่จันดารา

เมื่อเด็กหนุ่มทั้งสองคนคำนับกันแล้ว พวกเขาก็เปิดฉากต่อสู้กันทันที

วิชาที่ใช้ต่อสู้กันก็คือวิชากระบี่สายน้ำไหล

ถึงจะใช้วิชาเดียวกัน แต่ด้วยระดับฝีมือที่แตกต่างกัน ก็ทำให้กระบวนท่าที่ใช้ออกมาไม่เหมือนกัน

เด็กหนุ่มทั้งสองคนนี้ถือเป็นอัจฉริยะประจำเมืองของตนเอง พวกเขามีความยอดเยี่ยมไม่เป็นสองรองใคร เมื่อมีโอกาสศึกษาคัมภีร์เพียง 2 ก้านธูป ก็สามารถใช้งานวิชากระบี่สายน้ำไหลได้ถึง 21 กระบวนท่าแล้ว

แต่การตัดสินผู้แพ้ผู้ชนะ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

กระบี่กลืนกินในมือของเด็กหนุ่มร่างอ้วน อาศัยกระบวนท่าหนึ่งของวิชากระบี่สายน้ำไหล ตวัดรัดพันรอบลำคอของหลิวเหยียนเว่ย และคว้าชัยชนะไปได้ในที่สุด

“หุหุ หลิวเหยียนเว่ย นับว่าเจ้าออมมือให้ข้าแล้ว”

ปาต้าจุยดึงกระบี่กลับคืนมา ก่อนจะรีบยัดผลไม้แห้งอีกหลายชิ้นเข้าปาก

เมื่อทุกคนเห็นดังนั้น ก็พูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะต้องกินอาหารอยู่ตลอดเวลาจริงๆ

หลู่เฟิงและฉยงหลินเป็นคู่ประลองถัดไป

นี่คือการเผชิญหน้ากันของมือกระบี่เด็กหนุ่มและเด็กสาว สุดท้าย มือกระบี่เด็กสาวฉยงหลินก็ได้รับชัยชนะในท้ายที่สุด

หลังจากนั้น การประลองผ่านไปอีกสองคู่

ซ้งเชวอี้และหมิงลั่วเถียนคือผู้ที่ได้เข้ารอบต่อไป

เมื่อมาถึงการประลองคู่ที่ห้า ก็ถึงคราวของไป๋ชินหยุนก้าวเดินขึ้นไปบนเวที

แต่คู่ต่อสู้ของนางกลับเป็นเฉาพั่วเถียน

ผลการต่อสู้ครั้งนี้ไม่นอกเหนือความคาดหมาย

เมื่อชักกระบี่ออกมา เฉาพั่วเถียนใช้เพียงกระบวนท่าเดียว ก็สามารถส่งร่างของไป๋ชินหยุนลอยกระเด็นไปไกล 5 วาเศษ และเมื่อร่างของเด็กสาวร่วงหล่นกระแทกพื้นดิน มุมปากของนางก็มีเลือดไหลซึมออกมา ส่วนดาบใหญ่ในมือ ก็ปลิวกระเด็นไปเสียบตรึงอยู่กับเสาหินข้างตัวหลินเป่ยเฉิน

“กระบวนท่าเดียวก็ตั้งรับไม่ได้เสียแล้ว” เฉาพั่วเถียนหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวเดินลงจากเวทีประลอง

กลุ่มคนผู้เข้าร่วมงานต่างก็ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง

ใครจะไปคิดเลยว่าความห่างชั้นของระดับพลังทั้งสองฝ่ายจะมากมายขนาดนี้?

