ตอนที่ 51 คิดแต่เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ
“เอ่อ…” หยุนลี่จงชำเลืองมองแม่นางจ้าวแล้วกล่าวว่า “หากข้าได้เป็นขุนนาง ค่าสินสอดของซิ่วเอ๋อจะเพิ่มขึ้นราวกับกระแสน้ำ และเมื่อพูดถึงเรื่องความงามแล้ว ซิ่วเอ๋อไม่เป็นสองรองใครแน่นอน ซึ่งพวกตระกูลหยูไม่คู่ควรกับนางอยู่แล้วขอรับ”
ทั้งหมดที่เขาพูดมาไม่ใช่การโอ้อวดแต่อย่างใด
บุตรสาวและบุตรชายของตระกูลหยูนล้วนแต่หน้าตาหล่อเหลาและงดงาม ไม่เป็นรองผู้ใด
หยุนซิ่วได้โครงหน้ารูปไข่และความงามที่หวานหยดย้อยมาจากมารดา อีกทั้งได้ริมฝีปากกระจับได้รูป จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วเรียวดั่งคันศร และดวงตากลมโตมาจากบิดา
เนื่องจากหยุนลี่จงและหยุนซิ่วเอ๋อไม่ได้ทนตรากตรำทำนากลางแดดร้อน พวกเขาจึงมีผิวขาวราวกับผู้ดี ซึ่งคนหนึ่งเป็นบัณฑิต ส่วนอีกคนหนึ่งคือสาวงามระดับต้น ๆ ของหมู่บ้าน
หยุนซิ่วเอนกายพิงขอบหน้าต่างพลางยกกระจกทองเหลืองขึ้นส่อง
นางไม่เอ่ยคำใด ทว่าในใจกลับครุ่นคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น
ตระกูลหยูเป็นเจ้าของร้านชำในเมืองซึ่งถือว่ามีฐานะไม่เลว และแน่นอนว่าหากแต่งงานกับเขา นางไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องเสื้อผ้าหรืออาหารเลย แต่ข้อเสียคือเธอไม่ประสงค์ที่จะแยกตัวออกมาจากครอบครัวใหญ่
ด้วยรูปลักษณ์ของนาง แม้พี่ชายไม่ได้เป็นขุนนาง แต่นางก็สามารถหาสามีที่ร่ำรวยและใช้ชีวิตสุขสบายโดยมีคนรับใช้คอยปรนนิบัติเหมือนกับเหอเย่เอ๋อได้!
“ซิ่วเอ๋อ เจ้างดงามราวกับนางสวรรค์แล้ว!” แม่นางจ้าวเดินเข้ามาในห้องพร้อมล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อ “ดูสิ ข้าตั้งใจปักให้เจ้าเลยนะ”
ฝีมือการเย็บปักถักร้อยของแม่นางจ้าวนั้นวิจิตรบรรจงยิ่ง เส้นไหมสีขาวถูกปักลงบนขอบผ้าซาติน ในขณะที่มุมหนึ่งถูกปักเป็นรูปดอกท้ออย่างประณีต
กลีบดอกสีชมพูและกลีบใบสีเขียวช่างงดงามนัก แม้แต่เกสรตัวผู้ยังสามารถมองเห็นได้ชัดเจน
หยุนซิ่ววางกระจกทองเหลืองลงก่อนยื่นมือรับผ้าเช็ดหน้าและสัมผัสมันอย่างแผ่วเบาก่อนเอ่ยถาม “โอ้ พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านจะตัดเสื้อผ้าใหม่อีกแล้วหรือ?”
แม่นางจ้าวใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากพลางหัวเราะ “ข้าจะมีวาสนาใส่ชุดผ้าไหมคุณภาพดีเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าบังเอิญได้มันมาจากร้านผ้าในเมืองน่ะ แม้จะดูผืนเล็กไปบ้างแต่มันมีราคาถึงยี่สิบเหรียญเชียวนะ!”
