ตอนที่ 50 ความมั่นใจอันล้นเหลือ

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 50 ความมั่นใจอันล้นเหลือ

ถุงเงินหนักอึ้งส่งเสียงอันไพเราะทุกครั้งที่เขย่า

ทุกคนในครอบครัวเว้นแต่เสี่ยวอู่ต่างเบิกตากว้างราวกับมันจะถลนออกมา

“เชวี่ยเอ๋อ เจ้าเอาเงินมากมายขนาดนี้มาจากที่ใด?” หยุนลี่เต๋อเอ่ยถามพลางเผยสีหน้าจริงจัง

“ใช่ เรายังไม่ได้นำเนื้อสัตว์ป่าที่พ่อเจ้าล่าได้ไปขายเลย แล้วเจ้าเอาเงินเหล่านี้มาจากที่ใด?” แม่นางเหลียนเอ่ยถามด้วยความกังวล

หยุนเชวี่ยตกตะลึงกับคำถามของบิดาและมารดา “ท่านพ่อท่านแม่คิดว่าข้าไปขโมยเงินถุงนี้มาหรือเจ้าคะ?”

หยุนลี่เต๋อ…

แม่นางเหลียน…

หยุนเยี่ยน…

ทั้งสามคนจ้องมองหยุนเชวี่ยเป็นตาเดียวกัน มีเพียงเสี่ยวอู่เท่านั้นทำตัวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“โอ้…ข้าเอาลูกบ๊วยไปขายที่ในเมืองกับเหอยาโถวน่ะ” หยุนเชวี่ยมีท่าทีอึกอัก

แท้จริงแล้วนางอยากให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า… ตอนนี้มีเพียงความประหลาดใจแต่ไม่มีความตื้นตัน…

“ลูกบ๊วยหรือ?”

“เราไม่ได้ปลูกต้นพลัมสักต้น แล้วเจ้าเอามันมาจากที่ใด?”

“เงินทั้งหมดนี้ได้มาจากการขายลูกบ๊วยในช่วงเช้าหรือ?”

หยุนเชวี่ยเกาศีรษะพลางลอบถอนหายใจ เมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของทั้งสามคน

“ข้าฝากพี่เยี่ยเอ๋อสั่งมันมาจากทางใต้ซึ่งเป็นเงินทั้งหมดแปดสิบเหรียญ และเมื่อหักต้นทุนแล้วข้าต้องแบ่งเงินกับเหอยาโถวคนละครึ่ง”

เมื่อฟังคำอธิบายแล้ว หยุนลี่เต๋อและแม่นางเหลียนจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ลำบากเจ้าแล้ว” แม่นางเหลียนกล่าวด้วยความเศร้าใจ “อากาศวันนี้ร้อนอบอ้าวมาก แต่เจ้ายังอุตส่าห์เดินทางท่ามกลางแดดร้อนเข้าไปในเมืองเพื่อขายลูกบ๊วยโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย”

“แค่เห็นเงินที่ได้มา ข้าก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง” หยุนเชวี่ยเขย่าถุงเงินด้วยความพึงพอใจ “เสียงของมันช่างไพเราะเหลือเกิน!”

“พรืด…” หยุนเยี่ยนรู้สึกขบขันกับความเห็นแก่เงินของน้องสาว

“ท่านแม่ ครั้งนี้ข้ายังให้เงินทั้งหมดแก่ท่านไม่ได้ เพราะข้ายังต้องเก็บเงินก้อนนี้ไว้ทำทุนต่อไป!” หยุนเชวี่ยกล่าวพลางกอดถุงเงินไว้ในอ้อมแขน

แม่นางเหลียนยกยิ้มพลางมองลูกสาวด้วยสายตาเอ็นดู “ดูสิ เชวี่ยเอ๋อของเราจะเป็นเศรษฐีแล้ว!”

เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของทั้งห้าคนพลันดังขึ้น

ขณะเดียวกัน ความโกรธคุกรุ่นอยู่ภายในห้องโถงของบ้านหลังถัดไป “การแต่งงานจะถูกจัดขึ้นแน่นอน ไม่มีใครหน้าไหนคัดค้านได้ทั้งนั้น!”

เมื่อได้ยินเสียงตะโกน หยุนเชวี่ยจึงเงยหน้าขึ้นจากจานอาหารและเงี่ยหูฟังทันที

“พวกเรายังไม่ได้ให้คำมั่นกับตระหยูเสียหน่อย จะให้จัดงานแต่งได้อย่างไร?” หยุนลี่จงเถียงกลับ

“คราวที่ครอบครัวของเราจ้างแม่สื่อมาทาบทาม เป็นครอบครัวหยุนไม่ใช่หรือที่ตอบตกลง โดยคุยกันว่าสินสอดจะประกอบด้วยเงินสดห้าสิบตำลึง ที่นาอุดมสมบูรณ์ห้าไร่ วัวสองตัว และเกวียนหนึ่งคัน แต่เหตุใดตอนนี้ครอบครัวของเจ้าถึงพลิกลิ้น!” ชายที่มาจากตระกูลหยูใช่ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะด้วยความโมโห

“เฮ้อ…” หยุนเชวี่ยถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย “ชีวิตของท่านอาซิ่วเอ๋อช่างมีสีสันเสียจริง!”