แน่นอนว่าไป๋ชินหยุนเป็นผู้ที่มีพลังต่ำต้อยที่สุดในหมู่มือกระบี่ดาวรุ่งกลุ่มนี้

แต่เมื่อวิเคราะห์จากการคัดเลือกอาวุธประจำกาย ไป๋ชินหยุนก็แสดงให้เห็นแล้วว่าระดับพลังของนางไม่ธรรมดา

โดยเฉพาะการใช้วิชากระบี่สายน้ำไหล ซึ่งดูๆ ไปแล้ว ไป๋ชินหยุนไม่ได้มีความอ่อนด้อยไปกว่าฉยงหลิน ซึ่งผ่านเข้ารอบไปก่อนหน้านี้เลยสักนิด

นั่นหมายความว่าเฉาพั่วเถียนมีความเก่งกาจมากเกินไป

ทันทีที่เขาชักกระบี่พิฆาตสวรรค์ เสียงของคลื่นน้ำจำนวนมหาศาลสาดซัดใส่ชายฝั่งก็ดังขึ้นรอบกาย

เวลาเพียง 2 ก้านธูป เฉาพั่วเถียนกลับสามารถศึกษาคัมภีร์กระบี่สายน้ำไหลได้ดีถึงเพียงนี้

นับว่ามีฝีมือสะเทือนฟ้าดินจริงๆ

การฝึกฝนวิทยายุทธ์ในแต่ละวิชา จะแบ่งออกเป็น 5 ส่วน และในขณะนี้ เฉาพั่วเถียนก้าวขึ้นสู่ขั้นปลายของส่วนที่ 2 แล้ว

ช่างน่าเหลือเชื่อเหลือเกิน

ใช้เวลาเพียง 2 ก้านธูป เฉาพั่วเถียนก็สามารถฝึกฝนวิชากระบี่ระดับ 2 ดาวได้ถึงขั้นนี้

หากให้เวลาเขาได้ศึกษาทั้งวัน เกรงว่าคงบรรลุเคล็ดวิชาทั้งเล่มแล้ว

ถือว่ามีฝีมือควรค่าต่อการเคารพยำเกรงโดยแท้

กลุ่มมือกระบี่ดาวรุ่งต่างก็จ้องมองเฉาพั่วเถียนด้วยแววตาหวาดกลัว

กลุ่มมือกระบี่อาวุโสแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาโดยไม่ปิดบัง

ส่วนไป๋ไห่ชินกำลังยิ้มแย้มด้วยความพอใจ

เฉาพั่วเถียนมีทักษะการใช้กระบี่ที่เก่งกาจหาตัวจับยากอยู่แล้ว มิเช่นนั้น เขาคงไม่แย่งชิงตัวเด็กหนุ่มผมทองมาจากติงซานฉือเป็นแน่แท้

ไป๋ไห่ชินทุ่มเททุกอย่างเพื่อพัฒนาเฉาพั่วเถียนให้สมบูรณ์แบบ ฝึกฝนให้เด็กหนุ่มกลายเป็นมือกระบี่ที่แท้จริง และควรค่าที่เขาจะฝากความหวังเอาไว้

ไป๋ชินหยุนไม่พูดอะไรออกมาสักคำ นางเพียงยกมือปาดเลือดที่มุมปาก แล้วเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะของตนเอง

หลินเป่ยเฉินสอบถามว่า “เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”

“ข้าไม่เป็นไร” เด็กสาวเชิดหน้าตอบด้วยน้ำเสียงโกรธกริ้ว “ข้ารู้ว่าท่านกำลังจะพูดอะไร ไม่ต้องมาปลอบโยนข้าหรอก ข้าไม่ใช่คนที่ยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ ขณะนี้ข้ามีอายุน้อยกว่าเขา 3 ปี ซ้ำยังเริ่มต้นศึกษากระบี่ทีหลัง วันนี้ข้าจะพ่ายแพ้ก็ถือเป็นเรื่องปกติ ข้ายังมีเวลาอีกมากมาย อีกไม่กี่ปีข้างหน้า ข้าจะต้องฆ่าเขาให้ได้ด้วยดาบใหญ่ของข้าเอง”

“โอ้โห มีจิตวิญญาณนักสู้เปี่ยมล้นเลยเว้ยเฮ้ย คนอะไรจะมองโลกแง่บวกได้ขนาดนี้”

“ฮ่าฮ่า คนแซ่หลิน ออกมาเดี๋ยวนี้ ถึงตาของเจ้าแล้ว”