หยุนซิ่วเอ๋อแค่นเสียงพลางสะบัดผ้าเช็ดหน้าด้วยความรังเกียจ
นิสัยของนางถอดแบบมาจากแม่นางจูไม่มีผิด แม้ภายในใจจะรู้สึกดีใจมากเพียงใด แต่ก็ต้องเก็บงำเอาไว้ เพราะนางคิดว่าการแสดงออกเช่นนี้จะทำให้คนอื่นเกรงกลัว ดังนั้นแม่นางจ้าวจึงประจบสอพลอน้องสาวของสามีเพื่อเอาตัวรอด
“ประจบน้องด้วยผ้าเช็ดหน้าหรือ?” หญิงชราจ้องมองแม่นางจ้าวขณะนั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียง “หากเจ้ามีความสามารถจริง ก็ทำเครื่องประดับเงินและทองมาให้ซิ่วเอ๋อใช้สิ เพื่อที่นางจะได้มีเครื่องประดับที่งดงามและราคาแพงไม่ด้อยไปกว่าผู้ใด”
หยุนซิ่วเอ๋อสะบัดแขนเสื้อก่อนเชิดหน้าขึ้นราวกับห่านพลางเดินไปนั่งข้างมารดา
“ท่านแม่ ซิ่วเอ๋อมีพร้อมทุกสิ่งแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ!” แม่นางจ้าวกล่าวพลางเผยสีหน้ายิ้มแย้มพลางมองไปรอบ ๆ ก่อนกล่าวคำเบา “ข้าไปสืบหารายชื่อลูกชายของเหล่าขุนนางและเศรษฐีในเมืองอันผิงมาแล้วเจ้าค่ะ”
“ตระกูลของหลิวหยวนเว่ยครอบครองที่ดินหลายพันไร่ อีกทั้งเป็นเจ้าของร้านค้าไม่ต่ำกว่าสิบแห่ง เขามีลูกชายสามคน ซึ่งลูกชายคนโตมีอายุสิบเจ็ดเป็นบัณฑิต และที่สำคัญยังไม่ได้แต่งงานเจ้าค่ะ”
“ตระกูลซูมีจวนที่กว้างขวางราวกับพระราชวังอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง พวกเขามีสาวใช้คอยปรนนิบัติตลอดเวลา อีกทั้งข้าได้ยินมาว่ามีคนในตระกูลนี้เป็นถึงขุนนางชั้นสูงในราชสำนักด้วยเจ้าค่ะ…”
“นอกจากนี้ยังมีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านเจ้าเมืองที่ยังไม่ได้แต่งงาน…”
เมื่อได้ยินสิ่งที่แม่นางจ้าวพูดมา หยุนซิ่วเอ๋อก็กำผ้าเช็ดหน้าแน่นและดวงตาเปล่งประกายทันที
“แค่ก ๆ” ผู้เฒ่าหยุนแสร้งไอออกมา
เขาไม่ใช่เด็กและคนโง่เขลาที่จะเชื่ออะไรง่าย ๆ
“ข้าจะเดินทางไปพูดคุยกับผู้เฒ่าหยวนเว่ย” ชายชรามองหยุนลี่จงด้วยสายตาที่คาดเดาอารมณ์ไม่ได้ “ลูกชาย เจ้าเตรียมตัวสำหรับการสอบฤดูใบไม้ร่วงไปถึงไหนแล้ว”
“ข้าศึกษาตำราทุกวันไม่มีหยุดพักเลยขอรับ” หยุนลี่จงตอบด้วยความเคารพ
“ดี…” ผู้เฒ่าหยุนพยักหน้า “ลูกชายคนรองแยกครอบครัวออกไปแล้ว และการแต่งงานของซิ่วเอ๋อก็ถูกยกเลิกไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้… เจ้าคือเสาหลักของบ้านแล้ว”
ผู้เฒ่าหยุนมีนิสัยทะนงตนและรักศักดิ์ศรี เพื่อทำให้ครอบครัวอยู่สุขสบาย เขาจึงยอมทำเรื่องน่าเกลียดลงไป หากหยุนลี่จงยังสอบไม่ผ่าน ทุกอย่างที่ทำมาจะสูญเปล่าทันที อีกทั้งตระกูลของเขาต้องถูกชาวบ้านหัวเราะเยาะเป็นแน่
“ท่านพ่อ ข้ารู้ดีแก่ใจขอรับ” หยุนลี่จงส่ายศีรษะพลางโค้งคำนับบิดา “ข้าจดจำได้ขึ้นใจ เพียงแต่…”
เขากล่าวพลางเงยหน้าขึ้นด้วยความกระดาก
เมื่อได้ยินคำว่า ‘เพียงแต่’ ผู้เฒ่าหยุนก็ขมวดคิ้วทันที
“พูดมาสิว่าเพียงแต่อะไร?”