ตามธรรมเนียมแล้ว หากคนที่มีฐานะเท่ากันหรือใกล้เคียงต้องการแต่งงานกัน พวกเขาจะเรียกสินสอดทองหมั้นเป็นเงินสดประมาณสิบหรือยี่สิบตำลึง ส่วนการแต่งงานกันคนที่มีฐานะด้อยกว่าสินสอดทองหมั้นจะประกอบด้วยเหล้าหมักและหมูสองตัวก็ย่อมได้ ซึ่งภายในหมู่บ้านไป่ซี การเรียกสินสอดเป็นเงินสด ที่ดิน และปศุสัตว์นั้นนอกจากลูกสาวของตระกูลเหอแล้ว หยุนซิ่วเอ๋อนับว่าเป็นคนแรก

“ตระกูลหยุนของข้าไม่ได้ตอบตกลงเรื่องสินสอดสักหน่อย เหตุใดเจ้าถึงพูดพล่อย ๆ เช่นนี้!” หยุนลี่จงตะโกนเสียงดัง “ท่านทั้งสองไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว เชิญกลับขอรับ!”

“คราก่อนตกปากรับคำแม่สื่อเรื่องสินสอดเสียดิบดี แต่พอครานี้กลับกลืนน้ำลายตนเองและเรียกค่าสินสอดเป็นเงินห้าร้อยตำลึงและที่ดินหนึ่งร้อนไร่ กลับกลอกอะไรเช่นนี้!” ผู้หญิงรูปร่างอ้วนเตี้ยที่มาจากตระกูลหยูตะโกนอย่างฉุนเฉียวก่อนตบต้นขาตนเองพลางลุกยืนขึ้น “ตระกูลหยุนจงใจทำให้พวกข้าอับอาย…”

หยุนเชวี่ยสำลักน้ำซุปพลางจ้องเขม็งไปยังบ้านหลังถัดไป

เงินสดห้าร้อยตำลึง…

ที่นาหนึ่งร้อยไร่…

เหตุใดถึงกล้าเรียกสินสอดสูงเพียงนี้! พวกเขาอยากรวยทางลัดหรือ?

“ท่านผู้เฒ่า พูดเกินไปแล้ว! ท่านมาพูดถึงเรื่องแต่งงานไม่ใช่หรือ…” หยุนลี่จงส่ายศีรษะพลางหายใจเข้าลึก

“ท่านผู้เฒ่าหยุน ท่านเป็นคนพูดเองใช่หรือไม่ว่าตระกูลหยุนจะตกลงแต่งงาน หากฝ่ายชายมีสินสอดครบถ้วนตามที่ท่านเรียก?” หญิงอ้วนชี้ไปที่หยุนลี่จงด้วยความโมโห “เป็นถึงบัณฑิต แต่มีนิสัยปลิ้นปล้อน!”

หยุนลี่จงถึงกับสำลักน้ำลาย…

“พอได้แล้ว!” ผู้เฒ่าหยุนขว้างกาน้ำชาออกไปอย่างเต็มแรง

“การแต่งงานและเรื่องงานแต่งถือเป็นการตัดสินใจของพ่อแม่ แม่สื่อไม่มีสิทธิมายุ่งเกี่ยว และงานแต่งก็จะไม่ถูกจัดขึ้น หากข้ายังไม่ตอบตกลง!”

หลังจากพูดจบ ผู้เฒ่าหยุนก็เดินออกจากห้องโถงไปด้วยสีหน้าถมึงทึง

หยุนลี่เต๋อเดินตามบิดาออกจากห้อง ก่อนเดินไปบริเวณลานหน้าบ้านทางตะวันตก “น้องรอง มัวแต่ทำอะไรอยู่ รีบส่งแขกสิ”

หยุนเชวี่ยกลอกตา

หยุนลี่เต๋อผู้จิตใจดีและจริงใจขานรับ ก่อนเชิญผู้เฒ่าจากตระกูลหยูที่ก่นด่าตระกูลหยุนไม่ขาดปากออกไปด้วยความสุภาพ

ทันทีที่ประตูบ้านของตระกูลหยุนปิดสนิท เสียงสาปแช่งของแม่เฒ่าจูก็ดังออกมาจากห้องชั้นบน

“ใครจะอยากยกซิ่วเอ๋อให้กับลูกชายร้านขายของชำกัน! ฝันไปเถอะ พวกคางคกอยากกินเนื้อหงส์ไม่เจียมตัวเสียเลย! ซิ่วเอ๋อเป็นถึงสาวงามผู้เพียบพร้อม ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนนางไม่มีวันแต่งเข้าตระกูลหยูแน่!”