เด็กหนุ่มผมแดงหน้าเหลี่ยมนามเสว่เหยียนแทบทนรอไม่ไหวอีกต่อไป เขากระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนเวที หันกลับมากวักมือเรียกหลินเป่ยเฉิน “ข้าอยากเห็นเจ้าถูกทำลายเต็มแก่แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า กระบี่ในมือข้ามันอยากดื่มเลือดของเจ้าแล้วสิ”

หลินเป่ยเฉินก้มหน้ามองอาวุธทั้ง 3 ชิ้นของตนเอง

สุดท้าย เขาก็เลือกถือกริชเจิ้งอี้เดินขึ้นไปบนเวที

“ป๊าดติโถ เจ้าคิดจะใช้กริชสู้กับกระบี่งั้นหรือ?” เสว่เหยียนยิ้มอวดฟันขาววับ พูดว่า “ข้าให้โอกาสเจ้าเดินกลับไปหยิบดาบศีลธรรมมาซะ มิฉะนั้นแล้ว กริชของเจ้าเล่มนี้ ย่อมไม่อาจต้านทานการโจมตีของข้าได้แน่นอน”

หลินเป่ยเฉินตอบกลับว่า “กระบวนท่าเดียวเท่านั้น”

“อะไรนะ?” เสว่เหยียนไม่เข้าใจ

หลินเป่ยเฉินกล่าวว่า “หากข้าไม่สามารถเอาชนะเจ้าได้ในกระบวนท่าเดียว ให้ถือว่าข้าพ่ายแพ้ก็แล้วกัน”

เสว่เหยียนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนตัวโยน สีหน้ากลับกลายเป็นดุร้าย แยกเขี้ยวยิ้ม “เจ้าแกะดำ กล้าดีอย่างไรมาดูถูกข้าขนาดนี้ ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้าเป็นใคร แต่ในเมื่อเจ้ากล้าทำตัวอวดดีต่อหน้าข้า ข้าก็จะทำให้เจ้าได้รู้รสชาติ ว่าความพ่ายแพ้อย่างหมดท่ามันเป็นเช่นไร…”

“เลิกพูดมากได้แล้ว” หลินเป่ยเฉินขัดจังหวะด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย “ลงมือโจมตีเถอะ”

“อวดดีนัก”

เสว่เหยียนเดือดดาลจนเส้นผมสีแดงตั้งชัน เขาลงมือโจมตีด้วยกระบี่แหลมคมในมือ

ในอากาศพลันบังเกิดเสียงสายน้ำไหล

ถึงกับมีภาพคลื่นน้ำเลือนลางขึ้นในอากาศด้วยซ้ำ

กระบี่ในมือของเสว่เหยียนพุ่งตรงเข้ามาพร้อมกับพลังกดดันของคลื่นน้ำหนักหน่วง

“ยอดเยี่ยม” หนึ่งในมือกระบี่อาวุโสอดชื่นชมไม่ได้

เสว่เหยียนเป็นมือกระบี่ดาวรุ่งอันดับหนึ่งจากเมืองหยิน เมื่อลงมือโจมตี ก็ใช้วิชากระบี่สายน้ำไหลกระบวนท่าที่ 21 แล้ว

หลินเป่ยเฉินยังคงยืนอยู่ที่เดิม รอรับการโจมตีของกระบวนท่าคลื่นน้ำทลายฟ้าด้วยสีหน้าสบายใจ

แล้วในจังหวะนั้นเอง…

“วูบ!”

กริชเจิ้งอี้ในมือของเขาก็ตวัดแทงออกไปข้างหน้า

เป็นกระบวนท่าที่เรียบง่ายธรรมดา

เป็นกระบวนท่าแรกของวิชากระบี่สายน้ำไหล

“ครืน!”

เสียงคลื่นทะเลซัดใส่ชายฝั่งดังสะเทือนเลือนลั่น

“เคล้ง!”

เสียงโลหะถูกกระทบอย่างแรง

“ฟู่…”

เสว่เหยียนลอยกระเด็นตีลังกา กระบี่คู่กายปลิวหลุดออกจากมือ