หยุนลี่จงเหลือบมองแม่นางจ้าวก่อนก้มศีรษะด้วยความเคารพ “เพียงแต่ผู้เข้าสอบคนอื่นใช้เงินติดสินบน…”
ยังไม่ทันที่หยุนลี่จงจะพูดจบ พ่อเฒ่าหยุนก็ใช้ฝ่ามือทุบโต๊ะอย่างแรง “บัดซบ! เจ้าศึกษาตำรามากกว่ายี่สิบปีแล้ว เจ้าไม่ละอายใจบ้างหรือที่คิดจะทำเรื่องสกปรกเช่นนี้!”
“ท่านพ่ออย่าเพิ่งโกรธขอรับ ฟังข้าก่อน” หยุนลี่จงถอนหายใจด้วยความอับอาย “ข้าเข้าใจดีว่าบัณฑิตควรมีจิตใจบริสุทธิ์ แต่ทุกวันนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว!”
“ผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ หารือกันว่าพวกเขาจะรวบรวมเงินจำนวนหนึ่งมอบให้ผู้คุมสอบ หากไม่ทำเช่นนั้น ข้าจะต้องสอบตกและตระกูลของเราจะอับอายนะขอรับ…”
แม่นางจ้าวรีบกล่าวเสริม “ท่านพ่อ เราจะเพิกเฉยต่ออนาคตของท่านพี่ เพียงเพราะตระหนี่เงินจำนวนเล็กน้อยไม่ได้นะเจ้าคะ ภายภาคหน้าหากท่านพี่ได้เป็นขุนนาง เงินที่เราจะได้ย่อมมากกว่าที่เสียไปแน่นอนเจ้าค่ะ…”
คิ้วของผู้เฒ่าขมวดแน่น ขณะที่ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ
“ตึง!” แม่เฒ่าจูขว้างกรรไกรออกไปอย่างเต็มแรงพลางขมวดคิ้ว “เจ้าไม่ใช้ความคิดบ้างหรือว่าหากชาวบ้านรู้เข้าจะเป็นอย่างไร! ข้าแก่จนจะลงโลงอยู่แล้ว เจ้าจะทำให้ข้าอับอายไปถึงไหน! ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย!”
แม่เฒ่าจูตบหน้าขาของตนเองพร้อมก่นด่าชุดใหญ่ ก่อนหันไปมองหยุนลี่เซี่ยวที่เพิ่งเปิดประตูห้อง
เขากระแทกประตูอย่างแรงจนเกิดเสียง ‘ปัง’
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ขอเงินอีกแล้วหรือ!” ลูกชายคนที่สามของตระกูลหยุนเดินกระทืบเท้าเขามาในห้องด้วยความโมโห
“ท่านแม่ต้องการให้ท่านพี่สอบผ่านมาตลอดไม่ใช่หรือเจ้าคะ” แม่นางจ้าวขมวดคิ้วพลางรินน้ำชาให้แม่เฒ่าจูก่อนเขยิบเข้าไปนั่งข้างนาง
“ท่านแม่รู้หรือไม่ว่าข้ากับท่านพี่ทำเช่นนี้เพื่ออะไร? เพื่อเป็นที่เชิดหน้าชูตาของท่านอย่างไรล่ะเจ้าคะ
“ลองคิดดูสิเจ้าคะ หากท่านพี่ได้เป็นขุนนาง ครอบครัวของเราจะมั่งคั่งเพียงใด”
“เมื่อถึงยามนั้นท่านพ่อ ท่านแม่ และซิ่วเอ๋อจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย มีเงินให้ใช้ไม่ขาดมือนะเจ้าคะ…”
หยุนลี่เซี่ยวนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนเหยียดเท้าและเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ราวกับไม่มีกระดูกสันหลัง “พี่สะใภ้ใหญ่อย่าเป่าหูท่านแม่สิขอรับ หากเงินจำนวนนั้นตกไปอยู่ในมือของท่าน มีหวังมันต้องสูญเปล่าแน่!”
“หลายปีมานี้ พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ผลาญเงินของตระกูลไปเท่าไรแล้วล่ะ?”
“เฉาซิ่วไฉ่ที่อยู่หมู่บ้านข้าง ๆ เขาเป็นอาจารย์ที่สอนอยู่ในเมืองแต่ยังรับจ้างซ่อมแซมเสื้อผ้าเพื่อหารายได้เสริมมาจุนเจือครอบครัวได้เลยนะขอรับ”
“ท่านพ่อไม่พูดอะไรหน่อยหรือ เหตุใดข้าถึงต้องทำงานหาเงินอย่างหนักเพื่อให้พวกเขาถึงเล่นด้วยเล่า?”