หยุนเชวี่ยไม่เข้าใจจริง ๆ ว่านางเอาความมั่นใจเหล่านี้มาจากที่ใด

หยุนลี่จงยังไม่ผ่านการทดสอบ แม่เฒ่าจูยังทะนงตนถึงเพียงนี้ หากเขาสอบขุนนางผ่านวันใด หยุนซิ่วเอ๋อที่มีนิสัยคล้ายมารดาคงอวดดีจนไม่มีตระกูลไหนทนได้แน่

เสียง ‘ตึง’ ดังมาจากปีกตะวันออกของบ้าน

แม่นางจ้าวเดินเข้าไปในห้องของแม่เฒ่าจูด้วยรอยยิ้มเปื้อนบนใบหน้า

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ หยุนเชวี่ยรู้สึกเพลิดเพลินใจเพราะในที่สุดแม่เฒ่าจูก็หยุดก่นด่า

“ลูกสะใภ้สาม เจ้าขี้เกียจเกินไปแล้ว! ทำอาหารแค่นี้ยังใช้เวลาร่วมชั่วโมง! หรือว่าเจ้ารอให้คนแก่เช่นข้าออกไปรับใช้! ทำตัวไร้ประโยชน์เข้าไปทุกวัน”

แม่นางเฉินเดินตึงตังออกจากบ้านพลางเบ้ปากและกลอกตา

นางไม่กล้าตะโกนเถียงแม่เฒ่าจู จึงทำได้เพียงบ่มพึมพำกับตนเอง

“ข้ากับสามีทำงานบ้านงานเรือนทุกอย่าง แต่ก็ยังไม่วายถูกตำหนิ เหตุใดชีวิตช่างยากเย็นเช่นนี้…”

หยุนลี่เซี่ยวเอนหลังพิงประตูพลางอ้าปากหาวอย่างเกียจคร้าน “ท่านพ่อ ในเมื่อตระกูลหยูเตรียมสินสอดมาครบแล้ว เหตุใดท่านถึงไม่ยกซิ่วเอ๋อให้เขาเล่า… เงินสดห้าสิบตำลึงไม่ใช่น้อย ๆ เลยนะขอรับ!”

พ่อเฒ่าหยุนจ้องเขม็งไปที่ลูกชาย “หุบปากเน่า ๆ ของแกซะ!”

“ท่านไม่เข้าใจหรือ? ท่านพ่อไม่คิดหรือว่าซิ่วเอ๋ออายุยี่สิบหกปีแล้ว หากนางกลายเป็นสาวทึนทึกจะทำเช่นไร?” หยุนลี่เซี่ยวจ้องกลับไปที่บิดา “อีกทั้งหากพี่ใหญ่…”

หากหยุนลี่จงสอบไม่ผ่านอีกครั้ง โอกาสในการเรียกค่าสินสอดของหยุนซิ่วคงหลุดลอยไปแน่

“คนเลวย่อมไม่พูดสิ่งที่ดี!” ผู้เฒ่าหยุนเผยสีหน้าโกรธเคือง “หากเจ้าจะพูดแต่เรื่องไร้สาระ ก็ไสหัวไปเสีย!”

หยุนลี่เซี่ยวส่งเสียงไม่พอใจ

แท้จริงแล้วคนที่ไม่พอใจเรื่องที่ผู้เฒ่าหยุนปฏิเสธการสู่ขอของตระกูลหยูนั้นไม่ใช่ลูกชายคนที่สาม แต่กลับเป็นลูกชายคนโต

แม้เงินสดห้าสิบตำลึงจะไม่ใช่จำนวนที่มากนัก แต่ถึงกระนั้นมันก็สามารถช่วยให้เขาเตรียมการก่อนเข้าสอบได้

หยุนลี่จงไม่พอใจอย่างมาก แต่บอกกล่าวใครไม่ได้เพราะรู้ดีว่าหยุนซิ่วเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของมารดา และเขาให้คำมั่นแก่นางแล้วว่าจะหาครอบครัวที่เพียบพร้อมมาแต่งงานกับน้องสาว…

หยุนลี่จงพลันนั่งลงตรงขอบเตียงพร้อมขมวดคิ้ว

แม่นางจ้าวกล่าวเอาอกเอาใจหญิงชรา “ท่านแม่พูดถูกเจ้าค่ะ ซิ่วเอ๋อเป็นถึงน้องสาวของขุนนาง จะให้นางแต่งานกับเจ้าของร้านขายของชำได้อย่างไรเจ้าคะ? เหตุใดสาวงามต้องลดตัวไปแต่งงานกับชายขี้เหร่?”

“อืม…” แม่เฒ่าจูเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อย่าเอ่ยถึงตระกูลหยูอีก ข้าไม่อยากฟัง!”

“ท่านพี่เคยเอ่ยปากกับข้าว่าหลังจากการสอบฤดูใบไม้ร่วงสิ้นสุดลง เขาจะแนะนำซิ่วเอ๋อให้กับครอบครัวขุนนาง  เพราะอย่างน้อยลูกชายของท่านผู้พิพากษาก็คู่ควรแก่ซิ่วเอ๋อมากกว่าลูกชายของเจ้าของร้านขายของชำนะเจ้าคะ…” แม่นางจ้าวกล่าวประจบประแจงพลางแตะศอกของหยุนลี่จงที่นั่งอยู่ด้านข้าง